My very own vision quest (4/4)

โรงเรียน
ตอน

เราออกจากป่าเร็วกว่ากำหนดการ ๑ วันเพราะฝนตก จริงๆ ต้องพักร่างหลังเควส กิน แล้วค่อยเดินออกจากป่า  บางคนรู้สึกเพลียไปถ้าออกจากการอดแล้วเดินออกจากป่าเลย ถึงจะกินแล้วก็เถอะ

เราผลัดกันเล่าเควสของเรา คนที่เหลือฟัง สะท้อน และถามคำถาม ช่วง Integration นี้สำคัญเพราะได้ตกผลึกสิ่งที่ได้เรียนรู้ และเป็นการแบ่งปันให้คนอื่นได้เรียนรู้ไปด้วย  สะท้อนและถามไม่ใช่เพื่อแนะนำ แต่เพื่อให้เจ้าของเรื่องได้เห็นแง่มุมอื่นๆ

เวลาของวันที่เล่าเรื่องก็มีผล ฉันรู้สึกว่าเรื่องของฉันไม่เหมาะกับตอนกลางคืน และฉันเป็นคนกลางวัน กลางคืนไว้นอน ฉันเลือกเล่าหลังจากเพื่อนอีกคนที่ upbeat มาก  เปิดพลังงานตื่นไว้ให้แล้ว

รับขวัญตอนกลับมาจากป่า
ฉันพบว่าช่วง Integration through reflection นี้มีประโยชน์ สนุกกว่าที่คิด และเพื่อนๆ ก็ไม่เบื่ออย่างที่ฉันกังวลไปก่อน เพราะเควสฉันไม่มีดราม่าใดๆ เมื่อเทียบกับเรื่องที่พี่ณัฐเคยเล่าของปีก่อน หรือเรื่องของเพื่อนเราในปีนี้ที่ได้เล่าไปแล้ว บางคนก็ประจำเดือนมาทั้งๆ ที่เพิ่งมา ไม่มีผ้าอนามัย และเต็นท์ที่ยืมมาก็รั่ว บางคนก็นอนอยู่บนผาหินกลางคืน โดยไม่มีแสงสว่างและมีน้ำดื่มติดตัวน้อยมาก  บางคนก็ริดสีดวงทวารแตกพร้อมทั้งเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ฉันเหมือนเป็นหมีจำศึลมากกว่า

ชอบที่ถูกถามคำถามที่ไม่เคยถามตัวเองและไม่เคยมีใครถามเรามาก่อน กระตุกต่อมใคร่ครวญ เช่น การภาวนาของฉันทำคนเดียวได้ไหม; คิดว่าจะนิพพานไหมในชาตินี้ (เพื่อนอิสลามถาม); พี่อยู่กับความเปราะบางอย่างไร; ดูพี่ต่างจากคนอื่นในเควส พี่เบื่อไหม;  ถ้ามีคนบอกว่าเธอน่ารัก เธอรู้สึกอย่างไร; มาช่วยงานคนอื่น กลัวโดนหลอกไหม; มีคำถามเรื่องจุดเปราะบาง จำคำถามไม่ได้ แต่รู้ว่ามันทำให้ฉันคลิกว่าที่กูไม่อยากมาเควสแบบจะอ้วกในวันแรกเพราะฉันไม่อยากให้คนอื่นเข้าถึง Soul ฉันก่อนฉันจะเข้าใจตัวเอง  Nervous system ในท้องไม่ยอมให้หัวพามันมาทำแบบนี้

การมีกัลยาณมิตรสำคัญอย่างที่พระพุทธเจ้าจริงๆ ว่าเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์ (กัลยาณมิตรรวมถึงเราเป็นมิตรต่อตัวเองด้วย) รุ่นน้องคนหนึ่งที่รู้จักกันมาหลายปีบอกว่าฉันไม่ค่อยแสดงอารมณ์เวลาฟังเรื่องที่คนอื่นเล่า ทั้งๆ ที่บางเรื่องเศร้ามาก บีบคั้นหัวใจมาก เช่น พ่อทำร้ายร่างกายแม่ พี่น้องติดคุก คู่ชีวิตตาย พ่อแม่แยกทาง แสวงหาความรัก  บางคนในวงฟังแล้วน้ำตาไหลพรากภายใน ๒ นาทีแรก  ฉันฟังแล้วเศร้าในระดับความคิด แต่มันเข้าไม่ถึงใจ

กระทั่งตอนที่ฉันเล่าหรือเช็คอินเรื่องตัวเองก็ไร้อารมณ์เช่นกัน คือ ตอบแบบ Bullet list ตอบให้เสร็จๆ ไป ไม่พรั่งพรูเหมือนชาวบ้าน  น่าจะโทษการเลี้ยงดูและการเรียนวิศวะที่ไม่ได้ให้ค่าความรู้สึก

หลังจากที่เพื่อนบอก ฉันก็ตั้งใจว่าจะลองฝึกพูดยาวๆ แบบใส่ความรู้สึกเยอะๆ บ้าง 

คืนสุดท้าย มีเพื่อนสะท้อนเรื่องของตัวเอง พี่ณัฐใช้วิธี IFS (Internal family system) ปลุก"ผี" ในตัวเพื่อนฉันที่อัดความโกรธไว้ภายใน  ผีความโกรธนี้ปรากฏฏตัวเมื่อเผลอ ออกมากัดคนอื่นโดยเจ้าตัวไม่รู้  หมอผีณัฐปลุกงูตัวนี้ให้ตื่น นางตาลุกวาว พูดด้วยเสียงงูนี้ มันจริงมากจนคนในวงบา งคนกลัว ฉันโล่งใจและรู้สึกว่าคุ้มละที่มา  บอกอย่างไรก็ไม่เหมือนเจ้าตัวเห็นเอง  นางจะได้ไป work on เรื่องนี้ต่อเองได้

ฉันเป็นคนโทสะจริต รู้และได้เห็นโทษของการปล่อยให้ความโกรธครอบเราแล้วเราทำตามมัน แต่ในขณะเดียวกัน ความโกรธเป็นพลังงานมหาศาล ถ้าเราอัดไว้และไม่รับรู้มัน (Disown) ในนามของ "ความดี" มันก็แลบออกมาทำร้ายเราและคนอื่นอยู่ดี มาแบบเรารู้ตัวดีกว่าเพราะเราเลือกได้ว่าจะรับมืออย่างไร  พี่ณัฐบอกว่าการอัดความโกรธไว้และมันแลบออกมาเป็นระยะๆ ทำให้พลังงานจากตัวเค้าสับสน (Confusing signal) คนที่เข้ามาก็งงๆ และรู้สึกไม่สนิทใจในการคบหา

พี่ณัฐใช้วิธีนี้กับน้องอีกคนให้เห็นประเด็นของตัวเอง  ส่วนอีกคนมีผึ้งช่วยโค้ชให้  กว่าจะเสร็จก็ตีสาม

Harry Potter มากๆ
ฉันคิดว่า IFS คล้าย Drama therapy เช่น การจินตนาการไปถึงเหตุการณ์นั้นๆ ในอดีต โดยอาจใช้อีกคนเป็นตัวละครร่วม หรือการอนุญาติให้ตัวตนอีกตัวในเราได้มีโอกาสพูด

วันรุ่งขึ้น พี่ณัฐก็มีเควสส่วนสุดท้ายของตัวเองคือท้องเสียเพราะกินลาบเลือด บวกกับนอนน้อยในคืนก่อนหน้า เป็นโอกาสดีที่พวกเราได้ดูแลฮีเป็นการตอบแทน ร่างกายคงส่งสัญญาณบอกพี่ณัฐว่ามันก็สำคัญเหมือนกัน ใช้ฉันถนอมหน่อย

ตั้งแต่กลับมา ฉันรู้สึกว่าความเกลียดชังที่มีอยู่ลดลง ฉันกลับมาพูดกับคนที่ฉันมีคดีด้วยที่ฉัน Stone wall ใส่มาก่อนหน้านี้  ฉันไม่คิดว่าฉันอ่อนโยนขึ้นเพราะไปลำบากมา แต่เป็นเพราะได้ฟังความทุกข์ยากของคนอื่นมากกว่า รู้สึกเห็นค่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่

ได้คุยกับเพื่อนเก่าตอนขากลับ นางบอกว่าโจทย์ฉันก่อนหน้านี้คือความเมตตา ซึ่งดึงดูดฉันให้ได้พบกับอาจารย์คนหนึ่ง ตอนนี้โจทย์เป็นเรื่องของความอ่อนโยน ก็ทำให้ได้พบกับครูอีกคน  ฉันรู้สึกว่่าความอ่อนโยนต่อตัวเองเป็นสิ่งที่ฉันขาดในการเดินทางทางจิตวิญญาณ คือ กับตัวเองยังไม่อ่อนโยน กับคนอื่นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย

ณ ตีสองครึ่ง ต้องนอนฟัง
กลับมากรุงเทพพร้อมเห็บ ๑ ตัว และแผลเห็บสองแผล ฉันเกาทำให้แผลอักเสบ ต้องกินยาปฏิชีวนะและทายา สิ่งที่ควรทำคือห้ามเกา ห้ามอาบน้ำอุ่นและห้ามใช้สบู่ที่แผล

สิ่งที่พึงกระทำตอนอดอาหารคือดื่มน้ำเยอะๆ มีน้องผู้ชายคนหนึ่งกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะดื่มน้ำไม่พอ สองปีก่อนก็มีอีกหนึ่งรายทั้งๆ ที่ผู้ชายไม่ค่อยเป็นโรคนี้กัน 

ขายคอร์สให้พี่ณัฐด้วยเลย พี่เค้าจัดเควสทุกปีเดือนธันวา ปี ๒๕๖๑ น่าจะเป็นต้นธค. ใบโปรยที่มีรายละเอียด...









Comments