My very own vision quest (2/4)

Elder Tree
Credit ภาพ พี่ณัฐ
ต่อจากตอนแรก

เช้าวันที่สอง เราเดินเท้าเข้าสู่ป่า ๕ กม. ทางราบ มีทางเดินชัดเจน เดินออกจากหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนา ข้ามแม่น้ำที่น้ำตื้นๆ ชาวบ้านช่วยขนอาหารเข้าไปให้ และไปช่วยทำอาหารให้เรา  ถ้าไม่อยากแบกของก็ให้ชาวบ้านช่วยแบกให้ได้ ตอนแรกฉันอยากสละโลก Renounce this world แบกสัมภาระด้วยตนเอง แต่ก็อยากให้ชาวบ้านได้เงิน ก็ให้เค้าช่วย

เคยอ่านเจอว่าการจาริกในสมัยโบราณ คนจะลงจากช้าง แล้วเปลี่ยนเป็นสัตว์ที่เล็กลงคือม้า แล้วก็เดินเมื่อใกล้ถึงสถานที่ๆ ศักดิ์สิทธิ์ การเดินเท้าไปถึงเป็นการแสดงความเคารพ  ถ้าที่ทิเบต ก็กราบอัษฎางคประดิษฐ์ไป การเดินช่วยให้สำรวมกาย วาจา ใจด้วย เพราะไปได้ช้าๆ

Being หลักที่ต้อนรับเราคือต้นไม้ใหญ่ที่มีรากหรืออะไรซักอย่างระโยงระยาง เรียกว่า Elder Tree ละกัน อารมณ์เหมือนผู้เฒ่าผู้แก่ที่ทรงภูมิ เด่นสง่าอยู่กลางลานกว้าง  ถ้าเป็นวัด Elder Tree นี้ก็เป็นพระประธาน

เราทำกิจกรรมทั้งหลายหน้าพระประธานนี้ เหมือนให้เค้าได้มีส่วนร่วมและเป็นสักขีพยาน

ประหนึ่งข้ามสังสารวัฎ
Credit ภาพ อ๋อ
วันแรกก็หาที่กางเต็นท์กัน เรานอนอยู่ละแวกนี้สองคืน ครัวอยู่ถัดออกไป ริมลำธารที่มีน้ำซับ เป็นน้ำล้างจานและน้ำดื่มให้เรา ไม่ต้องขนเข้าไป  นอกจากชาวบ้านสองคนก็มีเด็กปกากะญอชื่อบุญรอดมาดูแลเราอีกคน เด็กที่บุญช่วยให้รอดนี่ตอนเกิดเกือบตาย คล่องมาก ดำน้ำแทงปลาได้

บล็อกโพสที่แล้วเล่าผิดลำดับ นิทานเรื่องหนูกระโดดและ Medicine Wheel มาฟังในป่านี้

สองคืนที่นอนในป่าก่อนปลีกวิเวกมีเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนแยกย้ายไปเควส วันแรกฉันหมกมุ่นกับการอาบน้ำในแม่น้ำ ซักผ้า กิน และกางเต็นท์

กิจกรรมอันหนึ่งที่ชอบมากที่เราทำกลางคืน คือ ตอบคำถามว่าเราคือใคร เรากลัวอะไรในการปลีกวิเวก และคาดหวังอะไร มีโจทย์อะไรในเควส ใช้จับฉลากเพื่อเลือกคู่สนทนา คนหนึ่งถามและฟัง อีกคนพูด นอนพูดได้ นอนตักกันได้ ไม่เน้นการแนะนำใดๆ  การใช้วิธีจับฉลากนี่น่าสนใจ คนที่เราจับได้นี่มาด้วย Destiny จริงๆ

ฉันชวนเพื่อนเก่าคนหนึ่งมา ฉัน"คิด"ว่านางมีประเด็นเรื่องความโกรธที่อัดเก็บไว้ด้วยความเป็นคนดี เมื่อเผลอ ความโกรธแสดงออกเป็นหนามที่ออกมาทิ่มแทงคู่สนทนา นางไม่เห็นในสิ่งที่ฉันบอก สำหรับกิจกรรมนี้ นางจับคู่ได้คนที่ยั่วโมโหได้อย่างที่สุด จนต้องอัดกลับ เควสของนางได้เริ่มขึ้นแล้ว

Credit ภาพ พี่ณัฐ
ฉันจับคู่ได้ชายหนุ่มที่เล่าเรื่องตัวเองแล้วก็น้ำตาไหลไปด้วย  ถ้าเป็นสมัยก่อนคงช็อค ตอนนี้ก็เออ.. เห็นชายหนุ่มน้ำตาพรากๆ มาหลายทีละ แค่มองว่าน้ำตาเป็นสัญญาณบอกว่าเรื่องที่เค้าพูดนี่เป็นจุดเปราะบางของเขา Concrete physical signals of vulnerability. ความเปราะบางไม่ใช่ความอ่อนแอ  คนที่ยอมรับและอยู่กับความเปราะบางของตัวเองได้จะเป็นคนจริงแท้กับตัวเอง Authentic with oneself all the way through... เค้าว่ากันอย่างนั้น

Dr. Brene Brown นิยามความเปราะบางว่าเป็นความไม่แน่นอน ความเสี่ยง และการเผยออกทางอารมณ์ (Uncertainty, risk and emotional exposure) นางบอกว่าจากการสัมภาษณ์คนมากมาย ความกล้าหาญ (Courage) มาจากการยอมรับความเปราะบางนี้ของตัวเอง ไม่มีเคสของความกล้าหาญใดที่ไม่ได้มาจากความเปราะบาง

ฉันก็เล่าเรื่องของฉัน การเล่าและการฟังในเรื่องที่สำคัญกับชีวิตทำให้จิตวิญญาณเชื่อมโยงกัน

ตอนแรกจะต่อด้วยเต็นรำรอบกองไฟเพื่อได้ขยับร่าง เสียงร้องไห้ดังขึ้นเบาๆ  พี่ณัฐเข้าไปโค้ช ทุกคนล้อมรอบให้กำลังใจ  ฉันชอบบทสนทนาขณะโค้ช เหมือนชีวิตเค้าได้ถูกเผย เรียงร้อยต่อหน้าเรา

เช้าของวันหนึ่งก่อนปลีกวิเวก ฉันนั่งภาวนาในเต็นท์ก่อนออกมา  คำตอบของคำถามที่ว่าครูทางจิตวิญญาณของฉันคือใครแวบขึ้นมา คนนั้นคือฉันเอง ไม่ดีใจหรือเสียใจ แต่แค่..เฮ้อ..และก็ Holy Shit! มึงต้องรับผิดชอบชีวิตมึงเองละ

เมื่อครูทางจิตวิญญาณของฉันเป็นคนอื่น ฉันก็มอบภาระเรื่องทิศทางชีวิตให้เค้าหมด  ฉันดำเนินชีวิตแบบเค้า เรียกง่ายๆ ว่าเลียนแบบ Clone myself to be like him.  ตอนนี้การเดินทางทางจิตวิญญาณของฉันถูกอัพเลเวล The next stage officially began.

Credit ภาพ อ๋อ
บ่ายของวันที่สองที่อยู่ป่า เราต้องออกไปเลือกจุดที่เราจะปลีกวิเวก ฉันเลือกภูเขา คนส่วนใหญ่เลือกริมน้ำ อากาศเย็น ฉันไม่คิดว่าจะอาบน้ำ  ฉันเดินหาจุดโล่งๆ มีที่กางเต็นท์ได้ นั่งเข็คพลังงานในพื้นที่นิดหนึ่งว่าเราอยู่กันได้นะ ก็โอเค

เราต้องมีบัดดี้เพื่อเช็คกันว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม ใช้วิธีมีจุดสัญญาณ คนหนึ่งสลับหินหรือไม้ไปทาง อีกคนกลับมาสลับไปอีกทาง ถ้ากองของเราหน้าตาไม่เหมือนเดิม แสดงว่าอีกคนยังมีชีวิตอยู่

เช้าของวันที่สามในป่า เรามีพิธีเพื่อแยกจากกัน

ตอนที่ ๓

Comments