My very own vision quest (3/4)

โพสที่หนึ่ง   ที่สอง

เช้าวันที่สามในป่า ไม่มีอาหารแล้ว

ก่อนที่จะแยกย้ายกันปลีกวิเวก เราทำพิธีออกจากโลกมนุษย์ปกติ เป็นการตัด (Severe) สายใยที่เชื่อมเราไว้กับชีวิตปกติ หลายคนมีความตั้งใจที่จะลอกคราบ พิธีกรรมคงช่วย Anchor ในมโนสำนึกว่าแกกำลังก้าวข้ามขอบ

โดยนิสัยและการเลี้ยงดูของครอบครัว เดิมฉันไม่อินกับพิธีกรรมใดๆ  เคยไม่ชอบสวดมนต์ แต่พอรู้ว่าพิธีกรรมทำเพื่อ Ground เราให้พร้อมต่อกิจกรรมหลักที่กำลังจะทำ ก็เริ่มเห็นค่าของมัน  และคงมีประโยชน์อื่นๆ ที่ฉันไม่รู้อีก

เมื่อมานั่งเขียน ฉันรู้สึกว่าฉันอยู่ท่ามกลางคนไม่ธรรมดา ที่เควส ฉันทำน้ำเกลือแร่ให้พี่ที่ท้องเสีย พี่เค้าบอกให้ฉันอธิษฐานน้ำนี้ด้วยคุณความดีที่ฉันเคยทำ และครูบาอาจารย์ของฉันทั้งหมด ว่ามันจะช่วยให้เค้าอาการดีขึ้น  เค้าก็ดีขึ้นจริงแต่ก็กินยาอย่างอื่นด้วย  ฉันว่าการอธิษฐานนี้มันน่ารักดี ใส่ใจเราเข้าไปในสิ่งที่เราจะให้เค้ากินด้วย

พี่ณัฐให้เควสเตอร์ที่เคยมาแล้วนั่งเป็นวงกลม ล้อมรอบวงกลมที่มาร์คด้วยหิน New quester มานั่งในวงกลมนี้ทีละคน จะพูดก็ได้ จะไม่พูดก็ได้ เควสเตอร์ในวงกลมถาม สะท้อน หรือพูดกับคนที่เป็นเซ็นเตอร์นี้

เริ่มด้วยน้องที่กวีมาก เล่นใหญ่ด้วยสีหน้า มันเปิดวงได้อลังการมาก Deeply romantic!  ฉันก็..โห..กูต้อง make a speech or cite a poem ระดับนั้นเลยเหรอวะ  ฉันถามพี่ณัฐว่าไม่พูดอะไรได้ไหม ฮีบอกได้  ส่วนที่ฉันประทับใจคือพรจากพี่ณัฐ พูดเรื่องความรักที่ฉันมีต่อตัวเอง และต่อคนอื่นๆ  และประทับใจเรื่องที่ฮีก็เข้ามานั่งในวงนี้ก่อนออกไปเควสของตัวเองด้วย He walked the talk. ซึ่งดีงาม ฉันไม่เคยสัมผัสชายวัยกลางคนที่เปิดเผยความเปราะบางของตัวเองขนาดนี้มาก่อน ฮีคงรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่นี้ด้วย

Exposure of one's own vulnerability ties us together.

เราต้องเลือกของหนึ่งอย่างเพื่อสละด้วย (กลับมาแล้วได้คืน) คนที่ฮาร์ดคอร์สละรองเท้า แว่นตา ของฉันเอาเด็กๆ นาฬิกาพอ  น้องคนหนึ่งตั้งใจมาก สายตาสั้นห้าร้อยแต่สละแว่นตา พร้อมรองเท้า

เมื่อแยกย้าย ฉันกางเต็นท์ตรงจุดที่เลือก รู้สึกเพลียมาก ปวดหัวเพราะอาการอดกาแฟ ร้อนเกินจะนอนในเต็นท์ ปูผ้าแล้วก็นอนบนใบไม้ มดไต่ตามตัวก็ปัดเอา  พอเริ่มบ่ายคล้อย ก็ย้ายไปนอนในเต็นท์

เหมือนเมื่อไม่มีอาหาร ร่างกายฉันชดเชยด้วยการนอน นอนเยอะมากๆ

ชาวบ้านตัดกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำให้เรา ฉันมีขวดพลาสติกด้วย เตรียมไว้ ๓ ลิตรสำหรับสามวัน ถ้าขาดก็ไปเติมได้

วันที่สอง ฉันทำกิจกรรมที่พี่ณัฐแนะนำ คือ ให้คุยกับคนที่เราอยากคุยด้วย พูดออกเสียง ทั้งตายแล้วและที่มีชีวิตอยู่ ฉันก็มโนขึ้นมา นั่งคุยกับฉันต่อหน้า กิจกรรมนี้ทรงพลังกว่าที่คิด คู่กรณีทุกคนถูกเรียกมา เสร็จแล้วฉันก็นั่งเขียนจดหมายถึงพวกเค้า  การนั่งคุยมัน Spontaneous กว่าเขียน เวลาเขียนเราจะใช้ Logic เยอะกว่า

ฉันเขียนบันทึก เขียนแผนงานว่ากลับไปจะทำอะไร  ฉันภาวนา ส่งพลังงานให้กับคนอื่น อยากให้เค้าทำเควสให้สำเร็จ เอาโทรศัพท์มา ไม่มีคลื่น แต่เอามาใช้ฟัง Reggie Ray นำภาวนา ทำ Earth breathing เหมาะกับเควสมาก  Visualize ว่าเราจมดิ่งลงไปในโลก ทีละนิด เร็วขึ้น จนไปถึงอนันต์

ไม่หิวแต่ปวดท้อง ฉันคิดว่าเป็นเพราะกินน้ำน้อยไป ปากแห้งจนเป็นขุย  ตอนยืนเร็วๆ มีหน้ามืดบ้างเพราะน้ำตาลตก ฉันไม่อยากเดินไปไหนทั้งๆ ที่ปกติเป็นคนไฮเปอร์ อยู่นิ่งๆ ไม่ได้  จุดไฟยังขี้เกียจจะจุด ทั้งๆ ที่เตรียมขี้เทียนไว้แล้ว

เราดูเป็น Warriors ดี
แค่ขาดอาหาร เราก็จะเป็นคนอื่น นิสัยเปลี่ยน

ฉันคิดถึงเมนูอาหารที่จะออกไปกิน ฉันมีช็อกโกแลตในกระเป๋า การอดไม่ยากอย่างที่คิด  แค่อยากจะไปให้สุดของการอด และฉันอธิษฐานว่าถ้าฉันทำสำเร็จ อีกคนจะทำสำเร็จด้วย  ฉันจับจุดตัวเองได้ว่าฉันสู้ได้ ทนได้ ถ้ามีเป้าที่ควรค่าพอ

การอดอาหารพร้อมปลีกวิเวกคราวนี้ น่าเบื่อน้อยกว่าตอนฉันไปเก็บอารมณ์ในป่าภูหลงคนเดียว ๕ วัน อันนั้นกิน แต่ฉันบังคับตัวเองมากว่าจะต้องภาวนาตลอดเวลา ในเควสนี้ ฉันอยากนอนก็นอน อยากเขียนก็เขียน ไม่รู้สึกผิด

วันที่สามฝนตกทั้งวัน ฉันรู้ว่าเต็นท์ฉันเอาอยู่แน่ แต่น้ำเริ่มซึ่มขึ้นมาข้างใต้ ทั้งที่ฉันปูผ้าพลาสติกไว้แล้ว น้ำขังบนผ้าอีกที แผ่นรองนอนช่วยให้ฉันได้นอนแห้งๆ ห่วงคนอื่นๆ ที่เต็นท์ดูยอบแยบว่าจะไหวไหม

หลังเควส มีคนถามว่าฉันได้เรียนรู้อะไร  มันทำให้ฉันไม่กลัวความตาย พอร่างกายไม่ได้รับอาหาร มันเพลีย แต่ความคิดคมชัด ไม่เบลอ  ฉันแค่ไม่อยากตายแบบขาดสติ อยากไปแบบรู้ตัว

ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันป่วยหนักแล้วไม่อยากอยู่ต่อ ฉันจะอดอาหาร fasting คราวนี้ทำให้มั่นใจว่าทำได้แน่แบบไม่ทรมาน  รู้สึกว่าชีวิตมีทางเลือก

อดอาหาร ๓ วัน ๓ คืนเต็ม พอเที่ยงคืน จะย่างเข้าวันที่ ๔ ฉันฟาด Snicker bar คำแรกอร่อยที่สุด คำที่เหลือเฉยๆ  Imagined eating is more fulfilling than real eating.  คงเหมือนสิ่งอื่นๆ ในชีวิต เช่น การได้ปริญญาเอก หรือการมี Romantic relationship

ตอนเช้าของการออกเควส ฉันมาที่ Elder Tree พี่ณัฐก็ออกจากเควสของฮีเหมือนกัน ดูหน้าตาสดใสมาก พี่ณัฐให้ vow เพื่อต้อนรับการกลับมาสู่โลก ฉันยิ้มๆ คิดว่ามัน Fairy tale ดี Up to this point, I can do anything you told me to.

เรากินข้าวแล้วออกจากป่า เพราะฝนอาจจะตกอีก และเต็นท์ทุกคนแฉะมาก

ที่หมู่บ้าน เราสลับกันเล่าให้กันและกันฟังว่าเราได้เจออะไร คนที่เหลือสะท้อนและถาม  ฉันคิดว่าของฉัน Plain vanilla มาก แต่การถูกถามให้ insights มากกว่าที่ฉันคิดไว้ ควรค่าแก่การถอดเทปและเป็นอีกโพสหนึ่ง ฉันรู้สึกว่าบางทีฉันประเมินตัวเองต่ำไป

ตอนที่ ๔

Comments