การรวบรวมข้อเขียนทวนสะท้อนสำหรับ Leadership Class (4/4)

Photo Credit เข้าใจว่าปราง
Reflections ของนิสิตจากคลาส Communication and leadership

ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนให้เผยแพร่ได้

สามคนแรก   อีกสองคน  และอีกสามคน

คนที่เก้า

ขอเริ่มที่ขอบคุณอาจารย์จุฑาอันเป็นเป็นที่รักของหนูและเพื่อนๆในวิชานี้ก่อนค่ะ ถ้าไม่ได้เจอวิชานี้ในปีนี้หนูก็คงจะไม่มีสติในการใช้ชีวิตเหมือนปีก่อนๆที่ผ่านมา วิชานี้ทำให้หนูคิดถึงอนาคต คิดถึงชีวิตของตัวเอง คิดถึงคนรอบข้างมากขึ้น ต้องบอกเลยว่าทุกวันศุกร์เป็นคาบที่ไม่รู้สึกฝืนใจที่จะเข้าเรียนเลย เป็นคาบที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้บำบัดตัวเอง ได้ตัดขาดจากโลกภายนอกระยะหนึ่งเพราะต้องมีสมาธิตอบโต้ในคลาสตลอดซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากและหนูชอบมากๆ ค่ะ

สิ่งที่หนูคิดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงกับตัวหนูมากที่สุดน่าจะเป็นในเรื่องของการเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น มันอาจจะไม่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่หนูรับรู้ได้ว่าตัวหนูมีความมั่นใจในการจะทำสิ่งต่างๆมากขึ้น มาจากการที่ได้มีส่วนร่วมในห้อง จากแรงผลักดันของอาจารย์ที่คอยกระตุ้นให้หนูตอบตลอด บวกกับการที่ไม่ต้องเร่งรีบในการที่จะต้องตอบ ต้องแสดงความคิดเห็นจึงทำให้หนูกลัวการที่จะต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะลดลงเยอะมากค่ะ แล้งก็เรื่องการพูดแบบยีราฟค่ะที่ทำให้หนูได้สติในการตอบโต้กับเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่ชอบพูดจาแรงๆใส่ ทำให้หนูได้สติว่าเราต้องใจเย็น เราต้องไม่ร้อนตอบกลับไปเพราะถ้าร้อนมา แล้วเราร้อนกลับ สถานการณ์มันไม่ได้ดีขึ้นเลย

สิ่งที่ไม่ชอบ น่าจะเป็นในเรื่องของการจัดโต๊ะแหละค่ะ หนูชอบออกกำลังนะคะ จัดโต๊ะก็สนุก ไม่ได้มีปัญหากับการออกกำลังด้วยการจัดโต๊ะ แต่บางทีตอนเลิกคาบแล้วต้องรีบกลับก็รู้สึกว่ามันไม่สะดวกค่ะ

สิ่งที่ชอบมากๆ จำนวนคนน้อยค่ะ ยิ่งคนน้อยยิ่งรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดกับเพื่อน กับอาจารย์ เหมือนดูแลกันและกันได้ทั่วถึงค่ะ

คนที่สิบ

วิชานี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมตั้งแต่ตอนแรก ในความคิดแรกวิชานี้น่าจะเหมือนกับวิชาสัมมนาปกติทั่วไป แต่ด้วยความที่บังเอิญว่าวิชาเลือกตัวอื่นที่เหลือไม่สามารถลงได้ เนื่องจากเวลาชนกับเวลาของ English 3 เลยทำให้ต้องลงวิชานี้ เพราะต้องการเก็บวิชาเลือกให้ครบ 3 ตัวในเทอมแรก จะได้มีเวลาว่างในเทอมที่สอง เข้าไปคาบแรกรู้สึกตกใจในการจัดเก้าอี้ เพราะโดยปกติที่เคยนั่งก็เป็นแบบหันหน้ามองกระดาน โฟกัสไปที่อาจารย์ ยังไม่คุ้นชินกับการนั่งเป็นวงกลม แบบได้เห็นหน้าเพื่อนครบทุกคนรวมถึงอาจารย์ด้วย จากปกติตอนที่เรียนเราเป็นคนที่ไม่ค่อยได้พูดกับใครอยู่แล้ว แต่การนั่งแบบนี้ทำให้เราเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆมากยิ่งขึ้น ได้เข้าถึงอารมณ์ของอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น แต่ว่าเนื้อหาหลักในคาบแรก ก็เหมือนกับวิชาสัมมนาปกติทำให้ยังไม่รู้สึกถึงแตกต่างเท่าไร และหลังจากที่จบคาบแรกก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ต้องเขียน Refection ให้ยืดยาว เขียนสั้น ๆ แบบย่อ ๆ เหมือนวิชาอื่นไม่ได้หรอ รู้สึกกดดันทุกครั้งที่เห็นเพื่อนหลายคนเขียนมาโคตรยาว ทำให้ตัวเองต้องเขียนให้ยาวเพื่อที่จะได้ไม่ดูผิดปกติ

คาบที่สองรู้สึกว่าจะเกี่ยวกับ Deep Listening เสียดายที่ไม่ได้เข้า เพราะต้องกลับบ้านเนื่องจากที่บ้านเกิดปัญหา แต่อาจารย์ก็มอบหมายงานให้ทำแทนสองคาบที่ขาดไป นั้นก็คือให้ไปให้สรุปหนังสือ ”เอนหลังฟัง” โดยปกติเราเป็นคนอ่านหนังสือเร็วอยู่แล้ว 200-300 หน้า 2-3 วันก็จบแล้ว แต่หนังสือเล่มนี้ยิ่งอ่านยิ่งชวนง่วง เพราะไม่เคยอ่านหนังสือแนวจิตใจ จิตวิทยาแบบนี้เลย แต่พออ่านไปก็เข้าใจสิ่งที่หนังสือต้องการจะมอบให้ แต่ในความเป็นจริงโคตรที่จะทำตามได้ยาก เพราะโดยปกติเราชอบคิดไปดักหน้าผู้พูด ให้ฟังโดยที่ไม่ได้คิดอะไรจะทำไม่ได้เลย เสียดายมากที่ไม่ได้เข้าคาบนี้เหมือนเรียนทฤษฎีไปแล้วยังไม่ได้ฝึกปฏิบัติ

การเรียน Selected Topic ทำให้เราได้พูดมากขึ้น เพราะโดยส่วนตัวเป็นคนที่ปัญหาเรื่องการสื่อสาร เป็นคนที่พูดไม่ชัด พูดเร็ว ชอบนึกประโยคไม่ออก พูดไม่รู้เรื่อง ตอนที่พูดเลยจะงงๆตัวเองหน่อย เป็นคนที่มักจะกังวลเสมอเมื่อได้พูดต่อหน้าคนเยอะๆ พวก Presentation ไรงี้จะไม่ชอบเลย อยากจะพูดให้เยอะขึ้นเพื่อพัฒนาตัวเองเรื่องการสื่อสาร วิชาเลือกตัวนี้ก็มอบสิ่งนั้นให้พอดี ได้พูดเยอะขึ้น ได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองผ่านคำพูดในคลาส ผ่าน Refection โดยที่ไม่ต้องไปกลัวผิดกลัวถูก เช่นแบบตอนไปเขาใหญ่ ชอบที่ได้พูดเรื่อง “Zebra man” ให้คนอื่นฟัง มันเป็นเรื่องที่เราใส่ใจและชอบกับความคิดนี้ มันอาจเป็นความเห็นที่ออกจะเพี้ยนๆหน่อย ตอนแรกก็กลัวว่าเพื่อนจะหาว่าบ้า จะหัวเราะกัน แต่พอได้เห็นปฏิกิริยาของทุกคนหลังฟังจบแล้ว ดีใจที่เพื่อนๆเปิดใจรับฟังเรา เราเคยเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนคนอื่นฟังมาทีหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเพื่อนก็หัวเราะกัน แต่ก็ไม่ใช่กับคนในคลาสนี้

การที่ให้ทุกคนสะท้อนความรู้สึกของตัวเองทั้งก่อนคลาส หลังคลาสเป็นอะไรที่ชอบมาก ผมชอบที่จะได้ฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ จะทำให้เราได้เจอสิ่งที่เรามักจะคาดไม่ถึง บางคนสะท้อนเรื่องเศร้า เรื่องทุกข์ หรือเรื่องที่มีความสุขของตัวเอง ผ่านร่างกาย สีหน้า และอารมณ์ โดยที่ไม่ได้ผ่านคำพูดเลยก็มี ทำให้เราแคร์เพื่อนมากขึ้น เลยรู้ว่าเรื่องบางเรื่องที่เราสุขแต่ก็อาจที่จะมีคนทุกข์ได้เช่นกัน จิตใจของคนเราโคตรจะเปราะบางเลย เรื่องที่เพื่อนบางคนสะท้อนเกี่ยวกับบทเรียนออกมาถึงกับต้องร้องว้าวเลยทีเดียว เป็นความคิดที่เปลี่ยนมุมมองเดิม ๆ ของเราออกไป ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้รู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น บางคนรู้จักกันมาตั้งนานแต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าเค้าจะมีทัศนคติแบบนี้ รู้สึกดีใจที่ได้เจอเพื่อนๆทุกคน ทุกคนเป็นคนดี

ในช่วงที่เรียนอยู่ ได้เจอปัญหาที่น่าจะหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมาแล้วมั้ง ผมรู้สึกเศร้า ร้องไห้ไปหลายรอบ ในตอนนั้นไม่ได้ปรึกษาใครเลยแม้แต่เพื่อนสนิท เพราะคิดว่าคนอื่นน่าจะช่วยแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่เหมือนพระเจ้าไม่ได้ใจร้ายกับเราเสมอไป มันเหมือนเป็นความโชคดีรวมๆกับความบังเอิญที่ได้มาเรียนวิชานี้ ได้พบพี่ตู่และอาจารย์หญิง ได้เรียนรู้หลายเรื่อง เราไม่ได้ตัวเราเดียวในโลกนี้ แปลกมากที่กล้าพูดเรื่องที่ส่วนตัวที่สุด ให้กับคนที่อาจช่วยอะไรเราไม่ได้ แปลกที่เรารู้สึกสบายใจ มันดีขึ้นเหมือนมีทางออกให้กับปัญหา ถึงแม้ทางออกจะไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ทำให้เราลุกขึ้นมาจากความเศร้า พร้อมเดินหน้าต่อไป ไม่หยุดแม้จะเจอปัญหาที่หนัก

วิชา Coaching ของพี่ตู่ คุ้มมากที่ได้เรียน เพราะได้เอาวิชาที่โคตรล้ำค่าไปใช้ช่วยเพื่อนๆ ที่กำลังมีความทุกข์ด้วยกันถึงสองคน คนแรกเค้าไม่ยอมพูดอะไรมากนัก ได้แต่ทำหน้าเศร้า เลยไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไร เราก็เข้าใจเค้านะ ก็เหมือนกับผมก่อนมาเรียนนี่แหละ เราไม่อยากแชร์ความทุกข์ไปให้คนอื่นมันจะเสียบรรยายกาศเปล่าๆ เก็บไว้คนเดียวดีแล้ว แต่คนที่สองที่เราไปให้คำปรึกษาเค้า รู้สึกอึดอัดมากเพราะแนะนำอะไรไม่ได้เลย คันปาก อยากพูดแต่นึกคำพูดของพี่ตู่ที่บอกอย่าไปให้วิธีแก้ไขปัญหากับเค้า เราควรให้เค้าหาทางแก้ไขปัญหาเอง หน้าที่ของเราคือเดินข้างๆช่วยให้เค้านึกวิธีแก้ไขออก เราเพิ่งมาเข้าใจคำพูดของพี่ตู่นี่แหละ เมื่อเพื่อนบอกกับเราว่า "พอได้พูดกับเธอ รู้สึกเหมือนเราได้ทบทวนตัวเอง รู้สึกเหมือนมีทางออก" ผมอยากจะร้องไห้ที่คำพูดของเรามันช่วยเพื่อนไว้ขนาดนี้ และหวังว่าจะใช้วิชานี้ไปช่วยคนอื่น ๆที่มีความทุกข์ต่อไปครับ

ตอนที่ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์คนจากสายงานอาชีพที่เราอยากทำ เหมือนเปิดมุมมองใหม่ให้กับเรา  ตอนแรกตอนที่เรามีคำถามเราก็เลือกที่จะค้นหาจากกูเกิล คิดไปคิดมาก็งงกับตัวเองว่า เอ่อ แล้วทำไมเราไม่ไปถามคนที่ทำงานสายนั้นอยู่เลยวะได้คำถามชัดเจนกว่าอีก ตอนแรกก็รู้สึกเขินๆ ตื่นเต้น เกรงใจไม่กล้าทักไป กลัวจะทำให้เค้ารำคาญ แต่พอนึกมาว่าเค้าก็เป็นคนๆหนึ่งเหมือนกันไม่เห็นจะมีอะไรที่ต้องกลัว เมื่อได้คำตอบจากการสัมภาษณ์ ความฝันที่ได้วางเอาไว้ก็เปลี่ยนไปหมด แต่ก็ไม่ได้เสียใจเลย ดีใจที่ตัวเองไม่ต้องเสียเวลาเดินในเส้นทางที่ไม่ใช่ คงต้องไปวางแผนกันใหม่แล้วละ รู้สึกเป็นประโยชน์กับตัวเองที่ได้ทำกิจกรรมแบบนี้

ประโยชน์ของการทำ Refection เพิ่งได้รู้ เมื่อเขียนไปได้สักประมาณ 3 – 4 อันแล้ว ลองย้อนกลับไปอ่านอันแรก ๆ และเปรียบเทียบกับอันปัจจุบันต่างแตกกันมาก ทั้งความยาว การใช้คำพูด และเวลาที่ใช้เขียน เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เขียนเก่งขึ้นหรอก ความสามารถเท่าเดิมเลย แต่ที่เขียนได้ยาวขึ้นคงเป็นเพราะความรู้สึกมันเริ่มออกมามากขึ้นต่างหาก ก่อนมาเรียนเราค่อนข้างปิดตัวเองจากโลกภายนอก เป็นคนขี้อาย ที่แย่เลยก็คือไม่เคยกลับมาคุยกับความรู้สึกของตัวเอง ทรยศความต้องการของตัวเอง มักจะตามใจคนอื่นอยู่บ่อย ๆ ถึงตอนนี้อาจจะยังคงตามใจเพื่อนอยู่ แต่ก็น้อยลงกว่าเดิมเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น หลังได้เรียนคลาสนี้ความรู้สึกมันก็เริ่มออกมาเรื่อย ๆ ก็รู้สึกดีที่ตัวเองได้เติบโตขึ้นแล้ว

สุดท้ายนี้ก็อยากจะขอบคุณอาจารย์ และเพื่อน ๆ ทุกคนครับ ที่ให้ผมได้มีโอกาสแชร์ความรู้สึก ทั้งเรื่องที่ทุกข์ และเรื่องที่สุข เปิดโอกาสให้ผมได้เล่าความฝันของตัวเองว่าหลังเรียนจบอยากทำอะไร ให้เกียรติกันตอนที่แชร์ความคิดเห็นทั้งตอนไปเขาใหญ่ ทั้งเรื่องในคลาส ดีใจมากที่ได้เจอทุกคนครับ ขอบคุณมากครับผม

คนที่สิบเอ็ด

ปีนี้เป็นสุดท้ายของการเรียน ความคิดที่มีมาตลอดคือปีนี้เราอยากรีบเรียนรีบจบและออกจากที่แห่งนี้ เพราะความรู้สึกของการเรียนมหาวิทยาลัยของข้าพเจ้าคือสนามแห่งการแข่งขัน เต็มไปด้วยความกดดัน เพื่อนำตัวเองไปสู่งานที่ต้องการ ซึ่งก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น คุณยังจะได้มิตรภาพระหว่างทางมาบ้างที่นับเป็นข้อดี

สำหรับข้าพเจ้าเรียกว่าดิ้นรนพอสมควรการได้มาอยู่ที่แห่งนี้เรียนเอาพอผ่านแทบทั้งนั้น ไม่ได้มีความสุขนักกับการตื่นเช้ามาแล้วพบว่าตัวเองต้องไปสู้กับสถานที่แห่งนี้ การได้ตัดสินใจมาลงวิชานี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องหยุดคิดกับชีวิตมหาวิทยาลัย

ก่อนอื่นอยากขอบคุณอาจารย์ที่เปิดวิชานี้ ให้ความรู้และความรักอย่างเปี่ยมล้นข้าพเจ้ารู้สึกได้ และขอบคุณตัวเองที่เชื่อมั่นในตัวอาจารย์ว่าอาจารย์แตกต่างและจะนำสิ่งดีๆมาให้กับพวกเรา สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ วิชานี้ได้สร้างพื้นที่ ที่ไม่เคยมีมาก่อนตลอดการเรียนมหาวิทยาลัยสี่ปีที่ผ่านมา เป็นพื้นที่ ที่เราได้พูด ได้คุย ได้เข้าใจ ได้เปิดรับ ได้ยอมรับ และได้ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวของเราทั้งต่อตนเองและผู้อื่น แม้เพื่อนร่วมชั้นจะเป็นรุ่นน้องเราหนึ่งปี แต่มันไม่ใช่อุปสรรคเลย เราได้เรียนรู้ที่จะพูดคุยและเข้าใจกัน จนข้าพเจ้ารู้สึกสงบในใจเสียที พอได้มาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ตัดความวุ่นวายจากปัจจัยอื่นๆ และมาล้อมวงพูดคุยกัน อีกทั้งคำแนะนำจากอาจารย์หลายๆ อย่างที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้พยายามเปลี่ยนแปลงตัวตน แต่เป็นตัวเราในแบบที่ดีขึ้น อาจารย์ยังนำพาพี่ ๆ ที่เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ให้เราได้เห็นโลกหลายมุมมองมากขึ้นในชีวิต อยากขอบคุณทุกท่านตรงนี้ที่ช่วยสร้างและบ่มเพาะความรู้สึกที่ดีๆให้กับตัวข้าพเจ้ามากขึ้น รวมทั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไม่มีความสุขกับมัน หวังว่าพลังของพื้นที่แห่งนี้จะช่วยสร้างสิ่งดีๆ ให้กับคนรุ่นต่อๆไป และ พวกเราจะได้กลับมาเจอกันอีก

ขอบคุณทุกเรื่องราวจากเพื่อนๆ ที่แบ่งปันให้กันตลอดเทอมมันมีค่าจริงๆ ให้ตัวผม
ขอบคุณความห่วงใยจากอาจารย์ พี่ตู่ พี่มู ที่มองเห็นบางอย่างในตัวผม และสิ่งดีๆ จากพี่วิชัย พี่ฝน พี่เก๋ สร้างคลาสนี้ให้มีค่ายิ่งขึ้น

คนที่สิบสอง

*ก่อนเรียน

ผมเคยดูหนังมาหลายเรื่องที่มีการนั่งเป็นกลุ่มเล็กๆเป็นวงกลม เพื่อระบายความทุกข์ หรือแลกเปลี่ยนทัศนคติกัน และผมชื่นชอบมากๆ ผมคิดว่าตัวผมเองก็อยากจะมีพื้นที่ๆปลอดภัย ให้ได้พูดคุยและรับฟังปัญหาของสมาชิกในวง เพราะผมคิดว่าการฟังปัญหาของคนอื่น ในบางครั้งมันทำให้เราสามารถกลั่นกรองอะไรบางอย่างที่เป็นแนวคิดดีๆให้กับเรา

สารภาพตามตรงครับว่าผมไม่ได้อ่าน Course Syllabus ก่อนลงทะเบียนเลย ผมเลือกลงวิชานี้เพราะเห็นว่าเป็นวิชาเปิดใหม่ เห็นชื่อวิชาแล้วคิดว่าคงออกแนวจิตวิทยา ก็น่าคิดว่าน่าสนใจดี ประกอบกับคนลงน้อยด้วยผมจึงตัดสินใจเลือกวิชานี้ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือก่อนเรียนผมหวังให้วิชานี้มีกิจกรรมที่นั่งเป็นวงกลม และได้เปิดอกคุยกันแบบที่ผมเคยดูในหนัง ปรากฏว่าแวบแรกที่เปิดประตูเข้าห้องเรียนผมก็เหนทุกคนนั่งเป็นวงกลมอยู่ ซึ่งผมรู้สึกดีใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เค้าเรียนเลย และคิดว่าวิชานี้มีอะไรอีกเยอะแน่ๆ

*ได้อะไรบ้าง

สิ่งที่ได้รับหลักๆเลยจากการเรียนวิชานี้ก็คือ การเป็นมนุษย์ วิชานี้สอนพื้นฐานของการเป็นมนุษย์และการอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ด้วยการอยากถูกวิธี เช่น

1.ผู้นำ 4 ทิศ 
สอนให้เราได้รู้จักตัวเองว่าเราเป็นประเภทไหน และข้อเสียของเราคืออะไร เพื่อให้เราได้รู้เท่าทันตนเอง รู้ความแตกต่างของคนแต่ละประเภท เพื่อให้เราเข้าใจและรู้วิธีการอยู่ร่วมกันหรือทำงานร่วมกันกับคนแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม จากเมื่อก่อนที่ผมไม่ชอบคนเสียงดังพูดจาห้วนๆ ทุกวันนี้ก็จะมีสติมากขึ้นและพยายามฟังสิ่งที่เขาจะสื่อมากกว่าน้ำเสียงที่ออกจากปากเขา

2.นพลักษณ์

ผมดีใจมากที่ผมได้รู้จักนพลักษณ์ มันทำให้เรารู้จักตนเองและผู้อื่นชนิดที่ละเอียดลงไปยิ่งกว่าผู้นำ 4 ทิศ สิ่งที่ผมชอบมากๆคือ ผู้รู้ว่าข้อดีของผมคืออะไร ซึ่งปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชื่นชมตนเอง จากกิจกรรมนี้มั่นทำให้เราเห็นค่าของตัวเรามากยิ่งขึ้น ดังนั้นผมคิดว่าการรู้จักข้อดีของตนเองแบบนี้มันก็เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตและการเลือกอาชีพของเราได้ง่ายขึ้นว่า ตัวเรานั้นเหมาะกับงานประเภทไหน แต่ในขณะเดียวกันเราก็ได้รู้ข้อเสียของตัวเราเองด้วยเพื่อที่เราจะได้พัฒนาข้อเสียเหล่านั้นให้ดียิ่งขึ้นด้วย

3.กิจกรรมพี่ตู่ (Non-Violent Communication)

สำหรับผมสิ่งที่ผมสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้ทุกวันนี้เลยก็คือเรื่องของเสียงหมาป่า ผมพูดแย่ๆน้อยลง พูดจาโผงผางโดยไม่คิดน้อยลง มีสติในการรับฟังและพูดออกไปมากยิ่งขึ้น ส่วนตัวผมผมอยากให้คนทุกๆคนได้เรียนรู้เรื่องนี้ อย่างน้อยก่อนการจบมหาลัยผมอยากให้เพื่อนๆที่ไม่ได้ลงวิชานี้ได้เรียนรู้เรื่องนี้ เพราะเราเห็นได้ชัดเลยว่าการทะเลาะกันในหลายๆครั้ง ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกไม่ได้ของ2ฝ่ายแต่เกิดจาก การสื่อสารออกไปโดยเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง ดังนั้นผมเชื่อว่าทุกความสัมพันธ์จะยืดยาวขึ้น หากเราสื่อสารอย่างมีสติ

4. กิจกรรมพี่เก๋ (Creative Drama)

กิจกรรมของพี่เก๋แต่ละกิจกรรมเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากพอสมควร ผมชอบตรงที่ผมง่วงๆแต่พอได้ทำกิจกรรมของพี่เก๋แล้วรู้สึกตื่นตัวทุกครั้ง มีหลายกิจกรรมมากๆที่ผมประทับใจไม่ว่าจะเป็น Yes/No หรือการทำงานเป็นทีม (ที่แบ่งหน้าที่ 1-4) แต่กิจกรรมที่ตราตรึงใจสำหรับผมที่สุด คือการถามว่าความสุขคืออะไร ผมชอบมากๆ ตอนทำผมก็ไม่รู้หรอกว่าพี่เก๋ให้ทำทำไม แต่พอพี่เก๋บอกว่าเห็นไหมว่าจริงๆความสุขของเรามันไม่ได้จำเป็นที่ต้องหวือหวาอะไรเลย บางอย่างแค่ทำได้ง่ายๆเดี๋ยวนี้เลย มันก็คือความสุขของเราแล้ว ผมประทับใจมากๆครับ และในคราวที่ผมมีความทุกข์ผมจะนึกถึงกิจกรรมนี้ของพี่เก๋เสมอครับ

5. กิจกรรม Prototype

เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมได้เปิดโลกมากยิ่งขึ้น ได้รู้จักอาชีพที่ตัวผมเองนั้นมีความสนใจอยู่แล้วมากยิ่ง ขึ้นและจากการที่ตัวผมเองก็สนใจอาชีพนักบินอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นการสนใจโดยที่ผมนั้นสนใจภาพลักษณ์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือการมีหน้ามาตาในสังคม แต่หลังจากสัมภาษณ์พี่โบ๊ท มันทำให้ผมชื่นชอบอาชีพนี้ในแง่ของการทำงาน ความท้าทาย และประสบการณ์ที่จะได้รับ ซึ่งน้อยคนนักที่จะมีโอกาสหาประสบการณ์แบบนี้ได้ ดังนั้น ณ ตอนนี้แรงจูงใจในการเป็นนักบินของผมจึงมีมากขึ้น

*กิจกรรมที่ประทับใจมากที่สุด

การไปเขาใหญ่ ผมเคยไปเที่ยวลักษณะนี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีไกด์มาให้ความรู้ ดังนั้นการที่มีพี่วิชัยมาสอนเกี่ยวกับความหลากหลายของธรรมชาติ สอนดูพืชพันธ์ สอนการดมกลิ่น เป็นการเดินป่าครั้งนึงที่ผมประทับใจมาก แม้ช่วงเวลาการเดินจะหมดเร็วไปหน่อย แต่ก็มีความสุขมากๆ ที่ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนๆทุกคน กิจกรรมแต่ละกิจกรรมในการเดินป่า มันดูอินเป็นพิเศษเพราะด้วยความสงบของธรรมชาติ และด้วยบรรยากาศของคนรอบข้างที่กำลังเสพสุขกับธรรมชาติ ณ ขณะนั้น และอีกหนึ่งไฮไลท์ของทริปเขาใหญ่ คือกิจกรรมที่เพื่อนๆล้อมเราและพูดถึงเรา ผมรู้สึกดีใจนะ เพราะเพื่อนๆในวงพูดถึงเราไปในทางทีดี ก็แปลกใจพอสมควรเพราะไม่คิดว่าคนอื่นจะเห็นเราในมุมมองที่ดีขนาดนั้น และด้วยความที่บรรยากาศในคืนนั้นมันดีมากๆ ผมรู้สึกว่าคืนนั้นมันคือพื้นที่ๆปลอดภัยต่อการปลดปล่อย ได้เห็นเพื่อนบางคนที่ไม่เคยเล่าปัญหาของตัวเองให้คนอื่นฟังแต่เขาได้ปลดปล่อยมันออกมาในคืนนั้น ต้องบอกเลยว่าผมอยากอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นบ่อยๆ แม้ผมเองจะไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง แม้ผมเองจะชอบรับฟังปัญหาของคนอื่นแบบมีขอบเขตและขีดจำกัด แต่ผมเองมีความสุขมากเมื่อได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มของคนที่ได้ระบายความทุกข์ในใจออกมา

ขอขอบคุณอาจารย์หญิงอีกครั้งนะครับที่ทำให้มีวิชานี้
ขอบคุณที่มอบพื้นที่ๆปลอดภัยให้กับพวกเรา
ขอบคุณที่ทุ่มเทให้กับพวกเราอย่างเต็มที่
ขอบคุณที่สรรหากิจกรรมดีๆให้กับเรา ผมเชื่อว่าอาจารย์ต้องเหนื่อยบ้างแหละที่ทำให้พวกเราขนาดนี้ แต่อาจารย์ก็ยังไม่ย่อท้อ ที่จะมอบสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับพวกเรา
ขอบคุณที่ผมได้รู้จักอาจารย์
ขอบคุณที่ทำให้ชีวิตการเรียนมหาลัยของผมมีสีสันและน่าจดจำมากยิ่งขึ้น
ขอบคุณจริงๆ ครับผม😊😊

คนที่สิบสาม

ในช่วงระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ได้เข้ามาเรียนในวิชานี้ มีหลายสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ มีหลายกิจกรรมที่ได้สัมผัส อย่างแรกเลยก็คือ “การได้เรียนรู้และเข้าใจตนเอง” ถ้าถามว่าเมื่อก่อนผมรู้จักตัวเองมั้ย ผมก็คงตอบว่า รู้จักดิ แต่เมื่อได้เข้ามาเรียนในวิชานี้ หลายกิจกรรมเป็นเหมือนการล้วงเอาบางสิ่งบางอย่างจากจิตใจของเราออกมา จนบางครั้งสิ่งเหล่านี้ทาให้ผมได้ฉุกคิดขึ้นมาในใจว่า ผมรู้จักตัวเองอย่างที่เคยคิดไว้รึป่าว เพราะจากการได้เรียนรู้ถึง นพลักษณ์หรือคุณลักษณะ 9 ประการของมนุษย์ ซึ่งผมก็เพิ่งเคยได้ยินคำๆ นี้จากคลาสเรียนนี้เป็นครั้งแรก และก็ทำให้ผมได้รู้ว่าทำไมการรู้จักตนเองมันยากจังวะ

เพราะเนื่องด้วยหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมาซึ่งทับถมลงมาในจิตใจของเรา จนไปบดบังความเป็นตัวตนของผมทำให้ผมยากที่จะมองเห็นมัน แต่การได้เรียนวิชานี้ ได้เจออาจารย์หญิงและวิทยากรทุก ๆ ท่าน ทำให้ผมกล้าเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น กล้าที่จะเปิดใจพูดคุยกับผู้อื่นมากขึ้น ยอมรับและเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น ได้มองตัวเองลงไปลึก ๆ เพื่อพิจารณาว่าแท้จริงแล้วผมเป็นคนแบบไหน และต้องการอะไร ท้ายที่สุดแม้จะมีบางคำตอบที่ตอนนี้ผมเองก็ยังหามันไม่เจอ แต่ความคลุมเคลือมันก็จางลง ทำให้ผมเห็นคำตอบเหล่านั้นได้กระจ่างมากยิ่งขึ้น

อย่างที่สองคือ “การเข้าใจและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น” จากกิจกรรม ผู้นำสี่ทิศ นพลักษณ์ Deep Listening นอกจากที่ผมจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้นแล้วยังได้รู้จักเพื่อน ๆ มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งหากมองในระดับสังคมที่เราอยู่ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมคณะ รูมเมท อาจารย์ และทุกคน ๆ ที่เราต้องพบเจอ ผมได้เรียนรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เราทุกคนแสดงออกมานั้นล้วนมาจากเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ทุกคนมีแรงขับเคลื่อนข้างในต่างกัน ซึ่งเวลามีปัญหากับผู้อื่น เมื่อก่อนผมคงจะใช้แต่เสียงและเหตุผลของตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่มาถึงตอนนี้ทำให้ผมได้ฉุกคิด พยายามลดเสียงหมาป่าของตนเองลงแม้จะไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ทำให้เราไตร่ตรองถึงปัญหานั้นอย่างมีเหตุมีผลมากยิ่งขึ้น และหากมันแก้ไขโดยเริ่มจากตัวผมได้ก็จะลองทำดู

ส่วนอีกอย่างที่ประทับใจมากก็คือ กิจกรรมที่ให้จับคู่กันแล้วโคชเพื่อน ตามแนวทางที่พี่ตู่ได้ชี้แนะและสาธิตให้พวกเราดู ผมได้พูดบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจให้กับเพื่อน มันทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก ซึ่งก็นำไปสู่การเข้าใจและความต้องการตนเองอย่างที่เคยเขียนไว้ใน Reflection ก่อนหน้านี้ ผมได้พบคำตอบของคำถามที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาเนิ่นนานได้ชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้การที่ผมได้รับฟังเรื่องราวของเพื่อน ได้คอยสะท้อนคำถามเพื่อช่วยให้เค้าค้นพบคำตอบของสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเค้าเอง เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คงจะใช้ความคิดของผมบอกคำตอบนั้นไป แต่เพราะนี่คือการฟังแบบ Deep Listening ผมได้เรียนรู้ที่จะฟังผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ฟังโดยไม่ใช้ความคิดของเราเป็นบรรทัดฐานไปตัดสิน ต่อไปหากมีใครมาปรึกษาปัญหา สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่จะสามารถช่วยให้เค้าได้พบคำตอบเพื่อแก้ปัญหาทีมีอยู่หรืออย่างน้อยเราก็สามารถช่วยให้เค้าสบายใจขึ้นได้

อีกหนึ่งกิจกรรมที่สาคัญมากก็คือ การได้ไปพูดคุยกับคนเร่ร่อนย่านคลองหลอด ถ้าผมไม่ได้เข้ามาเรียนในคลาสนี้ก็คงไม่ได้มีโอกาสทำอะไรแบนี้ เหมือนเป็นการได้เปิดมุมมองของผมที่เคยมีมาต่างออกไป ซึ่งเมื่อก่อนภาพนึกคิดของผมที่มีต่อคนเร่ร่อนจะออกไปทางลบที่เรามองเค้าไม่ต่างอะไรจากคนบ้าข้างถนน แต่พอได้ลองมาพูดคุยมาเห็นของจริงมันทำให้มุมมองของผมที่มีต่อพวกเค้าเปลี่ยนไป ได้เรียนรู้ถึงสาเหตุว่าทาไมพวกเค้าต้องมาอยู่จุดนี้ ได้เรียนรู้ถึงชีวิตของพวกเค้า ที่บางคนก็น่าสงสารมาก ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานที่คนไทยคนหนึ่งควรได้รับ ได้เห็นถึงปัญหาที่เป็นอยู่ของสังคมเราในมิติที่ผมเองไม่เคยรับรู้มาก่อน

อย่างที่สาม “ การสื่อสารและการแสดงออก “ จากเมื่อก่อนที่ผมก็ไม่ค่อยได้พิจารณาการพูดของตัวเองมากเท่าไหร่ แม้ตัวผมก็อยากเป็นคนที่พูดจาได้ฉะฉานและเข้าใจง่าย แต่ก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจที่จะแก้ไขให้มันดีขึ้น พอได้มาเรียนวิชานี้ หลายครั้งที่ได้พูดให้เพื่อนฟัง ได้รับ feedback กลับมา ทำให้ผมเกิดความตระหนักที่จะพัฒนาทักษะการสื่อสารของตัวเอง รู้ว่าควรจะต้องปรับแก้ตรงไหนให้มันดีขึ้น

อย่างที่สุดท้ายคือ “การวางแผนชีวิต“ ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ Design My Life เมื่อก่อนผมคงไม่ได้มานั่งเขียนแบบแผนชีวิตและต้องไปสัมภาษณ์คนแบบนี้ แต่สาหรับตอนนี้อย่างน้อยผมว่ามันก็ทำให้ผมจริงจังกับการวางแผนชีวิตมากขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ ในตัวเราที่เราเริ่มมองเห็นมันชัดเจน รวมไปถึง connection ที่ได้รับจากการได้ไปสัมภาษณ์พี่ ๆ ในสายอาชีพต่าง ๆ ซึ่งถ้าต่อไปผมอยากจะทาอะไร ผมว่าการได้ผ่านกิจจกรรม Design My Life มานี้ ทำให้ผมกล้ามากขึ้นที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้คนที่ทาสิ่งนั้นอยู่จริง ๆ

ท้ายที่สุดนี้ ทุก ๆ สิ่งที่ได้ผมเรียนรู้มาทั้งหมดผ่านพื้นที่การเรียนรู้นี้ มันเหมือนก่อให้เกิดผลึกทางความคิดอะไรบางอย่าง ที่ทาให้อยากที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องการสื่อสาร การทำงาน การเข้าอกเข้าใจผู้อื่น รวมไปถึงการได้เสริมสร้างภูมิคุ้มกันชีวิตผ่านมุมมองต่าง ๆ ที่ผมได้มองเห็นมันมากขึ้น เพราะด้วยวิชาต่าง ๆ ที่เคยร่าเรียนมานั้นส่วนมากก็จะเน้นไปด้านวิชาการซึ่งก็สำคัญสาหรับการทำงานในสายวิศวกรของผม แต่วิชานี้แตกต่างออกไปที่จะเน้นไปที่ เรื่องราวของจิตใจ ซึ่งเป็นนามธรรมวัดค่าไม่ได้แต่รู้สึกได้ และสำคัญสาหรับต่อชีวิตของเราไม่แพ้กัน วิชานี้จึงเป็นเหมือนเสียงเตือนให้ผมได้ตระหนักถึงสิ่งสาคัญเหล่านั้นที่ผมอาจละเลยมันไป ขอบคุณมาก ๆ ครับ อาจารย์

Comments