การรวบรวมข้อเขียนทวนสะท้อนสำหรับ Leadership Class (2/4)

Photo Credit: เติ้ง NAPAT PUNNATRAKOON


เหล่านี้เป็น Class Reflection ของวิชา Collaborative Communication and Effective Leadership สามอันแรกอยู่ที่นี่ ได้รับอนุญาตจากนิสิตให้เผยแพร่ได้

อันที่ ๔ 

นี้เป็น reflection สุดท้ายที่จะได้มีโอกาสเขียน เกี่ยวกับคลาสที่ตัวฉันเองได้ไปนั่งเรียนทุกวันศุกร์บ่ายแบบไม่ได้ลงทะเบียน ทั้งcredit หรือ audit ก็ตาม ใช่คะอ่านไม่ผิดไม่ได้ลงทะเบียน แสดงว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างใช่ไหมที่ทำให้ฉันไปนั่งเรียนอยู่ได้ทุกศุกร์อยากแชร์ให้คนที่ไม่ได้ลงมาสัมผัสไปกับฉัน

การเรียนรู้ที่เกิดขึ้น

communication and leadership class ที่คลาสชื่อนี้ เพราะก่อนที่เราจะเป็นผู้นำคนอื่นได้ เราต้องเข้าใจตัวเอง เข้าใจถึงจิตใจและทิศทางที่ตัวเองจะเดิน ถ้าผู้นำยังหลงทางแล้วจะนำใครได้ (ประโยคนี้ก้องในหัวประมาณสองคาบสุดท้ายตอนที่ต้องเริ่มทำ prototype ออกมาเป็นรูปร่าง ) การเป็นผู้นำไม่ได้แค่เข้าใจแต่ตัวเอง แต่ต้องสื่อสารพูดคุยกับคนอื่นให้รู้เรื่องในแบบที่เขาเข้าใจถึงความต้องการของเราจริงๆ สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคลาสนี้มีหลายทักษะมาก คร่าวๆ ก็คงเป็น การจับประเด็น ใครๆก็คิดว่าเราต้องเรียนเหรอเรื่องแบบนี้ใครๆก็จับประเด็นของเรื่องได้ทั้งนั้น เราคิดอย่างงั้นนั้นจริงๆตอนเริ่มเรียน พอได้เรียนเลยรู้ว่าเราเข้าใจผิด เราเองเป็นนักจับประเด็นที่แย่มาก หลุดตลอดเวลา วัดจากการที่เราจับประเด็นชีวิตเราเองไม่ได้เลย

พอเข้าคาบถัดมาเป็นเรื่องความต้องการกับความรู้สึก สิ่งที่ได้จากคลาสนี้คือ การเห้นตัวเองจากความรู้สึกของเราจริงๆ เช่นการที่เราบอกว่าเหนื่อยจังวันนี้ จริงๆแล้วเราไม่ได้เหนื่อยหรอก เราแค่กำลังกังวลกับการทำงาน อยู่ต่างหากละ การเข้าคลาสนี้ทำให้ฉันเลเวพอัพเรื่องการเข้าใจตัวเองมากขึ้น ทำให้คุยกับตัวเองในแต่ละวันที่มีปัญหามันง่ายขึ้น ได้รู้ว่าคนเราควรมีคำศัพท์เกี่ยวกับความต้องการและความรู้สึกไว้ในหัวบ้าง เพื่อใช้เป็นเหมือนเครื่องมือในการจัดการตัวเอง

การสื่อสาร ฉันไม่เคยรู้เลยว่าบางทีการที่เราเงียบคือภาษาหมาป่าที่ไปทำร้ายจิตใจคนอื่น ทำให้ฉันคิดแยกแยะมากขึ้นในการใช้ภาษา หัดเรียบเรียงความต้องการของเราก่อนการสื่อสารออกไปหาคนอื่น หลีกเลี่ยงการพูดภาษาหมาป่าตอบกลับหมาป่าด้วยกัน สิ่งที่ได้สัมผัสคือความสงบจากพี่ตู่ผู้ชายที่หน้าดุแต่เมื่อได้ยินเสียงกลับมีเสน่ห์ เราไม่สามารถตัดสินใครจากภายนอกได้เลยจริงๆ เสียงพี่ตู่มันแสดงถึงความจริงใจในทุกคำพูด connection before solution ประโยคนี้ยังตามมาหลอกหลอนฉันตลอดจนถึงตอนนี้ มันจะเป็นเหมือนเครื่องเตือนใจฉันเองว่า อย่ามุ่งหาความสำเร็จจนลืมคนที่เดินข้างเรามา และไม่มีใครที่เข้าเส้นชัยคนเดียวได้

การได้ไปเขาใหญ่ สำหรับฉันตอนไปได้ความสงบ ส่วนตอนกลับมา ฉันเห็นตัวเองมากขึ้นว่าตลอดปีที่หนักหน่วงมานี้ ความสุขของฉันถูกแขวนไว้กับอะไร อะไรที่ยังถ่วงฉันให้เป็นแบบนี้ สุดท้ายพอหลังกลับมาฉันตัดสินใจตัดสิ่งนั้นออก

การโค้ชชิ่งและ NVC เป็นสองคลาสที่ฉันได้อะไรกลับมาเยอะเลย อย่างน้อยฉันก็มีเครื่องมือในการสื่อสารออกมาให้ดีกว่าเก่า อีกทั้งรู้มากขึ้นว่า เวลาคนเรามีปัญหาเขาไม่ได้อยากได้คำตอบ เขาต้องการคนรับฟังสิ่งที่เราต้องทำคือการเดินข้างเขาอย่างช้าๆ ค่อยๆทำความเข้าใจเขาและหาความต้องการของเขา แล้วตีให้มันชัดขึ้น

การละคร ใครจะคิดละ วิศวะอย่างเราๆ จะได้มาเรียนการแสดง เราไม่เคยรู้จักคำว่า ฐานหัว ฐานกาย และฐานใจ พอผ่านการเข้าเวิรคช้อป สองคาบนี้ ทำให้เห็นสมดุลของมันมากขึ้น ว่าทุกอย่างไม่ได้คลี่คลายได้โดยการใช้หัวเท่านั้น และบ่อยครั้งการใช้หัวมากๆ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นทั้งยังพาให้แย่ลงด้วยซ้ำ พอได้เห็นตัวเองสิ่งที่ได้เพิ่มาคือความไว้ใจ การเห็นพื้นที่ปลอดภัยของกันและกัน และการได้กลับมาทบทวนตัวเอง

prototype เป็นกิจกรรมที่มันเหมือนการประกอบจิ้กซอว์อะ ค่อยๆทำ ค่อยๆเข้าใจมัน ศึกษาทดลอง การได้ทำกิจกรรมนี้ฝึกให้เราพบกับคำว่าความผิดหวัง การรอให้เป็น การเข้าใจโลกว่า เราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของใคร ไม่ใช่ทุกคนที่เราร้องขอแล้วจะได้รับการตอบรับกลับมา การที่เราเห็นคนๆนึงใช้ชีวิตปกติมันก็เป็นแค่ด้านที่เขาให้เราเห็น พอได้เข้าไปคุยกันจริงๆทำให้เราพบมิติอื่นๆที่ เราไม่คาดหวังไว้ สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้คงเป็นข้อคิด มุมมองที่ต่างออกไป ความเชื่อเรื่องทุกอย่างมีเวลาของมัน บางทีการที่เราไม่ได้เพราะมันไม่เหมาะกับเราแค่นั้นเอง หรือจะเรียก จักรวาลไม่ได้จัดสรรให้เรา

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเอง


การไว้ใจและมิตรภาพ เป็นสิ่งที่เริ่มตกตะกอนในคาบท้ายๆของการเรียนการที่เรากล้าเรียกพวกเขาเหล่านี้ว่าเพื่อน มีหลายคนที่เราสนิทกับเขามากขึ้น พูดคุยกับเขามากกว่าสี่ปีที่อยู่ด้วยกันมา เรามักจะมองเสมอว่าการที่เราจะสนิทกับใครสักคนมันเป็นเรื่องยาก พอผ่านการเดินทางครั้งนี้ มันไม่ได้ยากขนาดนั้นทุกอย่างแค่ต้องการเวลา อย่างเราเองก็ยังต้องการเวลา ในความสัมพันธ์ก็เช่นกัน ไม่ต้องรีบร้อนในการไปทำความรู้จักใคร คลาสนี้สอนให้ฉันระวังเรื่องคำพูดและการกระทำที่ในบางครั้งที่ละเลยมันไป ฉันเองได้กลับมาทบทวนเรื่องความเชื่อของตัวเอง พอได้ลองทำความรู้จักกับแก่นความเชื่อตัวเอง มันทำให้เรารู้จักกับตัวเองมากขึ้น เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า เราขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยความกลัว เรามองว่าเราเป็นคนรอบคอบแค่นั้น อีกคำพูดนึงที่ได้ยินมาคือ ตอนคาบแรกๆที่เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุม ตอนนี้หมอกเหล่านั้นจางลงไปแล้ว ส่วนตัวมองว่า เพราะการที่เราเอาสิ่งที่ถ่วงมันออก แล้ว enjoy life มากขึ้น กับอีกประโยคคือ ฉันสวยขึ้น อันนี้ก็ งง เมื่อได้ยินแต่ก็ปลื้มนิดๆนานๆทีจะมีคนชมว่าสวยสักทีนึง ขนาดพี่ชายยังไม่เคยชมว่าสวยเลย

สิ่งที่เห็นชัดคือ เมื่อรู้จักตัวเองมากขึ้น การได้ทำอะไรนอกกรอบตัวเองเป็นเรื่องท้าทาย คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเปลี่ยนแปลงไปคงเป็นการที่เราโตขึ้นอีกแล้ว

สิ่งที่ชอบที่สุดในคลาส


เสียงหัวเราะของอาจารย์คะ แล้วก็ความกล้าในการเปิดใจของเพื่อนทุกคนและการที่พื้นที่ปลอดภัยยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยของกันและกันได้จริงๆ รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเพื่อน การได้ฟังเรื่องราวต่างๆเหล่านั้นมันเหมือนเติมพลังให้เราเอง บางเรื่องที่เราฟังแล้วขนลุกก็มีเยอะ บางเรื่องที่พอฟังแล้วหดหู่ไปเลยก็มี

foot note


ขอบคุณอาจารย์หญิงมากนะคะ สำหรับทุกอย่างตั้งแต่ให้หนูได้มีโอกาสเป็นส่วนนึงของคลาสนี้และจัดกิจกรรมทุกอย่าง

ถึงเพื่อนทุกคน ขอบคุณ​พวกเธอจริงๆที่ยอมรับฉัน ไม่ด่าฉันเวลาถามมาก(อันนี้ไม่นับด่าในใจ) ยอมเปิดใจเล่าเรื่องส่วนตัว และมุมมองต่างๆ ของพวกเธอมีส่วนทำให้ฉันเติบโตขึ้น และ เกิดคำถามที่ต้องกลับมาทำการบ้านในบางครั้ง

ถึงวิทยากรทุกท่าน ขอบคุณ​ที่ยอมสละเวลามาสอน ทุกครั้งที่หนูได้เรียน มันได้ประโยชน์​และบางครั้งมันทำให้หนูได้รู้จักตัวเองมากขึ้น แล้วได้นำสิ่งที่เรียนไปพัฒนา​ตัวเอง และช่วยเหลือคนอื่น ขอบคุณ​นะคะ

อันที่ ๕


หลายคนคงสงสัยครับว่าทุกวันศุกร์ผมต้องเรียนหรือต้องเจอกับอะไรบ้าง ผมเองก็เคยสงสัยครับ เปิดคาบแรกของเจ้าตัววิชานี้ด้วยการเปิดไพ่ที่ตอนแรกผมนึกว่าเป็นไพ่แบบยิปซีหรืออะไร แต่ความจริงที่ได้มันคือ ข้อความจากจักรวาล เป็นตัวที่เตือนสติเราไปพร้อมๆกับชี้ทางออกให้เสมอ และแน่นอนครับผมชอบมากที่เกือบทุกวันศุกร์ผมจะได้มาจับอะไรแบบนี้ ซึ่งอาจารย์เองก็มีอยู่หลายสำรับ มันสนุกเลยทีเดียวล่ะผมตื่นเต้นมากๆที่ได้จับในแต่ละครั้ง และมันเหมือนเป็นสัญญาณบางอย่างเรียกตัวเรากลับมาจากความฟกช้ำที่เราได้เจอมาตลอดทั้งสัปดาห์

บวกกับการที่อาจารย์ให้เราทุกคนรวมถึงอาจารย์เรียกเช็คอินทุกคนว่ารู้สึกอย่างไร เป็นไงบ้างตลอดทั้งสัปดาห์ที่ได้เจอมา สามสัปดาห์แรกผมสัมผัสได้ถึงความอมทุกข์ ความกังวล ความหดหู่ของหลายๆคนรวมถึงตัวผมเอง แต่ไม่รู้ทำไมเพียงผ่านมาถึงวันศุกร์ผมจะได้เหมือนกลับมาอยู่ในที่ที่ของตัวผมเองทั้งๆที่มันก็ไม่ใช่ห้องหรือบ้านผมแม้แต่นิดเดียว น่าแปลกที่หลายคนในคลาสเรียนเองก็รู้สึกเช่นนั้น สังเกตจากความผ่อนคลายขึ้นเมื่อกิจกรรมเริ่มไปเรื่อยๆ

 เกริ่นนำมาเยอะพอสมควร ผมว่าผมคงเริ่มต้นเล่าเกี่ยวกับเจ้าวิชานี้ไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของผมเองดีกว่า เริ่มจากผมเชื่อว่านิสิตวิศวะหลายคน หรือเพื่อนๆนิสิตที่เรียนในมหาวิทยาลัย อาจไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเจอหรือกำลังเรียน คลาสนี้ก็เช่นเดียวกันครับ เหมือนพวกเราหลายๆคนถูกจัดสรรให้มาเปิดโอกาสให้กับตัวเอง ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ได้คลี่คลายหลายๆปมให้กับตัวเองและกับคนอื่น หลายครั้งเหลือเกินที่ผมชอบทำตัวว่ารู้เรื่องพวกนี้แจ่มแจ้งชัดเจนดีแล้ว แต่ยิ่งเรามาเรียนคลาสนี้ไปเรื่อยๆก็ยิ่งเหมือนมีสิ่งต่างๆมากมายที่ทำให้เรารู้ัสึกเหมือนแก้วเปล่าพร้อมที่จะกระหายให้น้ำมาเติมอยู่ดี

คาบแรกที่ผมเจอก็รู้สึกประทับใจเลยที่คณะบดีมาบรรยายพูดเกี่ยวกับวิศวกรรมอุตสาหการที่พวกเรากำลังเจออยู่ว่าคืออะไรเรียนไปเพื่ออะไร เป็นความรู้สึกดีเล็กๆที่ระดับคนที่คิดว่างานยุ่งมากๆ สละเวลาเพื่อมาเราให้พวกผม 12-13 คนได้ฟังบรรยายในคาบแรกซึ่งก็ทำให้ผมเห็นถึงความตั้งใจของอาจารย์หญิงที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อเด็กๆในคลาสของอาจารย์ และกิจกรรมดังกล่าวมันก็ทำให้ผมตระหนักถึงหน้าที่และสิ่งที่ต้องเจอของตัวเองมากขึ้น

หลายคนอาจคิดว่าตัวเองมาเรียนๆๆๆ เพราะมันคือหน้าที่ เรียนจบก็คือจบ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่ ไม่มีใครอยากเริ่มอะไรใหม่บ่อยๆ เราจะต้องรู้ว่าที่เราเรียนมันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง ถึงแม้อนาคตข้างหน้าเราจะไม่ได้ทำงานตรงตามสายที่เราเรียนมา แต่หลายสิ่งที่เราได้เจอในระหว่างเรียนนี้เราจะสามารถเอาสิ่งเหล่านั้นไปใช้ได้เสมอ ผมไม่เคยเห็นด้วยกับข้อความ เรียนไปก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง จริงๆอย่างน้อยกระบวนการคิดต่างๆเราก็สามารถเอามาใช้ในชิวิตจริงได้ ซึ่งผมก็ได้เอาไปใช้ในการทำงานร่วมกับคนอื่นได้เป็นอย่างดีทั้งในระดับงานเล็กใหญ่ต่างๆ ไม่ได้จะสื่อว่าเรียนวิศวะจะดีกว่าคณะอื่น เพื่อนผมที่เรียนจากคณะอื่นก็มีวิธีการคิดในการแก้ปัญหาในทิศทางของเขาเช่นเดียวกัน ซึ่งนั้นก็ทำให้งานเดินหน้าไปได้ด้วยดีทุกๆครั้งเสมอ

ผมว่าคนที่จะเอ่ย คำว่าเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ในชีวิตจริง น่าจะเป็นคนที่ชอบหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองมากกว่า ซึ่งผมก็เคารพความคิดของเขาเหล่านั้นแต่ไม่ต้องการให้มาพูดบอกคนอื่นที่เขากำลังตั้งใจในสิ่งต่างๆที่เจออย่างแน่นอน เพียงแค่คาบแรกคาบเดียวก็เริ่มทำให้ผมเริ่มปักหมุดค้นหาจุดหมายตัวเองมากขึ้นเรื่อย เพื่อนๆหลายคนในคลาสผมก็รู้จักบ้าง และก็มีพี่ๆอีกสามคนที่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแปลกแยกอะไรนัก ผมได้สัมผัสกับพี่ในคลาสของการเป็นผู้ฟังที่ดี ผมไม่รู้ว่าเป็นพรสวรรค์หรือเป็นความช่างสังเกตของผม ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวในความมั่นใจ ความใส่ใจในคำว่าอะไรก็ได้ ความปลอดภัยในความอยากออกไปสัมผัสโลกกว้าง ซึ่งการที่เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ในคลาสครั้งแรกนี้

ผมประทับใจทั้งในการเปิดใจของพี่เขาและการที่ผมเปิดใจ กิจกรรมการฟังเชิงลึกนี้ผมสามารถนำไปใช้ได้จริงๆ ทั้งจากที่อาจารย์หญิงได้ให้การบ้านไปทำ และผมเองก็ได้มีโอกาสช่วยเพื่อนคนอื่นๆ มาจนถึงทุกวันนี้ด้วยสกิลที่อาจารย์ได้สอนผมมา ช่วงคาบที่สองคาบที่สาม เรียกได้ว่าผมเจอพายุทางอารมณ์ของตัวเองเป็นอย่างหนัก ทั้งงาน เรียน และการใช้ชีวิต ผมตัดสินใจเดินไปคุยแบบเปิดใจกับอาจารย์ในท้ายคาบ และอาจารย์หญิงก็ได้ให้ผมลองเล่นไพ่ความรู้สึก ความต้องการ นั้นทำให้ผมได้เห็นความ ความคิดของผมมันฟุ้งกระจายไปหมด ไม่เป็นหมวดหมู่ จนอาจารย์ได้เริ่มชี้ทางแต่ไม่ได้บอกทางออก เพราะคำตอบคงมาจากตัวเราเองที่เราได้เลือกสไพ่ต่างๆออกมาแล้ว

สิ่งที่ผมชอบในคลาสนี้อย่างนึงคือ ทุกครั้งๆที่เจอปัญหาที่ต้องการทางออกมากๆ ทุกคนในคลาสไม่ว่าอาจารย์หรือวิทยากรเองก็ตาม ไม่เคยที่จะบอกทางของเราว่าควรไปทางไหนต่อ เพียงแต่จะชี้นำว่าเราสามารถไปทางไหนได้บ้าง และให้เราเป็นคนตัดสินใจเสมอ

ผมเชื่อว่าทุกปัญหาของเรา ไม่สามารถให้คนอื่นมาแก้หรือคนอื่นบอก นอกจากว่าเราได้ให้คำตอบด้วยตัวเอง หลายครั้งที่ผมสังเกตตัวเองว่าคำตอบมันอยู่ในตัวผมอยู่แล้ว ผมถามคนอื่นเพื่อความไม่มั่นใจเท่านั้น เพราะสุดท้ายแล้วคำตอบมันซ่อนอยู่ในคำพูดเรา การกระทำเรา อยู่ที่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำมันก็เพียงแค่นั้นเอง นั้นคือสิ่งที่ทำให้ผมชอบและเชื่อในสิ่งดีๆที่ผมจะได้เจอต่อไปสำหรับคลาสนี้

ผมชอบกระโยคหนึ่งของอาจารย์ที่พูดว่า พวกเราเรียนวิศวะ ข้อเสียที่พวกเราถูกสร้างมาให้เป็นคือจะชอบมองแต่ผลเสียมาก่อนอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องจักรเสีย ขาดทุน เวลาที่เสียไป หรืออะไรก็ตาม จนหลายครั้งเราก็มองข้ามสิ่งที่ควรจะมองจริงๆ เสมอ วิชานี้เหมือนได้เรียกตัวผมเองกลับมาจากที่ล่องลอยเคว้งมาตลอดทั้งสัปดาห์ ถ้าทางภาคเหนือภาคอีสานเขามีพิธีเรียกขวัญ วิชานี้ก็คงไม่ต่างกันทุกๆครั้งที่เราทำกิจกรรมก็เปรียบเสมือนพวกเราทุกคนทำพิธีกรรมดังกล่าวอยู่ และก็ทำอย่างมีจุดหมายเสียด้วย

ใจจริงๆ ผมเองก็อยากบรรยายไล่ทุกคาบที่ได้เจอมา แต่คิดว่ามันน่าจะเยอะเกินไปเพราะอาจารย์เองก็ได้ให้ส่ง Reflection สำหรับทุกๆคลาสอยู่แล้ว และอีกสามาเหตุหนึ่งคือในใจของผม ณ ขณะที่พิมพ์อยู่ตอนนี้  มันมีหลายประโยคหลายเรื่องมากที่ต้องการจะสื่อออกมาสำหรับวิชานี้ มากมายเหลือเกินจนผมกลัวว่าจะเรียบเรียงมาไม่หมด แต่สิ่งหนึ่งของวิชานี้ที่ผมสามารถเอามาใช้แก้ไขสิ่งที่มากมายในใจตอนนี้ คือผ่อนคลาย และเขียนมันไปเรื่อยๆ อย่างไม่คาดหวัง ไม่กังวล

ผมเคยเป็นคนขี้กังวลมาก หลายครั้งก็แอบวิตก แต่พอได้มาเรียนรู้ทักษะต่างๆของวิชานี้ สิ่งที่ผมเคยกลัว กังวล ก็ทำให้ผมจัดการกับมันได้ดี น่าแปลกนะครับ ผมจำได้ว่าประมาณสี่ห้าคาบทุกครั้งท้ายคาบ ผมจะวิ่งตรงเข้าไปปรึกษาอาจารย์ในเรื่องต่างๆที่ผมเจอและไม่กล้าตัดสินใจ แต่พอผมได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เรียนรู้แล้วเรียนรู้อีก ทบทวนสิ่งต่างๆที่เจอมา ผมสามารถจัดการกับปัญหาได้ซึ่งๆหน้าได้อย่างไม่กังวลอะไร ผมสามารถกลับมาหาอาจารย์เพื่อบอกเล่าในสิ่งที่ได้เจอและจัดการมาด้วยความสนุก ที่ไม่ใช่การปรึกษาด้วยการกังวลหรือทุกข์ใจแบบครั้งก่อนๆ
 
คาบสุดท้ายของการนำเสนอ อะไรก็ไม่รู้ในหัวของผม ทำให้ผมพูดออกมาว่าตอนนี้ผมเหมือนผีเสื้อจริงๆแล้ว ออกบินไปได้แบบไม่กังวลอะไร ผมประทับใจกับคำพูดของพี่มูที่ว่า ก่อนจะเป็นผีเสื้อ เราก็ต้องเป็นดักแด้มาก่อน ซึ่งดักแด้ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเจ็บ ผมเองก็ได้ย้อนสังเกตตัวเองในทันที ว่าเราเองก็เจ็บมากในช่วงหนึ่งของชีวิต และก็มีหลายๆสัญญาณที่บอกว่ามันหยุด และจบได้แล้วกับความเจ็บปวดพวกนี้

ผมรู้สึกเคารพและก็รักตัวเองมากยิ่งขึ้น กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ที่อาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอนาคตข้างหน้าได้เลยทีเดียว และผมก็สามารถผ่านสิ่งเหล่านั้นมาได้ นอกจากอาจารย์ที่ทำให้ผมแกร่ง พี่มูก็เช่นเดียวกันที่ทำให้ผมโตขึ้นและเป็นผีเสื้อที่กางปีกได้เต็มๆอีกคนหนึ่ง พี่มูเป็นคนที่เก่งมาก ช่างสังเกต และให้คำแนะนำที่ดีกับผมเสมอ และแน่นอนคำแนะนำก็ยังไม่ใช่คำตอบของปัญหา เพราะจากที่บอกไป ทุกทางออกมันอยู่ในตัวเราเองอยู่แล้ว ทั้งความคิดและการกระทำ มีอยู่ในช่วงหนึ่งผมรู้สึกท้อและกดดันมาก จนเราต้องเอ่ยปากขอปรึกษาพี่มู ซึ่งผมเองก็รู้สึกโชคดีที่ได้รู้จักกับคนเก่งอีกคน ทำให้ผมได้ย้อนกลับมาสำรวจตัวเอง สิ่งที่ผมจะหลุดเข้าไปจากนิสัยของตัวเอง ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมต้องควบคุมตัวเองและจัดการกับสิ่งที่เจออยู่อย่างเด็ดขาด ผมรู้สึกโตขึ้นมากจริงๆ ทั้งจากการที่ได้พูดคุยกับพี่มูและการได้ไปใช้ชีวิตในป่าร่วมกับทุกคน

การเดินป่าก็เช่นกัน เป็นอีกสิ่งที่ผมประทับใจมาก ได้อยู่ร่วมกับเพื่อนๆ อาจารย์ และพี่มูพี่วิชัย ทุกๆคนช่วยกันเสริมให้กิจกรรมสนุกขึ้นมากๆ ยิ่งอาจารย์บอล ผมเองก็รู้สึกประทับใจในตัวอาจารย์เลยไม่น้อย ไม่คิดว่าอาจารย์จะเปิดใจและแชร์สิ่งดีๆให้กับกิจกรรมได้ดีมากทีเดียว จนบ่อยครั้งผมรู้สึกเหมือนพี่ชาย และกับอาจารย์หญิงผมก็รู้สึกเหมือนแม่ที่ไล่ไปอาบน้ำบ่อยๆ 55 ผมได้เรียนรู้มากขึ้นๆจริงๆ เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นที่ใจกว้าง แต่หลังจากกิจกรรมนี้ผมรู้สึกใจผมกว้างขึ้นมาอีก มันคือความทรงจำที่ผมไม่มีวันลืมแน่นอน ผมพูดกับปรางบ่อยมากๆ ว่าเวลาได้รับลมธรรมชาติเย็นๆที่กรุงเทพที่ไร ผมอดคิดถึงเขาใหญ่ไม่ได้เลยจริงๆ คิดถึงสัตว์ เสียงต่างๆ ภาพบรรยายกาศที่ผมได้เปิดเต้นมาเจอในตอนเช้า ผมสามารถกลับมาพูดเรื่องนี้ได้อย่างไม่มีเบื่อ นึกถึงทีไรก็อมยิ้มกับสิ่งต่างๆที่ได้เจอมาเสมอ มันละลายพฤติกรรมของพวกผมไปได้เยอะเลยทีเดียว

พูดถึงการละลายพฤติกรรม คงจะไม่พูดถึงการออกนอกสถานที่ครั้งแรกของพวกเราไปไม่ได้การที่เราได้ออกไปพบกับเหล่าบรรดาคนเร่ร่อนไร้บ้าน ผมได้มุมมองความคิดการใช้ชีวิตขึ้นมากจริงๆ จากที่ผมหวังว่าจะได้สิ่งเหล่านั้นจากคนไร้บ้าน แต่ความจริงพี่ๆเจ้าหน้าที่ต่างหากที่เป็นทำให้พวกผมได้รับสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ผมเรียนรู้ที่จะไม่ตัดสินคนแต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องไม่เชื่อคนง่ายด้วย


กิจกรรมเหล่านี้มันหล่อหลอมให้ผมได้โตเป็นผู้ใหญ่อีกระดับ ที่สำหรับผมผมต้องเรียกมันว่ามีคุณภาพเลยทีเดียว ผมสามารถซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้นจากคลาสของพี่เก๋ สามารถควบคุมตัวเองได้ และเรียนรู้ที่จะถ่ายทอดอารมณ์ไปในทางที่ถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจมากกับความสามารถของพี่เก๋และซึ่งได้รู้จักพี่เก๋มากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกโชคดีเลยทีเดียว และผมก็จะตั้งตารอจดหมายของอีกสองปีข้างหน้าที่ผมได้เขียนไว้กับตัวเอง อีกคนหนึ่งที่ผมจะไม่กล่าวถึงไม่ได้คือพี่ตู่ ผมเรียนรู้ที่จะสื่อสารให้ออกมาดีเท่าที่จะดีได้ มันไม่มีคำว่าดีที่สุด มันมีแต่คำว่าดีกว่า และคำว่าดีกว่านั้นก็เปลี่ยนความรุนแรงกลายมาเป็นความสุขมาได้นักต่อนักแล้ว สำหรับคลาสของพี่ตู่ ผมแอบรู้สึกว่าตัวเองบังเอิญเสมอในทุกๆครั้งที่พี่ตู่มา ผมจะต้องเจอกับเรื่องที่ไม่คาดคิด และเมื่อมาถึงวันศุกร์ผมก็สามารถจัดการมันได้กับสิ่งที่ได้เรียนจากพี่ตู่เสมอ ผมเองก็รู้สึกขอบคุณจักรวาลเหมือนกันที่ทำให้ผมได้พบกับแนวทางในทุกๆวันศุกร์นี้ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าในช่วงนั้นผมไม่ได้มาทำอะไรแบบนี้ ตอนนี้ผมจะเป็นอย่างไร

 มีไม่กี่คนหรอกนะครับที่จะได้เห็นน้ำตาของผม ต้องยอมรับว่าวิชานี้ มันเจาะลึกลงไปในความรู้สึกของผม จนผมกล้าที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา ผมได้กลับไปตามเก็บชิ้นส่วนของผมที่ขาดหายที่ละนิดทีละหน่อย และสิ่งหนึ่งที่ผมยังคงศรุทธาและเชื่อมาเสมอคือการเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆที่เราผ่านมา ไม่จำเป็นที่เราจะต้องตามหาความเป็นตัวเรา หรือกระหายในสิ่งที่ต้องการจะเป็น ลองย้อนมองกลับตัวเองสักหน่อยว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง และสิ่งที่เราเจอช่วยทำให้เราดีขึ้นหรือมาประกอบร่างให้เป็นเราแบบทุกวันนี้ขนาดไหน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่

ผมคิดว่า คำว่าชีวิตของเรา ถ้ามันเป็นส่วนประกอบของชีวิต จะเล็กหรือใหญ่ก็ล้วนมีส่วนหมดทั้งสิ้น และคำว่าชีวิตนี้แหละครับมันได้ถ่ายทอดออกมากเป็น Odyssey plan และนำไปสู่งาน prototype ที่ผมและเพื่อนๆได้ทำผมรู้สึกโชคดีมากครับที่ได้เริ่มทำอะไรแบบนี้ ผมเป็นคนหนึ่งที่กลัวอนาคตอยู่เสมอ แต่ถ้าหากมีตัวเลือกมาให้เราลองสร้างผมคิดว่าวิธีนี้คือทางออกที่ดีสำหรับผมเลย ผมได้ซื่อสัตย์กับตัวเองอีกครั้ง ได้ลองฟังเสียงหัวใจ ความรู้สึกอย่างแท้จริง และได้เรียนรู้ความทุ่มเทของตัวเองกับการที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบและตั้งใจ และผมเองก็ชื่นชมงานของเพื่อนๆด้วย มันสะท้อนให้เห็นว่าสังคมไม่ควรจะไปกำหนดกรอบของคนแต่ละคน ทุกคนมีแนวทาง ความชอบ และความฝันที่ต่างกันไป เรียนรู้ที่จะไปสู่เป้าหมายด้วยความสุขก็เพียงพอ

 สำหรับผมเองรู้สึกโชคดีมากๆที่ได้เข้ามาร่วมกับครอบครัวในวิชานี้ เราได้เปิดใจ และทำความรู้จักกันที่แก่นแท้ของกันและกันจริงๆ ไม่มีใครหัวเราะได้มีความสุขเท่ากับพี่แพค ทุกครั้งที่พูดเรื่องแม่จะได้เห็นความอ่อนหวานที่ไม่อ่อนแอของพี่เนย ความฝันและทำได้จริงๆในตอนนี้ของพี่เก้า และกับเพื่อนๆทุกคนที่ต่างใส่ใจกัน รวมไปถึงอาจารย์หญิงที่พี่ตู่พูดเสมอว่า หัวใจของผู้หญิงคนนี้คือสิ่งที่ทำให้เขาชื่นชม ผมเองก็เช่นกัน ทุกครั้งที่ผมเห็นน้ำตาของผู้หญิงคนนี้ มันเหมือนน้ำที่มีความกัดกร่อนสูง กัดลงไปที่เหล็กหนาๆ ซึ่งนั้นคือสิ่งดี ชีวิตมหาลัยน้อยมากที่ผมจะได้รู้สึกดีกับผู้คนขนาดนั้น และอาจารย์หญิงคือคนนึงที่ทำให้ชีวิตมหาวิทยาลัยผมสดใสขึ้น

สำหรับคนที่จะมาเรียนในเทอมต่อๆไป ผมอยากฝากไว้ว่า ไม่ต้องคาดหวังอะไรมากมายนัก เพียงแต่ขอให้คุณเปิดใจจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้บังคับให้คุณเปิดใจเสียทีเดียว ผมเชื่อในตัวอาจารย์หญิงของผม ว่าผู้หญิงคนนี้ สามารถจัดการและให้สิ่งดีๆจนพวกคุณนึกไม่ถึงจนเผลอเปิดใจให้เต็มๆแบบไม่รู้ตัวเลยที่เดียวแหละ ก่อนหน้าที่ผมจะได้เข้ามาเรียนในคลาสนี้ ผมรู้สึกโลกนี้น่าอยู่แต่จะดีกว่านี้ถ้าผมอยู่ในที่ของตัวเอง แต่หลังจากจบคลาสนี้ผมเรียนรู้ที่จะมีที่ของตัวเองในทุกๆ ที่โดยไม่ต้องเบียดเบียนใครหรือเรียกร้องอะไรจากใคร ผมเรียนรู้ที่จะไม่เอาข้ออ้างของตัวเองและคนอื่นมาเป็นตัวกำหนดการกระทำของตัวเองและคนอื่น และผมไม่กลัวที่เมื่อจบคลาสนี้แล้วผมจะกลับมาแย่กว่าเดิม ผมกล้าพูดว่า คลาสนี้ทำให้ผมสามารถจัดการกับสิ่งต่างๆที่จะได้เจอได้ด้วยตัวเอง และได้โตขึ้นในแบบที่ผมควรจะเป็น หลายวิชาที่ผมเคยเจอเคยเรียนมา มักว่าด้วยค่าต่างๆ ความเป็นไปได้ เงิน การคำนวณ การชั่งการวัด แต่น้อยมากที่จะเจอวิชาที่เจอลึกในแง่ความรู้สึกของคน การจะทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ไม่ว่าจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญที่จะอยู่รอดในสังคมที่ท้าทาย หรือหลายคนมองว่ามันโหดร้าย แต่สำหรับผมโลกนี้คือการค้นหาต่อๆไปไม่สิ้นสุด ขอบคุณมากครับ

Comments