การรวบรวมข้อเขียนทวนสะท้อนสำหรับ Leadership Class (1/4)

Credit: เก้า (นภสินธุ์ พึ่งพรหม)

จากคลาส Collaborative Communication and Effective Leadership การบ้านสุดท้ายคือทุกคนต้องเขียนทวนสะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากคลาส ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนให้เผยแพร่ได้ 

อันแรก

หนูรู้สึกโชคดีมากที่เรียนปี 5 และได้ลงเรียนวิชานี้ รู้สึกมันเป็นวิชาที่ได้แง่มุมและพลังในการใช้ชีวิตในหลายๆอย่าง ยอมรับว่าครั้งแรกที่ลงหนูไม่ได้อ่านหรือศึกษาอะไรเกี่ยวกับวิชานี้เลย แต่จากที่หนูได้มีโอกาสทำโปรเจคกับอาจารย์ หนูรู้สึกชอบและศรัทธาในตัวอาจารย์ เลยเลือกลงวิชานี้ แปลกที่วิชานี้ทำให้หนูกลายเป็นอีกคนซึ่งปกติหนูเป็นคนใจร้อน เชื่อในตัวเอง ค่อนข้างเก็บตัวและจะระวังตัวมากในการที่จะสนิทกับใคร แต่พอมาอยู่ในคลาสนี้กับทุกคน หนูไม่รู้เหตุผลว่าทำไมมันกลับทำให้หนูอยากรู้จักทุกคน อยากรับฟังทุกเรื่องราวของทุก อยากเป็นคนที่ช่วยให้เค้าผ่านสิ่งที่กำลังเจอไปได้ และยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับทุกคนโดยไม่มีกำแพงใดๆ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำ แต่เดิมหนูจะเป็นคนที่ไม่สนใจกับคนที่ออกจากชีวิตเราไปด้วยการเข้าใจผิดหรือทำให้เราเสียใจ หนูเลยลองไปปรับความเข้าใจเพื่อนที่เคยทะเลาะกันจนเราสามารถกลับมาคุยและเข้าใจในสิ่งที่เกิดระหว่างเรา จึงรู้สึกว่าคลาสนี่เปลี่ยนหนูในแนวทางที่ดีขึ้นเยอะมากๆ และใจหายที่คลาสนี้กำลังจบลง ขอบคุณอาจารย์นะคะที่ทำเพื่อพวกเราขนาดนี้ อาจารย์คืออีกหนึ่งคนสำคัญในชีวิตเนยเลยค่ะ


อันที่สอง

"มึงมันพูดไม่รู้เรื่อง"
"...มันพูดว่าอะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย"
"ชั้นคิดว่าเธอไม่ได้พูดมันออกมาจากใจเธอจริง"
"(ความเงียบ)"
"รู้ตัวมั้ยว่าพูดอะไรลงไป"
ใช่แล้ว คำพูดของชั้นเป็นเหมือนลมปาก ถึงแม้ว่ามันจะมีความรู้สึกของชั้น ความต้องการของชั้น มากมายเป็นหมื่นล้านคำอยู่เพียงใด มันก็เป็นเหมือนลมปาก ที่พูดดังแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน หรือถ้าเธอได้ยินชั้น เธอก็ได้ยินแต่เสียงของหมาป่า ที่คอยเชือดเฉือนเนื้อของเธอ เสียงที่เริ่มต้นสงคราม เสียงที่ทำลายทุกความสัมพันธ์ของชั้นและเธอลงไป
.
.
.
.
.
.
.
.
ย้อนกลับไปเมื่อสามสี่เดือนที่แล้ว
ชั้นพบว่าวันศุกร์ของชั้นมีเรียนแค่คาบเดียวและครึ่งบ่ายว่าง
ชั้นพร้อมจะไปหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์ที่ชั้นไม่เคยไปแล้ว
(เสียงแจ้งเตือนเฟสบุ๊ค)
"เห้ยอะไรน่ะ
มีเพื่อนเขียนอะไรไม่รู้บนหน้าฟีดข่าว
มันคือรีเฟลคชั้นเหรอ 
หือ ไออีคืออะไรเนี่ยนะ น่าเบื่อจัง 
ห้ะ เพื่อนเสนอว่าอยากให้มีกิจกรรมไอซ์เบรคกิ้งด้วย

ด้วยความที่ชั้นเคยได้ไปค่ายบ่อยๆ รู้สึกสนุกกับไอซ์เบรคกิ้ง 
ชั้นเลยคิดว่า เราลองไปดูคอร์สซิลิบัสของวิชานี้หน่อย
.
.
เห้ย เป็นเรื่องของการสื่อสารหรอ ชั้นจะเรียนได้ป่าววะ ชั้นยิ่งสื่อสารไม่รู้เรื่องซะด้วย 
แต่อะไรไม่รู้ ดลบัลดาลให้ชั้นว่า ลงไปเถอะ มันน่าจะมีอะไรดีๆรออยู่ข้างหน้าเธอแล้ว
ชั้นจึงดักรออาจารย์หลังคาบซิมู ในใจก็เริ่มคิด อาจารย์จะดุมั้ยน้า จะดุเหมือนอาจารย์ที่เก็บ100มั้ยน้า พอทำใจกล้าได้แล้วก็เลยเข้าไปบอกอาจารย์ว่าขอเรียนด้วย
.
.
"อ้าว ทำไมอยากเรียนวิชานี้ละ"
"อ่อ เห็นรีเฟลคชั่นของเพื่อนแล้วอยากเรียนอ่ะครับ"
"อ่อ งั้นลองไปดูคลิปที่จารไลฟ์ไว้นะแล้วเขียนรีเฟลคชั่นดู"
พอชั้นได้ไปดูคลิปที่อาจารย์ไลฟ์ลงรุ้สึกว่า เห้ย ชั้นมาทำอะไรที่นี่ ชั้นเลือกถูกมั้ยวะที่ไปขออาจารย์เรียน

พอเข้ามาถึงคลาสที่แรกที่ชั้นเข้าไปอาขารย์ได้ให้ทำการdeep listening ซึ่งชั้นก็แบบว่างงว่าบ้าปะชั้นจะฟังใครเข้าเข้าใจ หูชั้นยิ่งเพี้ยนๆอยู่จะเข้าใจเค้าเหรอวะ ปรากฎว่า ชั้นได้รับความรู้สึกว่า การฟังมีพลังมากกว่าที่ชั้นคิดไว้เยอะ มันคือมากกว่าการรับรู้ มันคือกสนacknowledge การเดินไปข้างเค้า และการเป็นพลังให้กับเค้า ชั้นพบว่าเฮ้ยคลาสนี้ดีกว่าที่คิดแฮะ อยากจะรอให้ถึงอาทิตย์หน้าเร็วๆจัง

สัปดาห์ต่อมาชั้นเรียนเรื่องผู้นำสี่ทิศ นี่เป็นสัปดาห์ที่รู้สึกว่านิ่งที่สุดด้วยบทบาทที่เราเป็นอยู่ด้วยมั้ง แต่มันก็มีความรู้สึกที่แทรกมาในใจว่าคนเราอะ มันมีความเป็น fluid มันมีการไหล เปลี่ยนแปลง ผสมผสานกันในทุกเรื่อง ทั้ง มุมมอง ความคิดต่างๆ ไม่มีใครที่เป็นหมีหรือตัวอะไรอย่างนึงได้ตลอดหรอก มันก็เหมือนละคร วันนี้ชั้นเล่นเป็นบทนี้ มุมมองชั่นก็เป็นเเบนี้ อีกวันก็อีกแบบนึง

สัปดาห์ต่อมากับสัปดาห์ถัดจากสัปดาห์นี้อาจารย์เชิญพี่คนนึงมา ท่าทางหยิ่งๆว่ะ แต่พอคำแรกที่เค้าพูดถึงความรู้สึก กับ ความต้องการนั้นเหมือนหมัดฮุกไปตรงอก เออใช่ เรามันทำทุกอย่างตามอารมณ์พาไปนิ เราไม่เคยให้ความรู้สึกจริงๆของเรานำพาเราไป และ ใช้ความต้องการ ในการออกแอคชั่นเลยนิ นั่นเป็นประกายเล็กๆของเราให้เราได้สำรวจชีวิตตัวเอง แต่ต่อจากนั้นมา ชั้นแทบจำอะไรไม่ได้เลยจนกระทั่งถูกต่อยอัดเข้าที่ลิ้นปี่ด้วยคำว่า " connection before solution" ยิ่งทำให้ชั้นลอยอยู่ในอวกาศของคำว่าอดีตอีกครั้ง

บ่อยครั้งที่ชั้นพยายามทำให้เรื่องทั้งหมดไปถึงsolutionที่ดีที่สุดโดยไม่สนใจเลยว่าชั้นจะเจ็บเพียงไหน เขาจะเจ็บเพียงไหน โดยเฉพาะหลายๆครั้งที่ชั้นมีปัญหาเรื่องconnection ชั้นพยายามหาsoltionของความสัมพันธ์ของชั้นกับเขาที่ดีที่สุดเพื่อจะซ่อมมัน แต่ชั้นไม่เคยเห็นconnectionของเรา และยิ่งไปกว่านั้น ชั้นไม่ได้ดูความรู้สึกของเขาเลยด้วย

ทุกอย่างเริ่มตกผลึกถึงการกระทำที่โง่เขลาของตัวเองที่ผ่านมาว่า ชั้นไม่เคยรักษาอะไรไว้ได้เลย ทั้งความรัก มิตรภาพ หรือแม้กระทั่ง ความสำเร็จ

หลังจากที่ชั้นจุกไปเต็มแล้ว ชั้นคิดว่า ชั้นควรจะทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้ง และวันที่ชั้นได้คิดทบทวนก็มาถึง

สัปดาห์นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการละคร พอได้ยินครั้งแรกก็แบบชั้นแสดงออกไม่เก่งนะ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นนะสิ กลายเป็นว่าสิ่งที่ชั้นได้มาไม่ใช่การแอคติ้ง แต่คือการexpressอารมณ์ของชั้นเองออกไปและสิ่งที่สำคัญกว่านั้น ชั้นได้ค้นพบว่า connection อะ มันเริ่มที่ชั้นจะเปิดใจรับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเลย

หลังจากนั้นชั้นได้ทบทวนตัวเองจริงๆผ่านหลายๆสิ่งที่พีเค้าได้มาให้ทำ มันทำให้เห็นว่า เราน่ะเหมือนกับลูกปาจิงโกะ ที่หล่นลงไปชนกับเหล็กกั้นที่เปลี่ยนทิศของลูกบอลที่เรียกว่า ความเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าวันนี้ชั้นจะเจอเรื่องแย่ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า สุดท้ายแล้วชั้นจะจบที่อะไรแย่ๆ หรือถ้าจะอธิบายให้ลึกไปกว่านั้น มันก็เหมือนเหรียญที่ออกหัว99ครั้ง มันไม่จำเป็นว่าครั้งที่100มันจะออกหัว มันมีโอกาสออกก้อยได้เสมอแหละ

คาบสุดท้ายเป็นการพรีเซนต์prototypeของอนาคตตัวเองโดยส่วนตัวแล้วชั้นพบว่า ชั้นไม่มีทางรู้ว่าชั้นจะไหวกับมันมั้ยจนกว่าจะทำมัน "มัน"ของชั้น เป็นสิ่งที่ยาก เป็นสิ่งที่ค่อนข้างใช้เงินเยอะ ซึ่งสารภาพกับตัวเองว่า ชั้นไม่ค่อยมีมันหรอก แต่อย่างน้อย ชั้นก็ได้มีสิ่งที่จะภาวนากับพระผู้เป็นเจ้าในทุกๆคืน และพยายามทำมันต่อไปอย่างไม่ลดละ ถ้าชั้นทำมันได้นะ
.
.
.
ชั้นพบว่าทุกอย่างมันปกติดี จนกระทั่ง การพรีเซนต์ในคาบสุดท้ายของชั้นทุกอย่างติดขัดไปหมด มันเป็นเพราะอะไร ชั้นไม่เข้าใจในสิ่งที่ชั้นเป็นน่ะเหรอ มากไปกว่านั้นยิ่งเวลาในคาบสุดท้ายผ่านไปเรื่อยๆ ชั้นยิ่งรู้สึก connectกับใครไม่ค่อยได้ รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้น้อยลง มีแต่biasเข้ามาแทนที่ หนีไปอยู่กับคนเดียวเงียบ และกลับไปโดยแทบไม่ได้บอกลาใครสักคน

ถูกต้องแล้ว นี่เป็นคลาสที่ดีที่สุดเท่าที่ชั้นเคยเข้ามา ถึงแม้ตอนจบชั้นไม่สามารถจะรักษาconnectionกับใครไว้ได้เท่าไหร่ ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้จริงๆ ไม่สามารถexpressอารมณ์ของชั้นโดยไม่คิดมาก หรือยิ่งไปกว่านั้น ชั้นควบคุมตัวเองไม่ได้เลย ทั้ง ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ แต่ถึงกระนั้นแล้วชั้นรู้สึกว่าตัวเองกล้ามากขึ้น กล้าที่จะเปิดใจรับใครเข้ามามากขึ้น แม้ว่าชั้นจะเคยอคติกับเค้ามาก็ตาม หรือแม้กระทั่งกับคนที่อคติต่อชั้น

ชั้นไม่รู้หรอก ว่าชั้นจะรักษาconnectionกับคนที่ชั้นยังconnectอยู่โดยไม่มีเสียงของหมาป่า ไปได้ด้านเท่าไหร่ เพราะชั้นรู้ดีกว่า ข้างในของชั้นยังมีหมาป่าอยู่ และชั้นจะพยายามฆ่าหมาป่าของชั้นไปทีละตัว ทีละตัว ก่อนที่หมาป่าเหล่านั้นจะกัดกินความสัมพันธ์ของชั้นให้โดดเดี่ยวถึงตาย และตายอย่างโดดเดี่ยว 
.
.
.
.
.
"แกมันคิดมากไปไหนวะ"
"คิดแบบนี้อีกแล้วเหรอ"
"น่ารำคาญว่ะ"
บางเสียงก็มาจากสิ่งที่พวกเขาได้พูดไว้จริง
บางเสียงก็เป็นเสียงสะท้อนจากความคิดของชั้น
หรือบางเสียงก็มาจากความคิดมากของชั้นเอง
สิ่งเหล่านี้มันจะทำลายชีวิตชั้นลงไปเรื่อยๆ
และคราวนี้ ไม่มีคอร์สให้ชั้นฝึกฆ่าหมาป่าตัวนี้ลงได้
มันจะเป็นคราวที่ชั้นต้องเผชิญหมาป่านี้เอง 
และที่สำคัญ....ชั้นต้องสู้กับมันคนเดียว
ชั้นไม่รู้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะยาวนาน สักกี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี
ชั้นไม่รู้ว่าชั้นจะรอดมันมาได้หรือจะตายอย่างโดดเดี่ยว
และชั้น
.
.
.
.
ก็จับมีดสู้กับมันอีกครั้ง และอีกครั้ง และ...อีกครั้ง

แด่ความพยายาม ความรู้สึก และความสัมพันธ์

อันที่สาม


"วิชาอะไรชื่อ Leadership ไม่เคยเห็นมาก่อน ต้องเกี่ยวกับการเป็นผู้นำแน่ๆเลย"

ตอนแรกสงสัยมานานแล้วแหล่ะว่าวิชานี้คืออะไรกันแน่ตั้งแต่เทอมที่แล้วเพราะในคอสซิริบัสมันมีเขียนชื่อวิชา Selected topic ไว้ แต่ในระบบมันกลับไม่มีให้ลง จนในเทอมนี้กลับมาอีกครั้งประหลาดใจมากว่ามันมีให้ลงด้วยและมาในชื่อ Leadership คิดว่าเป็นวิชาใหม่เกี่ยวกับความเป็นผู้นำมั้ง ตอนลงมีให้กรอกหน่วยกิตเองได้ด้วยเหวอไปอีก ด้วยความเป็นคนชอบลองของอยู่แล้วเลยลองลงดู อีกใจคือหลบวิชาเลือกอื่นที่เป็นเลขมาเพราะรู้ว่าตัวเองโง่เลขมาก และก็ไม่ผิดหวังจริงๆกับสิ่งที่ได้เรียนรู้และพบเจอด้วยตัวเอง มีคำตอบที่ชัดเจนแล้วในตัวของมัน

"เดี่ยวนะ มีคนลงกันแค่นี้เองหรอ จะรอดไหมวะเนี่ย"

คาบแรกที่เรียนและเจอกับคนอื่นที่ลงเรียนด้วยกันซึ่งส่วนใหญ่เป็นรุ่นน้อง มีเพื่อนร่วมรุ่นที่รู้จักอยู่แค่สามคน เข้ามาในห้องก็อึ้งแล้วที่จำนวนคนเรียนมีน้อยมาก ตอนแรกที่ให้นั่งหันหน้าเขาหากันมันเป็นความรู้สึกที่ awkward มาก เพราะเราต้องมานั่งหันหน้าจับกลุ่มกับคนที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นเคยมาก่อน หลังจากนั้นเริ่มมีการแนะนำตัว และเราก็ได้เห็นตัวตนของแต่ละคนมากขึ้น น่าตกใจที่ interest ของแต่ละคนในคลาสนี้มีความหลากหลายมากไม่คิดว่าจะได้เจอ logic แบบนี้อีกแล้วในคณะนี้ และส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกันกับเราคือเรื่องอยากทำอย่างอื่นมากกว่าแค่สิ่งที่เรียนอยู่ มีความรู้ในด้านที่พวกเขาถนัดแตกต่างกันไป เป็นสิ่งที่เราอยู่มาหลายปีไม่เคยเข้าถึงมาก่อนเพราะที่ผ่านมาเราเห็นภาพรอบตัวเต็มไปด้วยคนที่มุ่งมั่นเรียนเพื่อแข่งขันกันทำงานในที่ดีๆ ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กับกองข้อสอบ วิชานี้เลือกที่จะแตกต่างออกไป การสอนแบบเปิดที่มีผู้เรียนเป็นสำคัญและผู้สอนก็เข้าใจในธรรมชาติของตัวเด็ก เหมือนได้กลับไปเรียนคลาสของอาจารย์ฝรั่งสมัยอยู่โรงเรียนอินเตอร์อีกครั้ง คาบแรกก็เป็นการเลือกภาพเลือกการ์ดเพื่อสื่อถึงความหมายยิ่งเข้าทางเลย เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาแล้วสิ

"รู้สึกโชคดีที่ได้มาเจอคนที่มีความคิดคล้ายคลึงกัน ความหวังที่เริ่มก่อตัวอีกครั้ง"

คลาสนี้เป็นคลาสที่ unique และไม่เหมือนคลาสอื่นๆในคณะ การเรียนการสอน กิจกรรมทุกอย่างในคลาสนี้มันทำให้เรากล้าที่จะหลุดออกจากกรอบเดิม กล้าที่จะปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น กล้าที่จะระบายความในใจ กล้าที่จะพูดให้คนอื่นได้รับรู้ กล้าที่จะเข้าใจและรับฟังคนอื่น กล้าที่จะเรียนรู้และนำไปใช้จริง กล้าที่จะมองในมุมที่แตกต่าง เราต่างซึมซับมันมาโดยไม่รู้ตัว และเราก็ใช้มันโดยที่บ้างครั้งเราไม่รู้ตัวเลยว่าเราได้ใช้สื่งที่ได้เรียนรู้ในคาบนี้ออกไปแล้ว ได้เจอกับผู้คนมากมายจากการลงไปสัมผัสจริง ได้เริ่มเห็นในมุมมองที่แตกต่าง เริ่มเข้าใจคนอื่นมากขึ้นและเปลี่ยนมุมมองแง่ลบในตัวเรา ไม่ไปตัดสินคนอื่นก่อน เข้าไปในใจเขาให้ได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือมันทำให้เราได้เข้าใจตัวเอง และรู้ตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

"ก่อนจะรู้คนอื่นได้ ต้องรู้ตัวเองก่อน"

คลาสนี้สอนให้เราได้ค้นพบตัวเอง ได้รู้จักกับตัวเองมากขึ้น มองเห็นคุณค่าในตัวเอง คนส่วนใหญ่มักมองข้ามศักยภาพของตัวเองไปด้วยเสียงรอบข้าง และเงื่อนไขโดยรอบที่ทำให้เราต้องทำใจละเลยมันไป คาบแรกที่พูดถึง IE ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เรากำลังเรียนอยู่ในภาคนี้ คณะนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ทำให้เรามีมุมมองเกี่ยวกับภาควิชามากขึ้นว่าสิ่งที่เราเรียนมันมีกระบวนการคิดอย่างไร และมีความจำเป็นอย่างไร คาบหลังๆ จะเป็นการฝึกให้เราค้นหาตัวเอง สิ่งที่ตัวเองถนัด ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง บางคนก็ยังไม่เจอ บางคนก็เจอแล้ว บางคนก็เจอแล้วแต่ลังเลไม่กล้าที่จะลองทำ คลาสนี้สอนให้เรากล้าที่จะเดินไปในทิศทางที่เราเลือกโดยไม่สับสนต่อเสียงรอบข้าง จริงๆตัวเรามี Passion สูงมากอยู่แล้ว และการที่เราค้นพบตัวเองมานาน ทำให้เราได้เปรียบกว่าคนอื่นหน่อยในเรื่องนี้ แต่มันก็ทำให้เรารู้ตัวแล้วว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี้คืออะไร เราเดินมาถูกทางแล้วและจะเดินต่อได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น วางแผนชีวิตได้รอบคอบมากขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้ในคลาส

"สิ่งที่ได้เรียนรู้มันเป็นมากกว่าแค่บทเรียนแต่มันคือมิตรภาพ"

เราได้เห็นมิตรภาพที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่เริ่มเรียนคลาสแรกที่ต่างคนต่างไม่กล้ามองหน้ากัน จนถึงคลาสสุดท้ายที่ทุกคนยิ้มและหัวเราะให้กันอย่างสนุกสนาน มันทำให้เรากล้าที่จะเป็นตัวเอง กล้าที่จะแสดงออกมากขึ้นกล้าที่จะแสดงสิ่งที่เราสนใจให้กับคนอื่นได้รับรู้ ซึ่งปกติไม่มีโอกาสทำได้ในคลาสอื่นๆ การไปเข้าค่ายที่เขาใหญ่ได้ทำกิจกรรมร่วมกันกลางป่าเขา ทำให้เราได้เข้าใจถึงธรรมชาติมากขึ้น แต่สิ่งที่เราได้ค้นพบมากกว่านั้นคือการเข้าใจธรรมชาติของเพื่อนร่วมคลาสแต่ละคน ซึ่งความเข้าใจนี้ทำให้มิตรภาพค่อยๆก่อตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกคนเริ่มทำลายกำแพงของตัวเองและกล้าที่จะเปิดเผยตัวตนให้คนรอบข้างได้รับรู้แล้ว

"มันไม่ใช่แค่ Leadership แต่มันรวมถึง ice breaking และ team buildingด้วย"

การทำกิจกรรมหลายๆอย่างในคลาสนี้ทำให้คนเกิดการ connect ถึงกัน สอนการทำงานเป็นทีม การแบ่งหน้าที่ให้กับเรา สอนให้รับรู้ความรู้สึกของกันและกัน สอนให้เข้าใจธรรมชาติของคนอื่น และเพราะจำนวนคนในคลาสน้อยทำให้มันเข้าถึงได้ง่าย ยิ่งด้วยทุกคนมาด้วยความเต็มใจ ทำด้วยความเต็มใจ ทุกอย่างจึงลงตัวและเกิดเห็นผลได้ชัดเจน จริงๆกิจกรรมลักษณะนี้เคยเจอในที่อื่นมาแล้วจากในคอมมูนิตี้ที่อยู่ แต่ยังไม่เคยเห็นที่ไหนมองเห็นได้ชัดเจนเท่าที่นี่มาก่อน

"Each one of us has something special
That makes us different, that makes us rare"

เมื่อเราเริ่มเข้าใจตัวเราเอง เริ่มเห็นคุณค่าในตัวเราเอง เราจะกล้าเดินได้อย่างไม่ลังเล คลาสนี้สอนให้เราเดินในทางของตัวเอง โดยใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็นเครื่องช่วยปูทางให้เราประสบความสำเร็จ ทุกคนมีคุณค่าในตัวเองอยู่แล้ว อยู่ที่เราจะมองเห็นมันรึเปล่า เราจะนำสิ่งที่เรามีออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่แค่ไหน และเมื่อเราทำในสิ่งที่เรามีอยู่อย่างถูกต้อง เราก็จะเฉิดฉาย

"Leadership ที่เป็นมากกว่า Leadership"

วิชานี้เหมือนกับการหว่านเมล็ดลงไปในดิน ผลในระยะสั้นอาจยังไม่ชัดเหมือนต้นไม้ที่พึ่งปลูก แต่ในระยะยาวมันจะเป็นต้นไม้ที่เติบโตสูงใหญ่และมันจะเป็นที่พึ่งให้กับต้นไม้อื่นๆที่เกิดขึ้นโดยรอบด้วย มันคือการนำพาผู้คนส่วนเล็กๆที่สับสนให้เขาพบคำตอบด้วยตัวเขา ได้เลือกเส้นทางของเขา หากเขามีมุมมองที่ดี เขาก็จะพาคนอื่นๆที่อยู่รอบตัวเขาหรืออาจเป็นลูกน้องของเขาให้ได้ดีด้วยเช่นกัน ในอนาคตวางแผนไว้ว่าอยากนำต้นแบบนี้ไปใช้จัดในงานคอมมูของตัวเองได้เหมือนกัน อยากแชร์ให้คนอื่นได้เห็นทักษะเหล่านี้บ้าง จริงๆมันเป็นสิ่งที่ทุกคนควรได้สัมผัสเลยแหล่ะ ยังมีผู้คนอีกมากข้างนอกที่สับสนในตนเองจากความเชื่อทางสังคมที่คอยทำร้ายเขาอยู่ คลาสนี้มันจะไม่จบเพียงแค่นี้และมันจะเป็นต้นแบบให้กับคนอื่นๆที่นำไปประยุกต์ในอนาคตได้อย่างแน่นอน อยากให้คลาสนี้มีให้กับเด็กวิศวะต่อไปและอยากให้ขยายไปหาทุกที่ในมหาวิทยาลัยเลย เชื่อว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยากสัมผัสแม้จะเป็นส่วนน้อยก็ตาม เราจะทิ้งกลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้ พวกเขายังมีตัวตนอยู่

"ไม่อยากบอกว่าชอบส่วนไหนมากที่สุด เพราะมันชอบทุกส่วนเลย ความชอบมันวัดเป็นตัวเลขไม่ได้"

กิจกรรมทุกอย่างในคลาสนี้มีดีและสำคัญเท่ากันหมดในทางของมันซึ่งไม่สามารถ preference ได้เลย ทุกอย่างในคลาสนี้มีประโยชน์ต่อเราและเชื่อมโยงถึงกันหมดทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน เราได้ใช้มันจริงและเริ่มเห็นผล หากเราเอนเอียงชอบส่วนใดส่วนหนึ่งมากเกินไป เราจะเริ่มละเลยสิ่งที่เหลืออื่นทันที มันจะทำให้เราพลาดอะไรดีๆไปอีกเยอะ

"Your destiny's uncertain
And that's sometimes hard to take
But it will become much clearer
With every new choice you make"

-----------------------------------------------

"Even when the dark comes crashing through
When you need a friend to carry you
When you’re broken on the ground
You will be found"

Comments