เรียน Comm & Leadership แล้วได้อะไร (2/2)

 ต่อจากตอนแรก

นิสิตคนที่สาม

มีการเปลี่ยนแปลงด้านใดบ้าง อย่างไร  

Human Knot

คิดว่าตัวเอง judge หลายๆสิ่งน้อยลงครับ มันไม่ใช่แค่สิ่งที่เรียนรู้จากในคลาสอย่างเดียว แต่หลายๆอย่างที่เรียนในคลาส สิ่งที่เราคิดว่ามันแปลก มันไม่ดี มันไม่ได้ มันทำให้เรายอมรับความแตกต่าง และความหลากหลายมากขึ้น มันเลยส่งผลให้สิ่งต่างๆที่ได้เจอนอกคลาสที่เป็นอะไรที่ผมไม่รู้จัก ไม่คุ้นเคย ผมไม่รีบ judge อะไรต่างๆเหล่านั้นเร็วเกินไปด้วย 

[การควบคุมอารมณ์<--ความคาดหวัง<--ความเข้าใจ<--การสื่อสาร] อีกเรื่องที่คิดว่ามันน่าจะส่งผลต่อๆมาน่าจะเป็นเรื่องการควบคุมอารมณ์ ที่น่าจะส่งผมต่อมาจากความคาดหวัง แล้วการที่ผิดหวังหลายๆครั้งมันก็เกิดมาจากความไม่เข้าใจ ซึ่งความไม่เข้าใจส่วนหนึ่งก็เกิดจาการสื่อสารที่ผิดพลาด (+ไม่เข้าใจ ไม่รู้สึกถึงสิ่งที่เค้าสื่อออกมา) คลาสนี้ก็ได้สอนเรื่องการสื่อสารทั้งการที่เราเป็นผู้สื่อสาร และก็ผู้ฟังที่ดี body language, give and take, empathy ทั้งหมดนี้มันทำให้ผมตระหนักได้หลายๆอย่างว่าอารมณ์ของผมที่มันเกิดขึ้น มันมาจากไหน เพราะอะไร 

รู้สึกว่าตัวเองรับรู้ถึงความรู้สึก แล้วก็ใช้ความรู้สึกมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนครับ จากที่เมื่อก่อนผมไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรู้สึกเท่าไร แต่ตัวคลาสมันทำให้ผมรู้ถึงความสำคัญของความรู้สึกมากขึ้น เวลาที่ทำอะไรแล้วใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจ ผมไม่รู้สึกแย่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว มันจะมีช่วงนึงที่ผมอกหักแล้วผมทำเพลงออกมาเยอะมากๆ แต่ช่วงนั้นผมจัดการกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ เลยเหมือนระบายความรู้สึกผ่านการทำเพลง แต่พอ mental heath ผมกลับมาปกติ ผมกลับกลับไปทำเองเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้เลย เพลงที่ทำออกมามันฟังดูไม่เหมือนเพลงเลยช่วงนั้น เหมือนผมพยายามจะใส่ logic เข้าไปมากๆในเพลง แต่พอมาช่วงนี้ผมก็กลับไปทำเพลงแล้วมันรู้สึก flow มากขึ้นมากๆ

การรับฟังผู้อื่นมากขึ้น (โดยเฉพาะตอนเมา) คืออาจจะเป็นเพราะ personality ของผมที่ดูเงียบๆแต่ก็ไม่ได้ดูติ๋ม หรืออะไรซักอย่างที่มันจะดึงดูดคนที่พูดเก่งมากๆ (ex. ไอบอน) มาอยู่รอบๆตัวผม ถ้ายังไม่สนิทกันมากผมจะเป็นคนที่รับฟังมากๆ (จริงๆเพราะพูดไม่เก่ง) แต่พอเริ่มสนิทกัน เราก็จะเริ่มรำคาญว่ามึงพูดให้มันสั้นๆก็ได้มั้ย เรื่องนี้กูต้องรู้ด้วยหรอ จนเกิดเป็นความชินหู ในหลายๆครั้งที่เพื่อนพูด เราไม่ได้ฟังสิ่งที่เค้ากำลังพูดด้วยซ้ำ แต่ช่วงนี้ผม sense ได้มากขึ้นจากน้ำเสียงของเพื่อน ท่าที ในบางทีที่แบบเพื่อนต้องการผู้ฟังจริงๆ  มันทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของเพื่อนได้มากขึ้นด้วยครับ

มีด้านใดของตัวเองที่อยากเปลี่ยน แต่ยังไม่เปลี่ยน 

การควบคุมอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าดีพอมั้ย แต่มันก็รู้สึกว่ายังดีไม่พอ เพราะเรายังคาดหวังอะไรหลายๆอย่างอยู่ แต่ช่วงหลังๆพอรู้ว่ามีอารมณ์ ทางออกส่วนใหญ่ของผมก็จะเป็นการเงียบ ซึ่งก็รู้ว่ามันไม่ healthy กับคสพแน่ๆ แต่ว่าถ้ายังควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ผมก็กลัวคำพูดตัวเองเหมือนกัน เลยคิดว่ายังเป็นอะไรที่ต้อง work on ไปเรื่อยๆเลยครับ

ความ Friendly ; รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นคนที่มีกำแพงอยู่ ถ้าให้อธิบายเป้นภาพเหมือนผมมายืนอยู่ตรงหน้าต่าง แต่ผมไม่เปิดหน้าต่างเพื่อไปคุยกับคนตรงหน้า แต่รอให้เค้ามาเปิดหน้าต่างคุยด้วย แทนที่จะเปิดประตูไปคุยกับเค้าครับ 5555

ความกล้าในการแสดงความรู้สึก หลักๆเลยคือเรื่องการพูด การบอกรักที่เราทำไม่ค่อยเก่ง มันจะคิดก่อนพูดทุกครั้งไม่รู้ทำไม แล้วก็จะไม่กล้าพูดมันออกมา แล้วก็หลายๆครั้งผมก็สงสัยในนิยามคำว่ารักของผมเอง ว่านี้กูรักหรอ กูรักพอรึเปล่า แบบนี้คือรักรึเปล่า เหมือผมพยายามจะหาความหมาย คือก็ไม่รู้ว่าจะพยายามใช้ความคิดกับความรู้สึกทำไม

อยากเห็นตัวเองเป็นแบบไหน 

อยากเห็นตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคนง่ายขึ้นกว่านี้ แล้วก็เอาแต่ใจน้อยกว่านี้ รับฟังคนอื่นมากกว่านี้ สื่อสารเก่งกว่านี้ครับ อยากรู้สึก flow แล้วก็อยากรู้สึกมี energy มากกว่านี้เวลาเราต้องออกไปข้างนอกที่ไม่ใช่ comfort zone ของผม (บ้าน) คือเวลาผมอยู่บ้าน ผมจะรู้สึกมีความกล้าที่จะคิด การตัดสินใจ จะทำอะไร flow มากกว่า มันจะขึ้นอยู่กับผมคนเดียว พออยู่กับคนอื่นแล้ว มันต้องเป็นการตัดสินใจร่วม ความคิดร่วม ซึ่งในหลายๆครั้ง เราอาจจะเป็นผู้รับสาร หรือสื่อสารที่ยังไม่ดีพอ หลายๆครั้งผมจะคิดว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมคิดมาแล้ว คิดว่ามันดีแล้ว ของที่คนอื่นคิดยังดีไม่พอ ดีไม่เท่าของเรา อันนี้มันก็เกิดจากการ judge ของเราอีก
แล้วก็หลายๆเรื่องที่มันต้องใช้ความรู้สึกในการสื่อสารด้วย เพื่อจะได้เข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย สิ่งที่ผมต้องการจะคุย ทำความเข้าใจ กลับเป็นเหตุผลอย่างเดียว ซึ่งตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่ามันเป็นอะไรที่แย่นะ
สุดท้าย ; เรื่องความยืดหยุ่นของตัวเอง หลายๆครั้งผมจะคิดว่าเราคิดมาแล้ว ซึ่งตอน odyssey plan ก็ทำให้ผมได้รู้ว่าการวางแผนที่ strict เกินไปมันส่งผมเสียหลายๆอย่างมากๆ มันเป็นการปิดโอกาสของตัวเองอีกทางหนึ่งด้วย แล้วก็สุดท้ายเราก็ไม่รู้ว่าระหว่างทางเราจะเจออะไรบ้าง แล้วก็ปลายทางเราก็ไม่รู้ว่าเราจะรู้สึกยังไงกับภาพเป้าหมายที่เราตั้งเอาไว้ด้วยซ้ำ

มีอะไรบ้างที่คุณจะทำเพื่อให้ได้ผลแบบนั้น 

ถ้าจะให้พูดถึง solution ว่าจะทำยังไงให้สิ่งที่ผมอยากเป็นอยากได้ แล้วตอบโจทย์มากที่สุดก็คงจะเป็นตามแผนที่ผมวางไว้ครับ ก็คือการไปต่างประเทศ ซึ่งมันเป็นอะไรที่โคตรจะ beyond มากๆในการออกจาก comfort zone สำหรับผม ทั้งเรื่องการไปเจอคนใหม่ๆ ซึ่งปกติพูดภาษาไทยกับเพื่อนๆ ก็สื่อสารไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่แล้ว นี่ต้องไปทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ โดยที่ยังมีกำแพงทางภาษาเป็นตัวกั้นขึ้นมาอีก แต่ด้วยความที่ไปโน่นเราก็ต้องทำงานพิเศษ เพราะเรารู้สึกว่ามันถึงเวลาที่ต้องทำอะไรซักอย่างด้วยแล้ว ไม่ใช่ให้แม่เราส่งมาอย่างเดียว พอต้องทำงานก็ทำให้ต้องอยู่ห้องน้อยลง แล้วเวลาทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการเรียน (ex. ทำปจ. อนส.) เรารู้สึกว่าเราต้องอยู่ใช้ facility ของมหาลัยด้วยเพราะ 1 ค่าเน็ตที่โน่นโคตรแพง 2 ค่าเทอมก็โคตรแพง ด้วยปัจจัยเหล่านี้มันน่าจะทำให้ผมได้อยู่กับตัวเองในห้องน้อยลง มันน่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในความรู้สึกของผม

แล้วก็เรื่องแสดงความรัก จริงๆติดแค่เรื่องแสดงความรัก ผ่านคำพูดกับคนในครอบครัว แต่ว่าก็พยายาม push ตัวเองในหลายๆด้านแล้ว ผมพยายามจะเลี่ยงเป็นการแสดงออกอย่างอื่นแทน อย่างพูดชม ชวนคุย ถามไถ่ แต่ว่าการบอกรักแฟน ก็ไม่มีปัญหาครับ แต่มันก็ยังผ่านความคิดอยู่ดี มันคล้ายๆกับตอนที่พี่มูถามผมว่าร้อนมั้ย ผมก็จะช็อตไปแป็ปนึงว่ามันร้อนรึเปล่า ถึงจะตอบได้ว่าร้อนรึเปล่า

รู้สึกอย่างไรหรือคิดเห็นอย่างไรกับคลาส ข้อเสนอแนะ

คิดว่าคลาสนี้ได้ให้อะไรผมเยอะมาก เพราะด้วยความที่มันไม่ใช่วิชารการที่ต้องมาเรียนรู้ ไม่ได้ใช้ logic ในการเข้าใจเนื้อหา แต่เป็นการใช้ความรู้สึกในการเข้าใจ ซึ่งหลายๆเรื่องอย่าง self-empathy การรู้จักความสุขของตัวเอง ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมสนใจน้อยกว่าคลาสอื่นๆ แล้วก็รู้สึกว่า 2 คลาสนี้เป็นอะไรที่จับต้องได้ยากกว่าคลาสอื่นๆ แต่ 2 คลาสนี้มันทำให้ผมได้รู้ถึงสิ่งที่ผมไม่รู้ ได้รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญ จากที่ผมไม่เคยให้ความสำคัญ

ก็ขอยืนยันคำเดินครับว่าไม่เคยคิดว่าคลาสของอาจารย์ bullshit เลย รู้สึกว่าเป็นคลาสที่โคตรมีประโยชน์ เอาจริงๆผมรู้สึกว่าควรเป็นคลาสที่น่าบังคับเรียนทุกคนด้วย 5555 เพราะมันเป็นอะไรที่มันได้ใช้ในทุกๆวัน มันคือการใช้ชีวิตของเรา แต่ว่าการเป็นวิชาเลือกมันก็ทำให้อย่างน้อยคนที่เข้ามา คืออยากรู้จริงๆ ถ้ามองประโยชน์ของวิชานี้ในมุมมองของการทำงานมันก็จะเป็นการยกระดับ soft skill ของเราซึ่งมันหาเรียนได้ยากมากๆ แล้วก็ถ้าไม่ได้สนใจในการพัฒนาตรงนี้มากขนาดนั้น การที่ออกจากรั้วมหาลัยไปแล้ว ผมก็ไม่เห็นภาพตัวเองที่จะมาหาวิชาแบบนี้มาเรียนเลย เลยรู้สึกว่ามันเป็นคลาสที่มีประโยชน์สำหรับผมมากๆ
แล้วก็ผมเข้าใจข้อจำกัดในการทำคลาสนี้เป็นออนไลน์มากๆ ถ้ามันกลายเป็นออนไลน์ผมอาจจะไม่ได้อินขนาดนี้ แล้วก็รู้สึกดีที่คลาสของเรามันผ่านไปได้ในช่วงโควิด  โดยที่มันไม่ได้เป็นคลัสเตอร์ครับ

นิสิตคนที่ 4


หลังจากที่เรียนวิชาจบแล้ว รู้สึกตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องความคิดมากขึ้น เริ่มเข้าใจความแตกต่างของคนที่อยู่รอบตัวมากขึ้น ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นมากขึ้น เพราะว่าก่อนหน้านี้จะคิดว่าคนอื่นๆ ก็คงคิดไม่ต่างจากเรามากนัก แต่ความจริงแล้วก็คือทุกคนล้วนแล้วแต่ต่างกัน ทั้งความรู้ ความสามารถ ความพิเศษของแต่ละคน ประสบการณ์ที่แต่ละคนเจอก็ต่างกัน และรู้สึกเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร เวลาเจอปัญหาที่เข้ามาในชีวิต ทั้งเรื่องการเรียนและการใช้ชีวิต จะต้องแก้ไขปัญหานั้นอย่างไร รู้สึกว่าตัวเองจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น ว่าต้องทำอะไรก่อน อะไรหลัง หรือหากบางเรื่องที่เราคิดว่ามันเป็นปัญหาที่มันไม่สามารถแก้ไขได้ ก็สามารถยอมรับและเข้าใจปัญหานั้นได้ 

รู้สึกว่าเมื่อก่อนมองอะไรก็เป็นปัญหาที่เราจะต้องเข้าไปแก้ไขในทันที แต่ตอนนี้รู้สึกว่าบางเรื่องอาจจะใช้เวลา เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขทุกปัญหาโดยทันทีก็ได้ รู้สึกว่าตัวเองปล่อยวางได้มากขึ้น เข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร และกล้าที่จะบอกความต้องการของเราออกไป ให้คนนั้นได้รับรู้มากขึ้น อาจจะทางตรงหรือทางอ้อมขึ้นอยู่กับว่าต้องการอะไรจากใคร และต้องเข้าหาแต่ละคนแบบไหน หลังจากได้เรียนรู้เรื่องนพลักษณ์ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็พบว่าแต่ละคนมีความคิด บุคลิกภาพ พฤติกรรม การแสดงออก  ที่แตกต่างกันตามนพลักษณ์ของแต่ละคนที่แตกต่างกัน หลังจากเรียนเรื่องนี้จบก็นำไปใช้วิเคราะห์คนรอบตัวว่าเขาน่าจะเป็นคนลักษณ์นี้แน่นอน มันก็ทำให้เราเข้าใจคนๆนั้นมากขึ้น เช่น มีเพื่อนคนหนึ่งที่โครตจะชิว ใช้ชีวิตแบบไปเรื่อยๆ แบบอะไรก็ได้ ถามอะไรก็ตอบแต่อะไรก็ได้ ได้หมด ไม่ติด กินอะไรก็ได้ ไปไหนก็ได้ ซึ่งมันก็ดี แต่มันก็มีบางทีเรารู้สึกรำคานว่าทำไมมันไม่คิดอะไรเลย อะไรก็ได้ตลอด ก็เพิ่งมาเข้าใจว่าอ่อ มันเป็นคนลักษณ์ 9 ก็ทำให้เข้าใจมันมากขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกแอบรำคานอยู่ดีว่าทำไมไม่ช่วยคิดเลย 

 รู้สึกว่าตัวเองมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการพูดมากขึ้น รู้สึกว่าคิดก่อนพูดมากขึ้น ก็เพิ่งได้รู้ว่าจากคาบที่เรื่อง NVC ว่าแบบคำพูดที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่เกิดจากการตีความ ทำให้บางครั้งเกิดความเข้าใจผิดในบางเรื่อง รู้สึกว่าหลังจากเรียนอยากที่จะพูดข้อสังเกตออกไปมากกว่า ถ้าอยากจะปรับก็คงอยากจะปรับเรื่องนี้ อยากที่จะฝึกพูดแต่ข้อสังเกตให้เป็นนิสัย เพราะเหมือนตอนนี้มันยังต้องมีคำพูดเตือนสติตลอดว่าพูดข้อสังเกตๆ อย่าตีความๆ ไม่มีใครอยากโดนตีความ เรียนรู้ที่จะใช้เสียงยีราฟในความต้องการของหมาป่า ที่นำมาซึ่งความต้องการที่แท้จริงของเรากับสิ่งที่เราต้องการได้มา

 รู้สึกว่าตัวเองรับมือกับความขัดแย้งมากขึ้น เข้าใจความขัดแย้งมากขึ้น มองว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติมากขึ้น จากเมื่อก่อนส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่ในความขัดแย้ง ถ้าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยเราก็เลือกที่จะยอมมากกว่าถ้าเป็นเรื่องที่สามารถยอมได้ แต่ถ้าความขัดแย้งที่มันยิ่งใหญ่ก็เลือกที่หลีกเลี่ยงไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพราะมองว่าความขัดแย้งมันมักชอบตามมาด้วยความรุนแรง เป็นเรื่องที่มันไม่ดี ไม่ควรเกิด แต่ตอนนี้ก็เข้าใจและจัดการกับมันได้ดีขึ้น เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นก็รู้ว่าจะรับมืออย่างไร มองว่าความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งนี้มันเป็นความปัญหา แต่มันคือวิธีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันในเรื่องนั้นๆ แต่ต้องทำให้อยู่ในขอบเขตในเรื่องนั้น แยกเรื่องส่วนตัว ออกจากเรื่องงาน และลองมองในมุมมองของอีกฝ่ายด้วย เพื่อที่จะเข้าใจเขาได้มากขึ้น ว่าเขาต้องเจออะไรไร ตรงที่อยู่จุดที่เขาอยู่รู้สึกแบบไหน 

 รู้สึกว่าคิดบวกมากขึ้น รักตัวเองมากขึ้น การชมตัวเอง การขอบคุณตัวเอง ให้กำลังใจตัวเอง ทำให้เกิดความภูมิใจในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น  สร้างพลังบวกให้ตัวเองมากขึ้นหลังจากที่ได้ขอบคุณตัวเอง รู้สึกว่ามันมีประโยชน์มากๆ ในบางวันที่รู้สึกเบื่อหน่าย เป็นแค่วันธรรมดาวันนึง ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย นอนเปื่อยๆอยู่บนเตียง ดูแต่ซีรี่ย์ เมื่อก่อนมันจะรู้สึกว่าแบบวันนี่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยแต่ตอนนี้พอได้ขอบคุณตัวเองในเรื่องอะไรที่ง่ายๆรอบตัว เช่น ขอบคุณตัวเองที่ลืมตา ขอบคุณตัวเองที่ตื่นเช้า ตื่นสาย ตื่นบ่าย ตื่นเย็น ขอบคุณที่ตัวที่ไม่ได้ทำไรเลย ขอบคุณที่ให้ร่างกายได้พักผ่อน แค่พอได้ขอบคุณตัวขอบคุณร่างกาย มันรู้สึกว่าวันนี้มันมีอะไรทำ มันมีประโยชน์ ไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไป มันทำให้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ไม่กดดันตัวเองในวันที่เราควรพักผ่อนบ้างจริงๆ มันทำให้เราอ่อนโยนตัวเองมากขึ้น ใจดีกับตัวเองมากขึ้น ไม่พยายามกดดันตัวเอง ก่อนหน้านี้มันจะมีความกดดันตัวเองอยู่ลึกๆว่าแบบต้องทำได้นะ บางทีมันทำไม่ได้ตามที่หวังก็จะรู้สึกเสียใจ ตอนนี้รู้สึกว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย ไม่ต้องไปคาดหวังได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรถือเป็นสบประสบการณ์ มองเรื่องความผิดพลาดเป็นเรื่องเล็กน้อยมากขึ้น กล้าจะทำตามที่อยากทำ กลัวความผิดพลาด ผิดหวังน้อยลงจากเดิมมาก 

 รู้สึกว่ามีการสื่อสารที่ดีขึ้นด้วย จากเมื่อก่อนที่จะไปโฟกัสกับคำพูด ว่าจะพูดยังไง ใช้คำไหนดีที่ไม่ทำให้คนฟังเข้าใจผิด หรือคนฟังตีความเป็นอย่างอื่น เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับน้ำเสียงและภาษาร่างกายที่ใช้แทน เพราะบางเรื่องเราไม่ต้องรู้และเข้าใจทั้งหมดก็ได้ เพียงแต่เรารู้และเข้าใจว่าเขารู้สึกอย่างไร เรารู้สึกอย่างไรก็พอ เวลามีเพื่อนมาปรึกษาบางทีเขาอาจจะแค่อยากมีคนรับฟังเฉยๆ อยากที่จะระบายออกมา ไม่ได้ต้องการให้เราเข้าไปแก้ปัญหานั้นให้เขา เราก็แค่รับฟังรับรู้และปล่อยผ่านไป เพราะเมื่อก่อนเวลามีคนมาเล่าปัญหาเราก็ชอบเอาตัวเองไปอยู่ในปัญหานั้น แล้วคนที่เล่าเขาสบายใจไปแล้ว แต่กลายเป็นเราที่ติดอยู่ในปัญหาของเพื่อนแทน ตอนนี้ก็เข้าใจมากขึ้นว่าเราแค่รับฟังพอแล้ว ไม่ต้องไปคิดเยอะ เพราะแค่เรารับฟังเพื่อนก็รู้สึกดีแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจและจัดการความรู้สึกของตัวเองได้ดีกว่าเดิมมาก

 และจากการที่ลืมเข้าคลาสออนไลน์ในวันนั้น ทำให้ได้มีโอกาสไปทำกิจกรรมจิตอาสา ซึ่งเลือกที่ทำชุด Covid-Care ให้กับผู้ที่ติดเชื้อโควิดที่ต้องเข้าพักในโรงพยาบาลสนาม ก็ทำให้รู้ว่าการทำกิจกรรมจิตอาสาเป็นอะไรที่สนุกมาก และได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกดีที่ได้ช่วยเหลือผู้ที่ติดเชื้อ ได้ส่งกำลังใจจากการเขียนการ์ดให้เขา และเราก็ยังได้รับพลังบวกจากการเป็นผู้ให้ มันรู้สึกดีมาก และยังเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้อยากไปทำจิตอาสาในครั้งต่อไปอีก รู้สึกอยากที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้สังคมน่าอยู่ยิ่งขึ้น และได้ช่วยเหลือให้คนที่ลำบากมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รู้สึกว่าการที่เราได้เป็นผู้ให้มันมีความสุขมาก และได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนที่ชอบการให้มากกว่าการได้รับจากผู้ให้ 

สิ่งที่อยากเปลี่ยนและอยากเพิ่มเติม คือ 
1. การออกกำลังกาย อยากที่จะออกกำลังกายและดูแลสุขภาพตัวเองให้ดียิ่งขึ้น จากเดิมที่ค่อยได้ขยับตัว ใช้แต่หัวคิดอย่างเดียว จนบางครั้งลืมไปว่าการดูแลตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน หากวันนี้เราไม่รักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี ก็จะส่งผลให้เราเกิดเจ็บป่วยได้ง่ายกว่าเดิม จากที่ป่วยบ่อยอยู่แล้ว จึงอยากที่จะแบ่งเวลามาให้ในการออกกำลังกายทุกอาทิตย์ อย่างน้อยอาทิตย์ 2-3 ครั้งก็ยังดี อยากที่จะขยับตัวมากกว่าเดิม เพราะร่างกายกับจิตใจมันสัมพันธ์กัน
2. อยากศึกษาในเรื่องนพลักษณ์เพิ่มเติม จากที่ได้เรียนไปก่อนหน้านี้ให้มากขึ้น รู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์และใช้ได้จริง แต่ว่าพอเวลาผ่านไปมันก็อาจลืมบางส่วนไป และมันก็ลึกซึ้งและซับซ้อน อยากเข้าใจในแต่ละนพลักษณ์ให้มากขึ้น


Comments