การเดินทางของฉันที่ Sacred Mountain Festival 2020 (2/2)

9
ตอนแรกอยู่ที่นี่

(เพื่อนมูแนะนำว่าให้งดการใช้ "ชั้น" ตัดออกไปเลย หรือให้ใช้ "ฉัน" แทน โพสต์นี้ก็จะแปลกๆ นิดนึงเพราะจะเขียนเป็นภาษาเขียนเพิ่มขึ้น)

วันที่ 3 กุมภา 2563

เช้า เดินป่ากับพี่อ้วน

ช่วงเช้าเป็นกิจกรรมของพี่อ้วน นิคม พุทธา เจ้าของสถานที่จัดงาน Sacred Mountain พี่อ้วนพาเดินป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าที่เชียงดาว ถ้าไม่อยากเดินป่า ก็มีกิจกรรม Transformation Game และอะไรอีกอย่าง  ฉันชอบเดินป่ามากๆ ชอบพลังงาน ชอบบรรยากาศ ถึงแม้ว่าจะตาถั่วมาก คือ ไม่ค่อยสังเกตอะไร และรู้จักต้นไม้น้อยมาก ฉันน่าจะชอบพลังงานของป่า แค่ได้เห็นสีเขียว ได้สัมผัสพื้นดิน สัมผัสน้ำ ก็ชื่นใจแล้ว

พี่อ้วนรู้เรื่องป่า เรื่องต้นไม้เยอะ เล่าได้สนุกมาก  ถ้าไม่นับธรรมยาตราลุ่มน้ำลำปะทาว ที่เราเดินป่ากัน 200-300 คน คณะนี้ก็เป็นคณะใหญ่มากที่ฉันมาร่วมเดิน ร้อยกว่าคนได้

พี่อ้วนพาเราขึ้นลงเขา แล้วเดินเลียบลำธารเล็กๆ ที่เป็นต้นน้ำของแม่น้ำปิง ซึ่งจะรวมกับสายอื่นเป็นเจ้าพระยา อีกไม่กี่วันน้ำจากที่นี่จะเดินทางถึงอ่าวไทย การได้เห็นลำธารเล็กๆ ที่จะค่อยๆ กลายเป็นแม่น้ำใหญ่ มันเตือนเราเรื่องความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง เหมือนการมีไวรัส Covid-19 ตอนนี้ ก็ทำให้ชัดเจนว่าเราคอนเน็คกันด้วยอากาศที่เราหายใจจริงๆ และไม่มีใครหรือประเทศไหนจะแยกตัวไปปลอดภัยคนเดียวได้

ฉันได้พบพี่อ้วนหลายครั้ง ที่ธรรมยาตราลำปะทาว ทริปขึ้นดอยหลวง มาค่ายต่างๆ ของพี่อ้วนและอ.ประมวล  ฉันได้รู้เรื่องในอดีตของพี่อ้วนว่าเคยทำงานมูลนิธิที่เกี่ยวกับสัตว์ป่าแถวเขาใหญ่ ทุ่มเทมาก แต่ปรากฏว่าประธานมูลนิธิค้าสัตว์ป่าเสียเอง พี่อ้วนอกหักอย่างแรง ชีวิตเซ เลยเยียวยาตัวเองด้วยการเดินรอบป่าเขาใหญ่และภาวนาแบบอื่นๆ แล้วก็กลับมาอยู่บ้านตัวเองที่เชียงดาว

พี่อ้วนมีเสน่ห์หลายด้าน ด้านหนึ่งคือจำชื่อคนได้แม่นมาก ทั้งที่เจอกันแค่ไม่นาน และไม่ได้เจอกันบ่อยๆ พี่อ้วนดูแลผู้คนดีมาก ใส่ใจ ดูเผินๆ พี่อ้วนก็เหมือนผู้ชายชาวบ้านทั่วไป แข็งๆ คล้ำๆ ร่างกายแข็งแรง แต่พอได้เล่าเรื่องต้นไม้หรือป่า ฮีพลังงานเปลี่ยน เป็นกวี นุ่มนวล อ่อนโยน ทุ่มเท ดูมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับป่า ฉันชอบตอนที่ฮีชวนให้เด็กๆ เอาฝ่ามือไปขวางสายน้ำ แล้วบอกว่า รู้สึกไหมถึงแรงต้านของน้ำ น้ำนี่มีพลังนะ แต่ถ้าเราเอามือขนานกับวิถีที่น้ำไหล ระๆ ไปบนสายน้ำ ก็จะรู้สึกถึงความนุ่มนวลของเค้า ฉันได้ยินเสียงฮีอธิบายอยู่ห่างๆ เจอหน้ากัน ฮีก็ยังมาชวนทำในสิ่งที่เพิ่งสอน ว่าอ.หญิงได้ลองหรือยัง  ส่วนอีกตอนที่ชอบคือพี่อ้วนเอาใบไม้สีน้ำตาล ที่ผุมากๆ เป็นรูๆ ยกขึ้นส่องแสงแดด แล้วให้ดูแสงที่ลอดรูมา ว่าสวยไหม

เมื่อเดินเจอต้นไม้ต่างๆ พี่อ้วนจะเล่าให้ฟังว่าชื่ออะไร มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับเขา เอาไปทำอะไรได้บ้าง ฉันฟังมาหลายรอบก็จำไม่เคยได้ แต่ชอบที่มันมีเรื่องราว ฉันจำได้แค่สาบเสือ เพราะมีดอกสีม่วง และเอามาฆ่าเชื้อแผลสดได้ (ขยี้ใบให้น้ำออกแล้วเอาใบมาโปะที่แผล) และก็รางจืด ที่แก้พิษและช่วยให้สร่างเมาได้

ตอนท้ายๆ ของการเดินป่า พี่อ้วนให้พี่ณัฐฬสช่วยนำกิจกรรม พี่ณัฐเชื้อเชิญให้พวกเราเลือกต้นไม้ที่เราคอนเน็คด้วย สัมผัสเค้า สื่อสารกับเค้า ฟังต้นไม้ ฉันเลือกต้นแฝดริมน้ำ ลำต้นไม่ใหญ่แต่ดูมั่นคง ก็กอดเลย พิงทั้งตัว เอาหน้าแนบต้นไม้ สัมผัสได้ถึงความเย็น แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่ใช่จากความเศร้าโศกหรือความซึ้งใจ มันไหลออกมาเอง ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรค้างคาใจ สงสัยว่าจิตใต้สำนึกทำงานกับธรรมชาติโดยตรง อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ 

บ่าย 1 Deep Democracy

ชอบแกงถั่วดาลกับขนมปังมาก
ช่วงบ่าย ฉันเลือกไปฟังหลินพูดเรื่อง Process Work  พี่ณัฐพูดถึงหลายครั้งและฉันเห็นผ่านตาในเฟซบุ๊ค แต่รู้สึกว่าตัวเองเรียนเยอะแล้ว พักๆ บ้าง เอาที่เรียนไปใช้บ้าง  ฉันรู้จักหลินในรีทรีตที่ครูตั้มนำ  นางดูตื่นเต้นและบอกว่าอันนี้เป็นการสอนครั้งแรกของนาง ฉันจึงเลือกที่จะไปซัพพอร์ต

เท่าที่ฟังๆ ฉันตีความว่า Deep democracy มัน deep เพราะเราอนุญาตให้เสียงทุกเสียงในตัวเราได้พูด ได้แสดงตัว ไม่ใช่เฉพาะอีโก้ของเรา

Arnold Mindell คนที่คิดค้น Process Work เป็นนักจิตวิทยาสายคาร์ล จุง ซึ่งเชื่อว่าความฝันเป็นสภาวะหรือสิ่งที่เราไม่อนุญาตให้ตัวเองเป็นตอนที่ยังตื่น  ภาวะหลับหรือ Unconscious เป็นช่วงเวลาที่ขอบของเราหรือสิ่งที่เราคุมไม่ได้ปรากฏ ซึ่งอาจจะเป็นเฟสต่อไปของชีวิตเรา

Process Work และ Jungian Psychologists จึงทำงานกับความฝัน

หลินเล่าให้ฟังถึงประวัติของ Mindell ว่าเมื่ออายุ 30 ป่วยเป็นโรคเก๊าท์ ทำให้เขาสนใจว่าความเจ็บป่วยทำงานกับเขาอย่างไร และกลไกที่ทำให้ร่างกายแย่ลงเป็นอย่างไร ซึ่งเราทุกคนก็อยากจะรู้จักกลไก ที่ทำให้เรารู้จักความเจ็บปวดของตัวเองนี้อยู่แล้ว เช่น มีแผลหรือเป็นสิวแล้วเรามักไปแกะมัน

เขาบอกว่าความเจ็บป่วยเป็นขุมทรัพย์ เป็นสัญญาณของเฟสต่อไปของชีวิต (จริง!! ชอบทัศนคตินี้)

หลินบอกว่า Process Work มีส่วนของความเป็นเต๋า และ Alchemist จดวรรคทองที่ชอบ เช่น การเดินทางคือผลลัพธ์  เต๋าคือจิตของผู้เริ่มต้น สดใหม่ รอสัญญาณแล้วแปลสัญญาณเพื่อจะเดินต่อไป  Process Work ทำให้สัญญาณนี้ชัดขึ้นด้วยการขยายสัญญาณ (Amplify)

หลินขออาสาสมัครแล้วสาธิตการขยายสัญญาณนี้ให้ดู เรื่องของน้องน่าสนใจมาก เลยจะขอเล่าตรงนี้ ปีที่แล้ว น้องมางานนี้ด้วยโจทย์อันหนึ่ง คือ ไม่ชอบภาวะความเป็นพ่อลูกสองของตัวเอง ไม่เอ็นจอยเวลาที่อยู่กับลูก การมา Sacred Mountain เขาก็ได้เรียนรู้หลายสิ่ง และประเด็นนั้นได้รับการคลี่คลายไปแล้ว ตอนนี้อยากเป็น House husband งวดนี้เป็นภาคสองของเรื่องนั้น

ฮีมีประเด็นกับพ่อ คือ ขัดแย้งกันทางความคิด พ่ออนุรักษนิยมทั้งด้านการเมืองและอาชีพ  ลูกชายดูอินดี้จ๋ามาก  น้องทำหลายอย่างเพื่อเอาชนะพ่อ พิสูจน์ตัวเอง ตอนนี้พอตัวเองมาเป็นพ่อบ้าง ก็เริ่มเข้าใจพ่อ และพ่อก็เปลี่ยนพฤติกรรมกับน้องด้วย เหมือน Rank เท่ากันแล้วเพราะเป็นพ่อคนเหมือนกัน ทำให้น้องรู้สึกขาดแรงขับที่จะทำนั่นนี่ รู้สึกว่าเนือย

หลินถามว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรในร่างกาย รู้สึกที่ไหน ให้หลับตา แล้วแสดงความรู้สึกนี้ออกมาเป็นท่าทาง โดยหลินก็ทำท่าไปพร้อมกันด้วย (น่าจะช่วยขยายสัญญาณและได้รับรู้ไปด้วยกัน) หลินบอกให้เล่นใหญ่ขี้นอีก ใหญ่ขึ้นอีก ระหว่างที่ทำท่า หลินก็ถามโค้ชไปเรื่อยๆ  น้องมักพูดเล่นให้คนอื่นขำ มีตอนหนึ่งที่หลินแซะ กำลังจะลงลึกละ น้องเฉไฉไปตลก หลินถามน้องว่า คุณมักจะใช้มุขตลกเพื่อเบี่ยงประเด็นหรือเปล่า น้องเลยหยุดขำ

ฉันว่าโรคเอามุขตลกกลบเกลื่อนความเปราะบางนี่เป็นกันเยอะ หลินกล้าหาญมากที่ชี้ให้เห็น

การสาธิตจบที่พีคคือ น้องเปล่งเสียงมาจากท้อง ทรงพลัง ซึ่งฉันฟังแล้วรู้สึกปลดปล่อยมาก

หลินให้ผู้เข้าร่วมจับคู่ ฝึกกันเอง ฉันรู้สึกอิ่มละ เลยขอออกก่อน ไปเดินเล่นหาของกิน

บ่าย 2: Hado

ฮาโดะแปลว่าคลื่น (Vibration) ที่เด่นมากคือรูปถ่ายผลึกน้ำที่มาจากสถานที่ต่างๆ  มะเหมี่ยวเรียนเรื่องนี้จากครูญี่ปุ่น Masaru Emoto ที่เป็นนักวิจัย หนังสือรูปผลึกน้ำชื่อ Shape of Love มีแปลเป็นไทยด้วย

เหมี่ยวบอกว่าดาวโลกเป็นดาวเคราะแห่งน้ำ และร่างกายเราก็เต็มไปด้วยน้ำ เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น สัดส่วนของน้ำในร่างกายจะลดลงด้วย ฮาโดะมีน้ำเป็นผู้ส่งสาร

สารหลักที่ฉันได้คือน้ำมีชีวิต เก็บพลังงานได้ พลังงานด้านบวก เช่น ความรักหรือคำพูดดีๆ ส่งผลต่อน้ำ ซึ่งแสดงด้วยรูปผลึกต่างๆ กัน เนื่องจากมีน้ำอยู่ในตัวเรา 75%-80% ดังนั้นพลังงานที่ดีๆ จึงส่งผลกับสุขภาวะของเราโดยตรง

วันที่ 4 กุมภา 2563

นิ้วกลม (เอ๋) พูด จำชื่อหัวข้อไม่ได้ ตอนแรกฉันสองจิตสองใจว่าจะเข้าดีไหม เพราะรู้สึกไม่ประทับใจในเขามากทั้งที่เคยเป็นแฟนคลับ อ่านงานก่อนๆ ของเขาที่ดู"โลกสวย" หรือ oversimplified และฉันเคยไปเวิร์คช็อปของพี่ณัฐที่ฮีก็เข้า ฉันรู้สึกว่าฮีพูดเยอะ พูดก็เสียงดัง คือ ที่พูดก็เป็นข้อสังเกตที่คมมาก แต่เรารู้สึกว่าฮีดูผยองในความฉลาดของตัวเองเกินไป (ณ ตอนนั้น) ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยากรู้จักเพิ่มเติม ฉันหมั่นไส้ และอาจจะแกมอิจฉาก็ได้

แต่ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของฉันที่งาน ก็ลองดู

เอ๋เริ่มด้วยความถ่อมตัวว่าสิ่งที่เขาวางแผนจะทำ ดูเหมือนได้ถูกทำไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าจะให้พวกเราทำกิจกรรมอะไรดี  ครูตั้มมาชวนพูดคุยเชิงสัมภาษณ์เอ๋ ช่วงนี้ดีมากๆ ชอบ  ฉันได้วรรคเด็ดหลายอันจากช่วงนี้  ที่ประหลาดใจที่สุดคือมีสองสามครั้งที่ฉันรู้สึกเปราะบางกับสิ่งที่เอ๋พูดจนน้ำตาไหล

  • การเขียนช่วย เวลาสับสนหรือมีความทุกข์
  • ถ้าซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เราไม่มีทางเขียนได้ฉลาดกว่าที่ตัวเองเป็นอยู่
  • ภาพที่สวย วาดแล้วไม่สนุก ถ้าจะสนุก เละเทะบ้างก็ได้ 
ศรัทธาคือความเชื่อในสิ่งที่ยังไม่เห็น ผลของศรัทธาคือการได้เห็นในสิ่งที่เชื่อ
อ.ประมวล เพ็งจันทร์

เอ๋เล่าว่าสี่ปีที่แล้วมีวิกฤตชีวิต เขาประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วมาก ทำโฆษณาได้รางวัล เขียนหนังสือและออกหนังสือเป็นสิบๆ เล่ม เป็นนักเขียนเซเลบ อยากทำบ้านที่ตัวเองออกแบบทุกกระเบียดนิ้ว (เอ๋จบสถาปัต จุฬา) ก็ได้ทำจนเสร็จ  ช่วงสร้างบ้าน เอ๋ไปดูบ้านทุกวัน เมื่อบ้านเสร็จ เอ๋รู้สึกว่างเปล่าทันที อารมณ์ "แล้วไงต่อวะ ชีวิตนี้จะทำอะไรต่อดี"  จากการวิเคราะห์ของฉันและเพื่อน คิดว่าเอ๋เป็นลักษณ์เจ็ด (Adventurer) เป็นปีเตอร์แพนตลอดกาล หลีกเลี่ยงความทุกข์ รักสนุก ทีนี้เมื่อปีเตอร์แพนเจอความทุกข์ที่หนีไม่ได้ อันนี้เป็นของจริงแล้ว

เอ๋รู้สึกมืดหม่น แล้วก็กระจายความหม่นหมองนี้ไปสู่คนรอบข้าง ณ ร้านข้าวต้ม รุ่นพี่เอ๋บอกว่า "มา มึงไปถีบจักรยานกับกู" จากนั้น เอ๋ก็ทั้งวิ่งและถีบจักรยาน แล้วอาการซึมๆ ก็หายไป

เอ๋บอกว่า แต่เดิม เขาให้ค่าแต่เฉพาะความคิด คิดเก่ง คิดสร้างสรรค์ ไม่เคยสนใจร่างกาย ตอนนี้มาดูแลร่างกายแล้วก็ทำให้เขาคอนเน็คกับอย่างอื่นๆ ไปด้วย เช่น เขาเล่าว่าทุกเช้าที่วิ่งเสร็จ จะไปยืดเส้นที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วก็คุยกับต้นไม้ทุกวัน

ฉันเป็นคนที่เชียร์คนที่เศร้าที่เซ็งทุกคนให้ใช้ร่างกาย Get physical!! คือ ถ้าเหงื่อแตก เลือดลมเดิน มันจะซึมเศร้าได้ยากมากๆ

คราวนี้ ฉันประทับใจในเอ๋มากว่ามีความฉลาดและก็มีความลึกด้วย เดิม ฉันสัมผัสได้แค่ความฉลาดแบบสมอง (Cerebral) แต่มันแห้งแล้ง เออ..ใช่.. มันขาดความรู้สึกและจิตวิญญาณ เมื่อเอ๋ได้ transform แล้ว มันทำให้พลังงานเค้าเปลี่ยน พูดแล้วน่าฟัง น่าเอ็นดู

Transformed people transform people indeed.  คนที่ถูกเปลี่ยนมาแล้วเปลี่ยนแปลงคนอื่นได้

เอ๋ให้เราฝึกเขียน เขาแนะนำว่า
  1. เขียนด้วยความรู้สึกว่ากระดาษเป็นพื้นที่โล่งๆ ที่เล่นได้
  2. การเขียนเป็นการเดินทางสู่จุดที่ไม่คิดว่าจะไป
  3. ในช่วงเวลาที่สับสน เราอาจจะลองถามสิ่งที่อยู่รอบตัว (Objects) เพื่อหาคำตอบ  ลองคุยกับสิ่งต่างๆ ดู 
ช่วงนี้ เอ๋รู้สึกสนใจอ.ประมวล เพ็งจันทร์ พูดคุยกับอาจารย์เยอะ และเพิ่งออกหนังสือ เดินทางใจ ที่เกี่ยวกับอาจารย์ (ฉันยังไม่ได้อ่าน เห็นจากปก) ชอบโควทของอ.ประมวลที่เอ๋มาเล่ามาก ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้บารมีที่ฉันต้องการทำให้มากขึ้นคือศรัทธา (Faith) ฉันสงสัยมากไป คิดมากเกินไป ฉันถึงจุดที่ว่าหลายอย่างไม่ได้รู้ได้ด้วยการคิด

ในภาพรวม ฉันประทับใจในงานนี้และได้เรียนรู้มากกว่าที่คิดไว้มาก ได้เจอคนใหม่ๆ หลายคนที่น่าสนใจ บางคนฉันก็จีบให้มาสอนนิสิตวิชา Leadership บางครั้งการไม่คาดหวังว่าจะเจออะไร ทำให้ใจเปิดกว้าง และไม่ผิดหวัง



Comments