Overall class reflections



เรียงตามลำดับการส่ง บางคนชั้นต้องไปหาที่หน้าวอลล์เพราะที่เซฟไว้ไม่ขึ้น ก็เลยวางไว้ท้ายๆ ไม่ได้เอามาทั้งหมดเพราะจะยาวมาก ตัดมาบางส่วนค่ะ

ภาพรวมของคลาสอยู่ที่นี่ค่ะ

คนแรก 

ผมคิดว่าสิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลง และได้รับจากคลาสนี้ คือ เมื่อก่อนผมเป็นคนที่เวลาคุยกับใครจะไม่กล้าสบตา ไม่กล้ามี Eye-Contact เลยแต่หลังจากเรียนคลาสนี้ก็พยายามมีการสบตากับคนอื่นมากขึ้น เพราะอาจารย์สอนว่าการสบตากับคนที่เราคุยด้วยนั้นสำคัญ จะทำให้เขารู้สึกว่าเราได้ตั้งใจฟังเขาจริงๆ

ส่วนอีกเรืองคือเรื่องที่ผมพึ่งจะแก้ได้เมื่อไม่นานมานี้ หรือยังแก้ไม่ได้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ก็คือเรื่องการที่ผมเป็นคนเจ้าระเบียบจนเกินไป แต่ผมคิดว่าเวลาผมได้ทำสิ่งที่ชอบ หรือสิ่งที่หลงไหลมากๆ แล้วผมอินไปกับมัน ผมก็จะลืมความเป็นเจ้าระเบียบนี้ไป พยายามออกนอกกรอบความคิดตัวเองมากขึ้น ออกจากคอมฟอตโซนของตัวเอง

สุดท้ายนี้ ผมว่าผมก็ยังออกจากกรอบที่ตัวเองสร้างไว้ได้ไม่หมดทั้งตัว แต่ก็เหมือนมีขาก้าวออกจากกรอบนั้นมาข้างนึงแล้ว ผมจะพยายามออกจากกรอบนั้นให้ได้เหมือนที่อาจารย์บอกครับ เพราะผมก็ไม่ชอบตัวเองเหมือนกันที่เป็นคนเจ้าระเบียบจนเกินไป (มากๆๆๆๆ) แบบนี้

คนที่สอง

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากตัวผมเมื่อก่อน คือตอนนี้พยายามไม่คิดมาก ไม่น้อยใจ เพราะถึงแม้เราจะทำอะไรให้ไปแล้วมันไม่ได้ทำอะไรกลับมา ก็ไม่เป็นไร เพราะนั้นคือสิ่งที่เพื่อนทำให้กัน เหมือนว่าผมเข้าใจโลกมากขึ้น เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้ เรามีครอบครัว มีเพื่อน มีคนรู้จัก ทั้งที่สนิทมากและสนิทน้อย และแต่ล่ะคนก็ย่อมต่างกันออกไป ดังนั้นเราจะคาดหวังให้คนอื่นทำแบบที่เราทำก็คงไม่ได้ เพราะเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้คนเดียว โลกนี้คือโลกของทุกคน ไม่ได้มีแค่ตัวเรา

อีกสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือผมคิดว่าผมมีความกล้ามากขึ้น ความกล้าที่จะทำอะไรแปลกใหม่ หรือเรื่องอะไรบ้า ๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงหยุดอยู่เฉย ๆ ใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ในทุก ๆ วัน แต่ตอนนี้ลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม เช่น ลองกลับบ้านด้วยวิธีอื่นนอกจากวิธีที่กลับปกติบ้าง ลงชื่อไปเข้าร่วมกิจกรรมต่างคณะคนเดียวบ้าง

คนที่สาม

เราก็ได้เดินทาง และผ่านเรื่องราวต่างๆกันมา ผมขอขอบคุณเพื่อน และอาจารย์ที่ไว้ใจผม และให้ผมได้รับฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ไม่ใช่ว่าจะได้ฟังง่ายๆ เช่น เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว เราได้ผ่านอะไรกันมาเยอะ ผ่านคลาสต่างๆ มีกิจกรรม และภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และยังได้ไปเข้าค่ายเขาใหญ่ ที่เป็นค่ายที่สนุกมาก สนุกกว่าทุกค่ายที่เคยเข้าเลย สนุกกว่าค่าย รด. ค่ายลูกเสือ เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่บังคับให้ไป แต่ค่ายนี้ต่อให้อาจารย์ไม่บังคับก็จะไป เพราะไปก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ไม่ใช่ค่ายที่มีกฎบังคับอะไรมากมายให้อึดอัด เหมือนเป็นการไปเที่ยวที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากกว่า และได้รับสิ่งมากมายจากค่ายนี้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งประสบการณ์ ความรู้ทั้งที่เป็นวิชาการ และก็ใม่วิชาการ และได้รับสิ่งดีๆที่ได้จากคนรอบตัวจากผู้ร่วมเดินทางในคลาสนี้

อีกสิ่งที่ได้ทำจากที่ไม่เคยจะใส่ใจทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ นั้นคือการเป้าหมายของชีวิต จากการทำ odyssey plan ทำให้ผมได้เข้าใจความต้องการ ได้รู้เป้าหมายที่ตนเองอยากได้ อยากจะทำ ทั้งที่ก่อนหน้าไม่เคยคิดถึงเลย ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ตามน้ำไป แต่ตอนนี้มีเป้าหมายที่ต้องไปให้ถึงแล้ว ถึงแผนอาจจะมีการปรับเปลี่ยนอะไร หรือทำอะไรช้าไป เร็วไปก็ไม่เป็นไร ไม่เสียดาย เพราะได้ลองทำเป็นประสบการณ์ตามลักษณ์ 7 ที่ชอบ adventure

คนที่สี่

ตั้งแต่ก่อนเริ่มคลาสก็ได้แต่สงสัยว่าแต่ละสัปดาห์จะเรียนอะไร วิชานี้จะเป็นแบบไหน แต่เมื่อได้เรียนคลาสแรกผมรู้สึกสนุกมากๆ และเพื่อนก็คิดแบบนั้นเช่นกัน ผมอยากจะให้ถึงวันศุกร์ไวไวเพื่อจะได้เรียนวิชานี้ มันเหมือนได้พักจากที่เรียนหนักมาทั้งสัปดาห์

การเปลี่ยนแปลงตัวเองสำหรับผม เมื่อเรียนวิชานี้ก็มีหลายเรื่อง โดยเฉพาะสิ่งที่ผมอยากทำในอนาคต และเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผมยังได้นำความรู้เรื่องการฟังอย่างตั้งใจ ผมได้ลองทำตามคำแนะนำของอาจารย์จุฑาเรื่องแม่แล้วนะครับ 5555555 พอแม่เค้าบ่นแต่เมื่อผมไม่เถียง เค้าก็จะหยุดไปเอง ทำให้ผมรู้สึกว่า การที่เค้าทำแบบนั้นเค้าก็มีความเป็นห่วงแบบคนเป็นแม่ ไม่ว่าเราจะเด็กหรือโต แต่ในสายตาท่านท่านก็ยังมองเราเป็นเด็กเสมอ ผมเลยเข้าใจความต้องการของแม่

ถ้ามีเวลามากกว่านี้ผมอยากฝึกการโคชชิ่งให้คนอื่นและการฟังโดยที่เราไม่เอาความคิดของเราใส่เข้าไปเพื่อเป็นการให้คำปรึกษา แต่จะให้เค้าหาทางออกด้วยตัวของเค้าเอง อันนี้ผมว่ามันยากมากๆ เลย แต่ผมจะลองฝึกดูครับ

การเรียนคลาสนี้ทำให้เห็นนิสัยของเพื่อนแต่ละคน และ เรื่องทั้งดีและไม่ดีของเพื่อนๆ อย่างที่ใครๆ พูดก็คงถูกว่าคนเรานั้นมันไม่ได้เหมือนกัน ทุกคนต่างคนก็ต่างความคิด และได้เห็นมุมน่ารักของเพื่อนๆ ทั้งสนุก ทั้งสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ถ้่าผมบอกปฏิเสธไอนูว่าให้ลงวิชานี้ ผมคงรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิตเลยครับ

สุดท้ายผมอยากจะบอกอาจารย์ว่า เดี๋ยวผมเปิดร้านแล้วผมจะให้อาจารย์มาชิมคนแรกเลยครับ

คนที่ห้า




คนที่หก

สิ่งที่เปลี่ยนตัวเองจากวิชานี้เลยคือเรื่องของการมองคนและความคิดที่มีต่อคน ปกตืผมมักตัดสินคนแบบเร็วมากจากสิ่งที่เค้าทำ แต่จากวิชานี้มันทำให้ผมเข้าใจคนอื่นมากขึ้นว่าทุกคนมีเหตุผลของตัวเองในการกระทำต่างๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการรู้จักตัวเองและกล้าที่จะยอมรับความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เหมือนตอนนี้รู้แล้วว่าเราอยุ่ตรงไหน ทำให้รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรถึงจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้

วิชานี้เป็นวิชาเพื่อการพัฒนาตัวเอง โดยทำให้เข้าใจตัวเองและคนอื่นได้มากขึ้น ผมชอบวิชาที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกันมากขึ้น บางคนผมอยู่มา 4 ปีแทบไม่รุ้จักกันเลย แต่ได้รู้จักกันจากวิชานี้แหละ ผมว่าวิชานี้จะเรียนรู้ได้ดีก็อยู่ที่จะจริงจังกับกิจกรรมที่ทำแค่ไหน และอยู่ที่จะเชื่อกับสิ่งที่ทำแค่ไหน ตอนแรกๆ ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่า ทำแบบนี้ทำไปทำไม ทำไปเพื่อไร แต่ผมเริ่มอินกับมันน่าจะตั้งแต่การโค้ชชิ่งคือเริ่มเข้าใจและเชื่อ

การไปเขาใหญ่เหมือนเป็นการเปิดใจ ยอมรับตัวเองและเพื่อนมากขึ้น ผมชอบกิจกรรมการอวยพรและการกอดมาก ปกติเราไม่ได้กอดกันอยู่แล้ว มันเหมือนเป็นการแชร์ความรุ้สึกให้กัน และใจกำลังใจกัน

คนที่เจ็ด

สิ่งที่ผมได้เปลี่ยนแปลงจากการเรียนวิชานี้อย่างชัดเจนเลยคือ​ ผมรู้สึกว่าผมเริ่มที่จะฟังคนอื่นพูดมากขึ้น​ ซึ่งปกติผมก็รับฟังสิ่งที่คนอื่นพูดอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือการที่เราได้ฟังเรื่องที่คนอื่นพูดอย่างตั้งใจจริงๆ​ เห็นว่าสิ่งที่คนๆ นั้นพูด​และรู้สึกอยู่มันสำคัญสำหรับเขาจริงๆ​ และคนที่พูดอยู่นั่นสำคัญสำหรับเราจริงๆ​

สิ่งผมได้เรียนรู้จากวิชานี้คือ​ ถึงแม้ว่าหูของเราจะฟังเขาอยู่ ​แต่ถ้าเราทำอย่างอื่นไปด้วยหรือฟังแบบไม่ตั้งใจ​ มันก็เหมือนกับเราไม่ได้ฟัง​ เพราะ​สิ่งที่บ่งบอกความรู้สึกของคนพูดได้มากที่สุดคือ​ท่าทางตอนพูด​ น้ำเสียง​ สายตา​ ไม่ใช่คำพูดที่พูดออกมาดังนั้น​ ถ้าเราไม่ตั้งใจฟังเขา​ ไม่ตั้งใจสังเกตท่าทางตอนพูดของเขา​ ไม่จะไม่รู้เลยว่าเขารู้สึกยังไงกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่​ มันเป็นประโยชน์มากๆ​ และนำไปใช้ได้จริง​

สิ่งที่วิชานี้ได้เปลี่ยนแปลงผมก็คือ​ ผมเข้าใจเพื่อนๆ มากขึ้น​ เพราะว่า วิชานี้สอนให้ผมรู้ว่าการกระทำของแต่คนนั้นมันมีที่มาเสมอ​ เพราะฉะนั้นอย่าตัดสินคนจากภายนอก หรือสิ่งที่เราเห็นเขาทำ ถ้าเรายังไม่รู้จักคนๆ นั้นดีพอ​ มันทำให้ผมรู้สึกอยากเปิดใจที่จะได้รู้จักกับเพื่อนๆ ทุกคน​ และอยากจะสนิทกับเพื่อนๆมากขึ้น​ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าผมได้สนิทกับเพื่อนหลายๆ คนมากขึ้น มันทำให้ผมดีใจมาก​

ผมได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนอื่นมองผมเป็นคนแบบไหนและเห็นอะไรในตัวผม​ ซึ่งบ้างอย่างผมรู้อยู่แล้ว แต่ก็มีบ้างอย่างที่ผมไม่รู​้​ มันทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น​ และรู้ว่าอะไรควรแก้ไขและอะไรที่ควรนำมันมาเป็นจุดแข็งเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไปในอนาคต

คนที่แปด

ทุกคลาสที่ได้เรียนการรู้จักเพื่อนๆเพิ่มมากขึ้น ความสนิทสนมที่้เรามีให้กัน ทำให้ผมอยากมาเรียน อยากรู้ว่าคาบต่อไปผมจะได้เรียนรู้อะไรเพิ่ม จะได้เอาอะไรไปใช้ในชีวิต การเรียนทำให้ผมได้นำไปใช้จริงทั้ง deep listening การโค้ชชิ่ง การรู้จักนพลักษณ์เข้าใจมนุษย์ และเข้าใจตัวเอง

ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีขึ้นทั้งกับครอบครัวที่ผมจะพูดด้วยเสียงยีราฟมากขึ้นมากกว่าใช้หมาป่า อีกทั้งความสัมพันธ์ของเพื่อนนอกคลาส เพื่อนๆ ก็มีมาปรึกษาปัญหามากหลายคน เพราะผมชอบฟัง

การทำ odessy plan ทำให้เปลี่ยนความคิดในการชีวิตของผมไป ให้ผมอยากวางแผนในชีวิตมากขึ้น มันสร้างพลังให้ผมตอนที่วาด

การไปเขาใหญ๋เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้ผมเชื่อใจคนในคลาสมากขึ้น เนื่องจากได้อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน หลังจากกลับ ผมสนิทใจที่จะเล่าเรื่องราวในอดีตให้อาจารย์ฟัง

คนที่เก้า

พอผ่านไป 2-3 คาบ ผมก็เห็นว่าวิชานี้มีประโยชน์มากเลย สามารถใช้กับเหตุการณ์ปัจุบันตอนนั้นได้เลยคือเรื่องที่ทะเลาะกับแฟน ผมรับฟังเค้ามากขึ้นเข้าใจมากขึ้น ผมคิดว่าตอนแรกผมเข้าใจคนอื่นได้ดีในระดับนึง แต่พอได้ฟังที่อาจารย์สอน อาจารย์เล่าให้ฟัง ผมได้เข้าใจคนอื่นมากขึ้นเลย ผมไม่ตัดสินอะไรก่อนเลย ผมพร้อมรับฟังอย่างไม่เถียงแทรก เพราะแต่ละคนมีอดีตหรืออะไรที่เจอมาต่างกัน เราจะได้รู้จักคนๆ นั้นมากขึ้น

การที่ได้เรียนนพลักษณ์กับการแบ่งทิศ ทำให้สามารถแบ่งกลุ่มคนได้ว่าควรเข้าหายังไง ทำอะไรแล้วเค้าอึดอัดหรือไม่ชอบก็จะพยายามหลีกเลี่ยง และที่สำคัญรู้จักตัวเองดีขึ้นมาก รู้จักข้อเสียของตัวเองและพยายามแก้ไข ซึ่งเป็นอะไรที่สำคัญถ้าเรายังไม่รู้จักตัวเองดีพอก็ไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้จริงๆ

บางครั้งผมเป็นคนลักษณ์ 8 อาจมีอารมณ์ร้อนบ้าง เลยทำให้ลืม แต่ช่วงหลังๆ ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้นสามารถระงับอารมณ์ให้มากขึ้น รับฟังมากขึ้น แต่ที่ผมไม่เปลี่ยนคือผมไม่ค่อยเปิดใจตัวเอง เพราะผมคิดว่าจะทำให้คนรอบข้างมองคนนั้นไม่ดีและทำให้เครียดตาม และกลังจากที่ได้คุยกับพี่มูและตอนที่อาจารย์พาไปเลี้ยงข้าว ผมก็พยายามเปิดใจเล่ามากขึ้น ผมว่าผมคิดถูกที่ได้ลงวิชานี้เพราะทำให้ผมมีพัฒนาการดีขึ้นในการคุยกับคนอื่น และยังมีแผนในอนาคตที่เพื่อนๆ ได้แลกเปลี่ยนมา ทำให้ผมเห็นมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็น

คนที่สิบ

จากตอนแรกตอนต้นคาบ ผมเข้ามาประเด็นแรกเลย คือได้เกรดดี แล้วก็ เห็นว่า มีการไปเขาใหญ่ด้วย ซึ่งก็คิดว่า "เอ้อ เราก็แทบจะไม่เคยมีส่วนร่วมกับเพื่อนในภาคเลย เราแทบจะไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในภาคเลย เอาหน่อย เปลี่ยนตัวเองซักหน่อย" จะบอกว่า ไปเที่ยวทริปภาค ทริปอะไรต่างๆ ที่ไม่ได้บังคับไป ผมไม่เคยไปเลยซักครั้งครับ คุยกับคนในภาคก็แทบจะไม่ได้คุยเลย แล้วก็ไม่กล้าที่จะไปทักทายใครก่อน ไม่เคยคุย เอาแต่ก้มหน้าหลบตาผู้คนอย่างเดียวเลย

พอได้เริ่มต้นเรียนวิชานี้ ตอนเข้ามาคาบแรก ผมเข้าสาย 15 นาที ซึ่งปกติผมก็เข้าสาย 15 นาทีแทบทุกวิชาอยู่แล้ว พอได้เข้ามา ก็รู้สึกงงๆ นิดหน่อย เพราะ มีการล้อมวงกันเป็นวงกลม แล้วกิจกรรมแรกก็เป็นกิจกรรมเลือกรูปที่ตัวเองชอบ แล้วก็อธิบายว่า ทำไมถึงเลือกรูปนั้น ผมจำได้ว่าตอนนั้น ผมได้เลือกรูปพื้นหญ้า กับหลุมกอล์ฟ และลูกกอล์ฟ เป็นรูปที่รู้สึกสบายตา และดูผ่อนคลาย และไม่ชอบความวุ่นวาย เหมือนกับได้ฝึกพูดกับคนอื่น อธิบายสิ่งต่างๆ หลังจากจบคาบนั้น ผมก็รู้สึกว่า วิชานี้อาจจะช่วยให้เราออกจาก comfort zone ได้

จากที่ได้เรียนมาเรื่อยๆ นอกจากในคาบที่ได้ช่วยเหลือให้ผมได้ออกจาก comfort zone แล้ว ผมก็ได้พยายามด้วยตัวเองด้วยในส่วนหนึ่ง ปกติแล้ว เรียนอะไรเสร็จแล้วต่างๆ ผมจะกลับหอพักเลย แต่ตอนแรกๆ ผมได้พยายามเข้าไปนั่งกับกลุ่มเพื่อน ในตอนแรกๆ ที่นั่ง ผมรู้สึกค่อนข้างอึดอัดมาก แต่พอได้อยู่เรื่อยๆ ไปซักพัก พยายามไปกับเพื่อนเรื่อยๆ เพื่อนชวนไปไหน ไปหมดทุกที่ ร้านเหล้า ร้านกาแฟ เที่ยว ติวหนังสือ ดูหนัง ไปไหนไปหมด พอได้ทำเรื่อยๆ รู้สึกว่า เริ่มชินขึ้นเรื่อยๆ จนมาตอนนี้ รู้สึกปกติ และไม่รู้สึกอึดอัดอะไรแล้ว สามารถชวนคนอื่นพูดได้ ไม่ว่าจะสนิทหรือไม่สนิท ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน หลบสายตามาตลอด ไม่กล้าคุยอะไรเลย

ผมคิดว่าผมเสียดายเพื่อนบางคนที่ไม่ได้เรียนวิชานี้ เพราะบางคนเค้าควรที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองจริงๆ เพื่อให้สามารถเป็นคนที่ดีและเพื่อให้ชีวิตการทำงานนั้นดีขึ้น เพื่อนๆ ผมและผมต่างก็มีความคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า วิชานี้เป็นวิชาที่ดีมากๆ มหาลัยควรที่จะเปิดวิชานี้มาให้เยอะๆ ผมเชียร์ให้อาจารสอนวิชานี้ต่อไปนะครับ มันช่วยผมได้มากจริงๆ

จากที่ได้เรียนมา ผมคิดว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ใส่ใจกับคนที่เรียนที่สุดแล้ว  ผมรู้สึกว่าผมสามารถพูดคุยเรื่องต่างๆ ได้อย่างสบายใจ

ที่ผมชอบที่สุดคือตอนไปที่เขาใหญ่ ผมรู้สึกว่าเรื่องราวที่เขาใหญ่ทำให้ผมค่อนข้างสบายใจที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ น่าจะเป็นเพราะกิจกรรมหลายๆอย่างที่ทำทำให้ผมเปลี่ยนแปลงได้มาก ทำให้ผมค่อยๆ เลิกเป็น observer ไปเรื่อยๆ เลิกเป็นในเรื่องที่แย่ๆนะครับ (เก็บตัว, คุยกับคนอื่นไม่เก่ง, มองโลกในแง่ลบ, ไม่มีสังคม, เพื่อนน้อย, เก็บความรู้สึก) ตอนนี้การเป็น observer ของผม จากเป็น observer 100% ตอนนี้ อาจจะเป็น observer เหลือประมาณ 30%

ตอนนี้ ผมก็ยังพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่ ผมพยายามที่จะแสดงความรู้สึก เช่น รู้สึกดีใจ รู้สึกมีความสุข หรือรู้สึกเศร้า แต่ก่อนผมอาจจะพยายามไม่แสดงความรู้สึกกับเพื่อน แต่ตอนนี้ผมสามารถหัวเราะตามปกติ หรือเวลากังวล ก็ระบายให้เพื่อนฟังในสิ่งที่ผมรู้สึก และจากที่ปกติผมชอบทำตัวให้หายไปเฉยๆ โดยที่คนอื่นแทบไม่ได้รู้สึกว่าผมหายไปไหน ตอนนี้ผมพยายามที่จะบอกลาเพื่อนๆ เมื่อผมจะกลับ

เมื่อก่อน ผมเป็นคนที่แอนตี้ใครก็จะแอนตี้ โดยที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียด แต่ตอนนี้ ผมคิดว่า ผมเป็นคนที่ใส่ใจในความรู้สึกของคนอื่น และเหมือนกับจะมองให้ลึกก่อน ตอนนี้ก็เหมือนว่าได้เห็นใจความรู้สึกต่างๆ ของเพื่อนๆ เหมือนกับว่าตัวเองได้ยืดหยุ่น สามารถที่จะพูดคุยกับคนหลายๆ ประเภทได้ และมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากขึ้น ใส่ใจกับความรู้สึกคนอื่น

ดีใจที่ได้รับรู้ถึงอาชีพที่ผมอยากจะทำ ซึ่งทำแล้วทำให้ผมมีความสุข นั้นก็คือการเป็น streamer ซึ่งอาจารย์ได้สั่งให้ผมไปสัมภาษณ์ streamer ซึ่งผมค่อนข้างท้อมาก เพราะผมไม่ได้รู้จักกับ streamer คนไหนเลย ตอนแรกผมหมดหวังไปแล้วที่จะได้สัมภาษณ์ streamer แต่แล้วจั๊ก line มาบอกผมว่า มี streamer ที่ผมอยากสัมภาษณ์มาที่ร้านเหล้า ผมจึงรีบออกไป และก็ได้ไปสัมภาษณ์มาค่อนข้างละเอียด ผมรู้สึกว่าผมบังเอิญมากๆ มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเจอคนที่ผมได้สัมภาษณ์ เพราะเค้าค่อนข้างดัง และไม่ค่อยมีเวลาว่าง ทำให้ผมมีไฟขึ้นมา อาจจะลองเป็น streamer ก่อน ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำก่อน ว่าไปรอดไหม แล้วก็เร็วๆ นี้ ผมมี plan ที่จะไปเที่ยวต่างประเทศแล้ว

คนที่สิบเอ็ด

พอมาเข้าเรียนครั้งแรกตกใจมาก ทำอะไรกันอยู่่วะเนี่ย 5555 ทุกคนนั่งล้อมกันเป็นวงกลมแบบที่เรียนมา 4 ปีก็ไม่เคยเจอในมหาลัย เรียกว่าตั้งแต่เรียนมานี่นับครั้งได้ที่จะเจอแบบนี้ แปลกใหม่ดีครับ ยิ่งเรียนยิ่งรู้สึกชอบมากๆ สาบานได้ว่าเป็นวิชาที่เข้าเรียนบ่อยสุดนับตั้งแต่ปี 2 เทอม 2 ฮ่าๆๆๆ

การเรียนทุกสัปดาห์เลยรู้สึกว่าเราอยากมาเรียน มันสนุกและรู้สึกว่าได้อะไรจากการมาเรียนวิชานี้ จนถึงตอนไปค่ายก็ยอมรับว่าแอบหวั่นๆ อยู่นิดนุง 555 มีความกลัวนั่นกลัวนี่เข้ามาในหัวบ้างเหมือนกัน(คือภาพที่วาดไว้ตอนแรกก็จะอารมณ์แบบอยู่กลางป่าไม่มีไฟฟ้าใช้ จับปลาในแม่น้ำไรงี้ ฮ่าๆ) พอไปจริง เออมันก็ไม่ได้มีอะไรน่ากลัวมากมาย สนุกซะอีกที่ได้ไปออกค่ายกับเพื่อนๆ มีความทรงจำดีๆ เยอะเลยครับที่ได้ไปเข่าใหญ่

ตลอดการเรียนผมรู้สึกได้ว่าวิชานี้มันมีพลัง เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยรู้ตัวเองด้วยซ้ำว่าเราเป็นคนมีปัญหา เรื่องครอบครัว ทุกครั้งผมปล่อยผ่าน ทำเป็นไม่เก็บมาใส่ใจ แต่พอคลาสนี้แล้วมันเหมือนดึงความรู้สึกอะไรบางอย่างออกมาตอนเขียน Reflection หรือตอนทำกิจกรรมในห้อง มันทำให้ผมรู้สึกเห็นตัวเองชัดขึ้นครับว่าลึกๆ แล้วเรามีปัญหาที่ต้องแก้ไข

สิ่งที่รู้สึกว่าเปลี่ยนแปลงอย่างแรก คือ ผมรู้สึกเข้าใจและชอบการเรียนแบบนี้มากขึ้น เข้าใจว่าเรียนไปเพื่ออะไร จากต้นเทอมตอนเรียนคาบแรกก็ยังงงๆ ว่าทำไปทำไม จนมาตอนนี้เข้าใจเลย อีกเรื่องที่เปลี่ยนไปคือใจเย็นขึ้น ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คิดว่าตัวเองเป็นคนที่หัดรับฟังมากขึ้น ตั้งแต่เรียนมานี่ไม่ทะเลาะกับแม่เลยครับ 55555 ปกติแม่จะเป็นคนขี้หงุดหงิดตามวัยของเค้า ซึ่งทุกครั้งผมก็จะร้อนกลับ ทะเลาะกันตลอด มาวันนี้แม่ก็หงุดหงิดใส่ ผมก็เงียบไปแล้วบอกขอโทษนะครับ จะไม่ทำอีก.....เลิกเหวี่ยงเฉยเลย 555 ตอนนี้ก็รอดูอยู่ว่ากับพี่ชายจะเป็นยังไง

ส่วนเรื่องที่อยากเปลี่ยนแปลงจริงๆ มีสองเรื่องครับ อย่างแรกคือที่อาจารย์เคยแนะนำมาเรื่อง Eye contact อันนี้ผมก็อยากปรับปรุงนะครับ รู้สึกว่าตัวเองเวลาพรีเซนต์ไม่ค่อยสบตาคนฟังเท่าไหร่ จะพยายามปรับปรุงไปเรื่อยๆ ครับ เรื่องที่สองคิดว่าเป็นเรื่องความรับผิดชอบนี่แหละครับ เช่นสมมติวิชาไหนผมเรียนแล้วมีความสุขก็จะตั้งใจมากเป็นพิเศษ วิชาไหนไม่ชอบก็ไม่อยากจะเข้าเรียน ไม่ตื่น แล้วก้เรื่องการทำงานทำการบ้าน ชอบรอให้มันถึงวันสุดท้ายแล้วค่อยมาทำ เป็นแบบนี้ตลอดครับ และเป็นกับทุกเรื่องเลยจนบางทีก็ส่งผลเสียกับตัวเอง จริงๆ อาจจะมีเรื่องอื่นอีกแต่เท่าที่นึกออกก็มีสองเรื่องนี้แหละครับ

รักครับ <3 p="">

คนที่สิบสอง

มันเป็นวิชาที่พัฒนาบุคลิกทางด้านความคิด ด้านจิตใจ ด้านอารมณ์ ทำให้เรารู้และเข้าใจเพื่อนๆมากขึ้นจากแต่ก่อนมาก มันทำให้เราได้รู้วิธีการฟังที่ถูกต้องและฟังอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปกติเราก็เป็นผู้ฟังอยู่แล้วแต่ยังไม่ดีพอในตอนนี้เราสามารถเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้นกว่าตอนแรกได้แล้ว นอกจากนี้เรายังสนิทกับเพื่อนเพิ่มมากขึ้นและเรายังได้เจอหรือพูดคุยกับเพื่อนบางคนที่ไม่ค่อยสนิท ได้เห็นนิสัย ได้เห็นความคิด ได้เห็นจิตใจ ได้เห็นเรื่องราวต่างๆของเพื่อน ได้เห็นอนาคตที่วางแผนไว้ทั้งของตัวเองและเพื่อนๆ เราเริ่มที่จะคิดและวางแผนอนาคตให้เป็นระบบและมีความเป็นไปได้มาก และเราเริ่มที่จะมองตัวเองและเริ่มเข้าใจตัวเองบ้างแล้ว

ในแต่ละครั้งที่เข้าคลาสเราจะตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่รู้เลยว่าวันนี้จะทำอะไรจะมีกิจกรรมอะไรรออยู่

ในช่วงแรกๆ ผมคิดว่าในคลาสเรายังไม่มีการเปิดใจให้เพื่อน ให้อาจารย์ กันมากเท่าไหร่  แต่พอได้เรียนนานขึ้นเรื่อยๆผมรู้สึกว่าทุกคนเปิดใจกันมากขึ้นและไว้ใจกันมากขึ้นกว่าเดิม ทุกคนเริ่มกล้าที่จะพูดออกมารวมถึงทั้งผม ที่ปกติอาจจะพูดหรือบอกไม่หมด แต่ตอนหลังๆ เราเริ่มที่จะพูดออกมาจากใจจริงๆ

สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในคลาสนี้ทำให้เราได้รู้ว่าเรายังมีเพื่อนๆ หรืออาจารย์หรือพี่ๆ วิทยากรที่ยังคอยอยู่ข้างๆและรับฟังเราเสมอ คลาสนี้ให้อะไรมากกว่าความรู้เพราะมันให้มิตรภาพ และการพัฒนาความคิดและจิตใจตนเองเพิ่มมากขึ้น

คนที่สิบสาม

เรียนคลาสนี้ก็ดีใจที่ทำให้ได้ความสัมพันธ์ดีๆ ได้พบเจอเพื่อนใหม่ที่ดี ที่มาในรูปแบบอาจารย์ พี่สาว พี่ชาย ได้ใช้เวลาในคลาสร่วมกันมันเป็นอะไรที่อบอุ่นใจดีนะคะ ถึงแม้กับบางคนก็ยังไม่ได้สนิทด้วยก็ตาม หนูว่ามันก็ดีนะคะที่ได้มารับรู้เรื่องราวต่างๆ ของเพื่อน เพราะเป็นการได้ระบายได้แชร์ความรู้สึกนั้นออกมากัน มันทำให้คนที่เล่าได้เบาใจขึ้น การเรียนรู้อะไรแบบนี้หลายๆ คนน่าจะได้เรียนนะคะ จะได้เข้าใจความรู้สึกคนอื่นได้ดีขึ้นบ้าง 

คนที่สิบสี่


คนที่สิบห้า

พอผมได้มีโอกาสเรียนในคลาสทำให้ผมเข้าใจว่าการไปตัดสินให้ผู้อื่นนั้นไม่ถูกซะทีเดียวเราควรเป็นคนที่รับฟังและเข้าใจ ตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูด เราควรจะให้เขาได้หาคำตอบเกี่ยวกับตัวเขาด้วยตัวเองดีที่สุด ผมเลยนำเอาที่เรียนนี้ไปลองใช้ดูครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้คนที่ผมมีโอกาสได้รับฟังเรื่องราวของเขานั้นค้นพบคำตอบด้วยตัวเอง ทำให้ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำเป็นประจำตลอดไม่ใช่สิ่งที่ถูกเสมอไป

พอมาในช่วงสุดท้ายของการเรียนผมจับสังเกตได้ว่า ผมมีความมั่นใจในการพูดมากๆ เมื่อผมรู้เนื้อหาที่ผมจะพูดเป็นอย่างดี ผมมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อผมมีโอกาสได้พูดบ่อยๆ 

สิ่งที่ผมยังทำไม่ได้แต่อยากให้เปลี่ยนได้คือในเรื่องของการใส่ใจตัวเองมากกว่าผู้อื่น ผมพยายามลองปรับดู แต่ว่ายังทำได้ไม่ดีนัก เพราะผมยังมีความรู้สึกที่อยากจะรักษาความสัมพันธ์กับผู้คนอยู่มาก แต่ผมจะนำไปพัฒนาต่อเพื่อให้ผมสามารถดูแลความสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน และทำให้ผู้อื่นมีความสุขครับ

คนที่สิบหก

ตั้งแต่ชีวิตการเรียน ผมไม่เคยได้เรียนวิชาอะไรที่ได้แสดงความรู้สึกได้แสดงออก ได้พัฒนาตัวเองเท่านี้ 
สิ่งที่รู้สึกว่าพัฒนามาจากก่อนเรียน คือรู้สึกว่าตัวเองมีความเข้าใจคนอื่น มีความเข้าใจตัวเองมากขึ้นมาก มีความใจเย็นและความคิดที่ไตร่ตรองมากขึ้น มีความมองในหลายๆ แง่และเข้าใจสิ่งต่างๆ ทำให้ผมคิดว่าผมมีความรู้สึกกังวลน้อยลงมาก ในเรื่องที่เคยเครียดที่เคยคิดหาทางออกไม่ได้ และในหลายๆเรื่อง ผมได้เอาสิ่งที่เรียนมาช่วยเหลือเพื่อนหรือคนอื่น มันมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ได้รับพลังงานที่ทำให้ผมอยากช่วยเหลือคนอื่นอีก และได้พัฒนาการแสดงออกหรือการเล่าความรู้สึกของเรา เพราะในคลาสทั้งเพื่อนทั้งอาจารย์พร้อมจะรับฟังและช่วยเหลือกัน และทำให้ผมกล้าพูดความคิดของเราให้คนอื่นได้รับฟังโดยไม่ต้องกลัวว่าเรื่องที่เราเล่าจะทำให้เราดูไม่ดี 

สิ่งที่ได้รับจากการเล่าเรื่องเล่าความคิด มันทำให้ผมคิดได้ในหลายๆอย่าง และเมื่อก่อนผมไม่เคยเชื่อในพลังงานที่มองไม่เห็น หรือพลังงานการกอด พลังงานการพูด การให้กำลังใจ แต่เมื่อจบจากคลาสนี้ ผมว่าสิ่งเหล่านี้มันมีพลังงานแฝงอยุ้จริงๆ สามารถทำให้คนมีพลังงานมีแรงผลักดันเพิ่มได้มากจริงๆ และรู้สึกว่าในชีวิตมหาลัย ผมได้เรียนวิชาที่ดีแบบนี้ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอในมหาลัย ผมดีใจมากครับที่ได้เจออาจารย์ที่ใส่ใจนิสิตคอยติดตามผลแบบอาจารย์ แค่ได้รับความใส่ใจจากอาจารย์แบบที่ไม่เคยได้รับ ก็เกินคุ้มแล้วครับสำหรับชีวิตมหาลัย

คนที่สิบเจ็ด

ที่คิดว่าได้มากสุดจากคลาสนี้คือความรู้สึกที่เป็นเหมือนครอบครัว เริ่มต้นคือหนูไม่สนิทกับบางคนเลย บางคนแทบไม่เคยคุยเลย แต่เพราะกิจกรรมพูดคุยหลายๆอย่างทำให้รู้สึกเข้าถึงเพื่อนบางคนได้เยอะทีเดียว ทำให้เรารู้จุดเปราะบางในใจของเขา บางคนจากที่ไม่สนิท กลายเป็นสนิท รู้สึกคลาสนี้เป็นเหมือนครอบครัวที่เอาไว้ระบายปัญหาความเครียด เหมือนการบำบัดจิตใจ ถ้าคนมีปัญหาในใจจะเห็นผลมากกว่าคนที่ไม่มีปัญหา มันรู้สึกมีค่ามากตอนมีคนรับฟังนะคะ 

Comments