เรียนวิชา Leadership แล้วได้อะไร (2/2)

คำถามคือ สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนวิชานี้ คุณจะอธิบายให้ฟังว่าอย่างไร

คนที่ ๑๒

ถ้าผมต้องอธิบายวิชานี้ให้คนที่ยังไม่เคยเรียนฟัง ผมจะบอกว่านี่ไม่ใช่วิชาที่สอนเพียง เทคนิคการพูด หรือ หลักการสื่อสาร แต่เป็นวิชาที่สอนให้เรา เข้าใจตัวเอง เข้าใจคน และเข้าใจโลกมากขึ้น ทุกกิจกรรมในคลาสไม่ได้มีคำตอบตายตัว แต่เปิดโอกาสให้เราได้สำรวจความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรมของตัวเองอย่างลึกซึ้ง

นี่คือวิชาที่ทำให้เรากล้าจะเป็นมนุษย์มากขึ้น กล้าที่จะฟังผู้อื่นด้วยใจ กล้าที่จะพูดอย่างจริงใจ และกล้าที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง วิชานี้ยังสอนให้ผมเห็นว่าการเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องของอำนาจบารมีแต่คือการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนรอบข้างสามารถเติบโตไปด้วยกัน

ถ้ามีใครสักคนถามผมว่าทำไมวิชานี้ถึงสำคัญ ผมคงตอบว่า เพราะในโลกที่ทุกคนพูด แต่ไม่มีใครฟัง การสื่อสารอย่างมีสติคือพลังที่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้ และผมเชื่อจริง ๆ ว่าความเข้าใจที่ผมได้จากวิชานี้จะติดตัวไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของผู้ตาม เพื่อนร่วมงาน หรือผู้นำในอนาคต

คนที่ ๑๓

“มันคือวิชาที่สอนให้เรารู้จักทั้งตัวเองและคนอื่นไปพร้อมกัน” เป็นวิชาที่หาไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันไม่ได้ให้แค่ความรู้เชิงทฤษฎี แต่ให้ “ประสบการณ์ตรง” ที่เปลี่ยนมุมมองการใช้ชีวิตจริงๆ

ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเข้าสังคมเก่งหรือไม่ค่อยพูด เป็นคนเปิดเผยหรือเก็บตัว ทุกคนสามารถเรียนวิชานี้ได้ และจะได้อะไรบางอย่างกลับไปแน่นอน วิชานี้เปิดโอกาสให้เราได้แบ่งปันความคิด ได้ฟังมุมมองของคนอื่น และได้มองเห็นตัวเองในกระจกของผู้อื่น

ในแต่ละสัปดาห์ เราจะได้เจอกับทั้งเพื่อน อาจารย์ และวิทยากรที่มีแนวคิดแตกต่างกัน ได้ทำกิจกรรมที่บางครั้งเราอาจไม่เคยลองทำ เช่น การสะท้อนความรู้สึก การเล่าเรื่องชีวิต หรือการทำงานร่วมกันในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความเข้าใจมากกว่าการแข่งขัน แม้จะเหนื่อยเพราะต้องใช้พลังใจเยอะ แต่ทุกครั้งที่จบคลาส น้ำจะรู้สึกเต็มอิ่ม ได้ข้อคิดใหม่ๆ และได้รู้จักตัวเองในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

อีกสิ่งที่น้ำชอบมากคือ “การเขียน Reflection” เพราะมันเป็นเหมือนช่วงเวลาที่ได้หยุดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในคลาสและในใจตัวเอง เป็นโอกาสที่ได้ซื่อสัตย์กับความรู้สึกจริงๆ ของเรา และเห็นพัฒนาการของตัวเองจากสัปดาห์แรกจนถึงสัปดาห์สุดท้าย

ท้ายที่สุด น้ำอยากบอกว่า วิชานี้ไม่จำเป็นต้องเข้ามาเรียนด้วยคำถามว่า “เราจะได้อะไร” เพราะบางครั้งคำตอบมันไม่ได้ชัดเจนในตอนแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราจะรู้เองว่า “เราได้อะไรบางอย่างกลับมาแน่ๆ” ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจ ความสงบ ความกล้า หรือเพียงแค่การรู้จักตัวเองมากขึ้นกว่าที่เคย นั่นก็ถือว่า “คุ้มค่า” แล้ว



คนที่ ๑๔

สำหรับวิชานี้คนที่จะเรียนจะเป็นใครก็ได้นะครับผมว่ามันเหมาะกับทุกคน แต่สิ่งที่ควรมีคือความเคารพต่อมุมมองและแนวคิดใหม่ๆที่จะได้จากการเรียนคลาสนี้ เพราะมันช่างขัดกับแนวคิดเป็นเหตผลของวิศวะอย่างเราซะเหลือเกินในบางเรื่อง ในส่วนขอตัววิชานี้จะพาให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้นไม่ว่าคุณจะมั่นใจว่าคุณเข้าใจตัวเองมากขนาดไหน เพราะผมเองก็เป็นอย่างนั้น555 ไอที่บอกว่าเข้าใจตัวเองมากขึ้นเพราะคุณจะได้เห็นพฤติกรรมของคุณบางอย่างที่คุณทำโดยไม่รู้ตัว ว่ามันเป็นตัวคุณหรือคนประเภทคุณที่ชอบทำอะไรประมาณนั้น หรือจะเป็นการมองเห็นจุดแข็งหรือการพัฒนาสิ่งเหล่านั้นวิชานี้ก็จะมอบความรู้และทรัพยากรในการทราบสิ่งเหล่านั้นกับคุนเพื่อความเข้าใจในตัวเอง ต่อมาเป็นในเรื่องของการเปิดใจได้ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นต่างๆคือผมก็เป็นคนที่ทำกิจกรรมเยอะประมาณนึง แต่กิจกรรมในคลาสนี้เป็นกิจกรรมที่เน้นการใช้ความจริงใจของตัวเองเป็นเปิดโลกความกล้าในการแสดงออกด้านจิตใจที่ผมว่ามันดีมากๆและเห็นผลได้เลยจากเพื่อนๆในคลาสที่บางคนมีการเปิดใจพูดด้วยกันมากขึ้น และวิชานี้ก็ยังมอบประสบการณ์ในการทำกิจรรมบางประเภที่เราไม่ได้ทำบ่อยในชีวิต อย่างเช่นศิลปะบำบัดซึ่งผมคิดว่าเราคงไม่ได้มีโอกาสได้ทำในชีวิตประจำวันทั่วไป ก็ถือเป็นประบการณ์ที่ดี การเรียนวิชานี้คุณอาาจะได้ความรู้หรือมมุมองที่สามารถเอาไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน เพราะมีเพื่อนที่นำเรื่องที่เรียนไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงเกี่ยวกับครอบครัวแล้วมันสามารถคลี่คลายได้อย่างสบายใจ อันนี้เป็นเรื่องประทับใจที่อยากอธิบายให้ฟังว่ามันดีมากๆ

คนที่ ๑๕

หนูจะบอกเลยว่าเป็น “วิชาที่ช่วยให้เราเข้าใจชีวิตของเราเองและของผู้อื่น” ค่ะ วิชานี้ไม่ได้สอนจากตำรา ไม่ได้มีข้อสอบ แต่สอนให้เราเรียนรู้จาก “การเป็นตัวเอง” ทุกคลาสจะเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ให้เรากลับมามองข้างใน ตั้งแต่การเรียนเรื่องนพลักษณ์ การฝึกฟังแบบไม่ตัดสิน การทำ Art Therapy ไปจนถึงการรู้จักจุดแข็งของตัวเองใน Clifton Strengths ทุกอย่างในวิชานี้ไม่ได้บังคับ แต่ค่อย ๆ พาให้เราเรียนรู้และเปิดใจกับสิ่งต่าง ๆ 

หนูคิดว่าวิชานี้เป็นเหมือน Safe Zone เป็นห้องเรียนที่เราไม่ต้องแข่งขันกับใคร เป็นตัวของตัวเองได้เต็มที่ และที่สำคัญไม่ต้องกลัวว่าจะถูกหรือผิด จะไม่มีการตัดสินใดๆทั้งสิ้น เป็นคลาสที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความเห็นใจ รอยยิ้ม และเป็นคลาสที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนอีกด้วยค่ะ 

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเรียน หนูอยากบอกว่าถ้าได้มีโอกาสควรลองเรียนดูค่ะ เพราะมันไม่ใช่แค่เรียนเพื่อได้เกรด แต่เป็นการเรียนเพื่อเข้าใจจริงๆ 

สุดท้ายหนูอยากบอกว่าขอบคุณวิชานี้มาก ๆ ที่ทำให้หนูได้รู้จักตัวเอง ได้เข้าใจเพื่อน ๆ ได้มีโอกาสวางแผนชีวิตในอนาคตของตัวเองก่อนที่จะเรียนจบ และยังได้รับคำแนะนำจากสิ่งที่เราวางแผนไปอีกด้วย  จากตรงนี้หนูอยากจะสรุปว่า แค่เราไม่หยุดที่จะเรียนรู้และเปิดใจรับฟังกับสิ่งต่าง ๆ ก็ถือว่าเราได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

คนที่ ๑๖

ตอนเเรกที่ลงเพราะก็ไม่รู้ว่า จะเป็นเนื้อหาประมาณไหนเเต่ก็มีเพื่อนลงด้วย เราก็เรียนด้วย เนื้อหาในคาบก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เจอบ่อยๆในชีวิต ทำให้เราเหมือนอยู่กับตัวเองค่อยพัฒนาตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่ก็ยังมีเพื่อนรวมแชร์ประสบการณ์ ในคาบเราก็ได้เรียนรู้จุดเเข็ง 5 อย่างที่เรามี ซึ่งมันก็ลงลึกไปอีกว่าเป็นประเภท ทำให้เราเข้าใจตัวเราได้อย่างถ่องเเท้ ต่อมาเป็นคาบลักษณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าคาบนี้ที่ได้เรียน มันทำให้รู้จักลักษณะของคน ที่ทำให้เราเข้าใจมุมมองของคนนั้นเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเป็นคาบการสื่อสารอย่างสันติ ที่สอนในการฟังเเละการพูด มันมีสิ่งที่ซับซ้อนในนั้นมาก ตอนเเรกคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก ซึ่งตั้งแต่เรียนมาคิดว่าเรื่องการสื่อสารนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเเละควรปรับเเก้มาก ต่อมาเป็นเรื่อง ใต้ภูเขานํ้าเเข็ง ทําให้เราคิดวิเคราะห์แยกแยะ เหตุการณ์นั้นๆ มองหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเราหรือจะเป็นเรื่องของคนที่มีปัญหาแล้ว เราสามารถเข้าไปช่วยได้ คาบสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับ ศิลปะตอนเเรกก็รู้สึกกังวล เพราะปกติเป็นคนที่วาดรูปไม่สวย ไม่ถนัดเลย เเต่พอได้มาลองมันเป็นคนละอย่างกับที่เราคิดไว้เลย เป็นการเหมือนใช้ผงสีค่อยๆสีกับสําลีขึ้นไปเป็นรูปร่าง ไม่เคยทํามาก่อน คาบนั้นเรียนประมาณ3 ชั่วโมงเเต่รู้สึกเวลาผ่านไปไวมาก มันเพลินดี ไม่ต้องกดดันว่าจะวาดหรืออะไร จะออกมาเป็นยังไง รู้สึกเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี ได้นั่งเพลินๆอยู่กับตัวเอง ซึ่งวาดออกมา3 รูป เป็นตั้งแต่เป็นเมล็ด ออกมาเป็นต้นอ่อน จนเป็นต้นไม้ใหญ่ เหมือนกับชีวิตของตัวเรา ที่เติบโตอยู่/ทุกวัน รู้สึกเป็นวิชาที่เปิดมุมมองใหม่ๆ


คนที่ ๑๗

สำหรับผมนะครับ ผมจะบอกเลยว่าเป็นวิชาที่เดาไม่ออกจริงๆ ครับว่าเราจะเรียนอะไร ได้อะไรกับวิชานี้บ้าง จะรู้จริงๆ คือต้องมาลองลงเรียนเองครับ จะได้อะไรกลับไปเยอะมากๆ แบบที่คิดไม่ถึงเลยครับ อะไรที่ตัวเราไม่เคยมองเห็นในตัวเองและคนอื่น วิชานี้จะช่วยให้เราได้เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้น สำหรับตัวผมเองก่อนเรียนผมก็มองว่าตัวเองเข้าใจตัวเองมากอยู่แล้ว วิชานี้อาจจะไม่จำเป็น แต่พอลองเปิดใจมาเรียนก็ได้อะไรกลับมากกว่าที่คิดไว้มากเลยครับ ได้เข้าใจว่าจริงๆ ที่เราคิดว่าตัวเองเข้าใจตัวเองมากแล้วนะ จริงๆ มันมีอะไรที่ลึกกว่านั้นเยอะครับ มันยังมีอะไรที่เราไม่เข้าใจอยู่อีกมาก แล้ววิชาก็ช่วยให้ผมสื่อสารและพูดต่อหน้าคนเยอะได้ดีขึ้นมากครับ จากตอนคาบแรกๆ ที่จับไมค์พูดแต่ละทีเคยตื่นเต้น สั่นไปหมด จนเริ่มไปถึงสัปดาห์กลางๆ ของวิชานี้ก็รู้สึกว่าพูดได้คล่องแล้ว ความตื่นเต้นก็หายไปแล้วครับ รู้สึกว่าการได้ฝึกพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ได้เปิดใจพูดอะไรที่ไม่ได้โอกาสได้พูดที่อื่น หรือได้เข้าใจมุมต่างๆ ของเพื่อนที่เรียนวิชานี้มากขึ้น ที่ชีวิตธรรมดาไม่น่าได้คุยเรื่องพวกนี้กัน ซึ่งมันเป็นโอกาสดีมากครับที่เราจะได้ฝึกเข้าใจตัวเองและเข้าใจคนอื่นมากขึ้นจากวิชานี้ การเรียนวิชานี้มันเหมือนช่วยให้เราเปิดใจและรับฟังคนอื่นได้ดีขึ้น ได้สนิทกับคนอื่นมากขึ้น เป็นวิชาที่ทำให้คนเก็บตัวแบบผมเหมือนได้เปิดโลก เปิดใจมากขึ้นเยอะมากครับ ผมรู้สึกว่าตัวเองกล้าทำอะไรมากขึ้นจากที่เเต่ก่อนมัวเเต่กลัวเพราะไม่ค่อยเข้าใจตัวเองบางเรื่อง วิชานี้เหมือนปลดล็อกอะไรที่อยู่ในใจเราสุดท้ายแล้ว เป็นวิชาที่คุ้มค่าที่จะมาลงเรียนครับ สำหรับคนที่อยากจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น อยากพัฒนาตัวเองหรืออยากเข้าใจคนอื่น สื่อสารเก่งขึ้น พูดต่อหน้าคนเยอะๆ มากขึ้น อยากจะหลุดกรอบที่ตัวเองติด เป็นโอกาสที่ดีมากครับ

แล้วผมก็มองว่าสำหรับภาควิชาเราที่เรียนวิศวะมีแต่ทฤษฎี อยู่แต่กับตัวเลข โอกาสที่จะได้ใช้ความรู้สึกเราหรือหัวใจเราในการมองตัวเองมันก็น้อยมากครับ ซึ่งสำหรับวิชานี้ก็จะเป็นอะไรที่ทำให้เราได้หันมามองหัวใจกับความรู้สึกตัวเองอีกครั้ง เหมือนเป็นการกลับมามองว่าตัวเราตอนนี้ทำอะไรอยู่ เราชอบมันไหม เรามีความสุขดีกับสิ่งนี้ใช่ไหม หรืออะไรที่เราหนีอยู่ ซึ่งแน่นอนครับในชีวิตธรรมดา โอกาสที่เราจะได้หันกลับมามองตัวเองนั้นมีน้อยมากจริงๆ ชีวิตปกติเราบางทีก็ลืมหันกลับมามองตัวเอง หรือการมองคนอื่นแบบเข้าใจจริงๆ ก็ไม่ง่ายครับ การที่เรียนวิชานี้ก็เหมือนเราได้เข้าใจความสำคัญของการกลับมามองตัวเอง การเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ซึ่งมันจะทำให้รู้สึกเลยครับว่าเวลาทำอะไรยากๆ หรือเจอเรื่องเครียดๆ เรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา เราสามารถจัดการมันได้ง่ายขึ้น เวลามีปัญหากับใครเราสามารถจัดการเรื่องต่างๆ ให้จบด้วยดีและกระทบกระทั่งคนๆ นั้นน้อยที่สุดครับ ที่สำคัญข้อเสียของเราที่เราพยายามหนีมันมาตลอด วิชานี้ทำให้เรามองมันได้อย่างใจเย็นและไม่หนีมัน พอถึงคราวที่เราเผชิญหน้ากับมัน แก้ไขมันจริงๆ มันก็ทำให้ชีวิตดีขึ้นมากเลยครับ กล้าทำอะไรมากขึ้น อะไรที่เราเคยทำได้ไม่ดีจริงๆ มันก็แค่ข้อจำกัดที่เราคิดไว้เอง วิชานี้ช่วยให้ผมทำเรื่องที่ไม่ถนัดได้ดีขึ้นมากครับ

คนที่ ๑๘

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมวิชานี้ถึงเป็นวิชาเลือกของภาคเราได้ ทั้งที่วิชาอื่นก็มีแต่ตัวที่ดูมีความวิชาการกันหมดเลย แต่วิชานี้ก็เป็นวิชาที่สามารถนำไปปรับใช้ได้จริงนะครับ เพราะว่าการสื่อสารมันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการใช้ชีวิต ถึงไม่ว่าจบไปเราจะไม่ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับไออีเลย ความรู้และประสบการณ์ต่างๆ จากวิชาที่ก็สามารถทำให้เราใช้ชีวิตได้ดีขึ้นครับ เช่น การเข้าใจในตัวเองและผู้อื่น นอกจากนั้นวิชานี้ก็จะให้เราเขียน reflection บ่อยๆ ซึ่งจุดนี้บางคนอาจจะไม่ชอบก็ได้ แต่ผมมองว่ามันเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราได้ตกตะกอนความคิดของเราในขณะนั้นขึ้นมาครับ พอเราย้อนกลับไปดู reflection ที่เขียนไว้ต้นเทอม มันก็ยิ่งบ่งบอกได้เลยว่าตัวเรามาไกลขนาดไหน (อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนนะครับ) โดยรวมแล้ววิชานี้ได้ประโยชน์อะไรมากกว่าที่ผมคิดไว้อีกครับ ถ้าลองมาเรียนจะไม่รู้สึกว่าเราคิดแน่นอนครับ

คนที่ ๑๙

ถ้าจะอธิบายวิชานี้ให้คนที่ยังไม่เคยเรียนฟัง ผมว่ามันเป็นวิชาที่ช่วยให้เราได้เข้าใจตัวเองและคนอื่นมากขึ้นจริง ๆ เหมือนเป็นพื้นที่ให้เราหยุดคิดทบทวนว่าเรากำลังใช้ชีวิตยังไง อะไรคือจุดแข็ง จุดอ่อนของเรา และมันส่งผลกับคนรอบข้างยังไงบ้าง หลายครั้งเราก็จะได้คำตอบจากคำถามที่ไม่เคยคิดจะถามตัวเองมาก่อนหรือได้จากคำถามที่คิดว่าตะถามคนอื่น วิชานี้ไม่ได้สอนแค่เรื่องแนวคิด แต่ทำให้เราเห็นภาพพฤติกรรมของตัวเองระหว่างทำกิจกรรมและการแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในคลาส ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนเราถึงคิดหรือทำอะไรแตกต่างกัน และจะอยู่ร่วมกันยังไง ผมว่ามันเหมาะมากสำหรับคนที่อยากพัฒนาตัวเองให้เข้าใจทั้งด้านในและด้านนอกของตัวเองมากขึ้น อยากรู้ว่าจุดเด่นของเราคืออะไร และจะใช้มันให้เกิดประโยชน์ในชีวิตจริงได้ยังไง รวมถึงคนที่อาจจะมีปัญหากับความสัมพันธ์รอบตัว เช่น คนในครอบครัวหรือเพื่อนที่ไม่เข้าใจกัน วิชานี้ช่วยให้เราเปิดใจและมองมุมของอีกฝ่ายได้ดีขึ้น  หรือจริงๆถ้าเป็นคนที่ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต้องแก้อะไร วิชานี้ก็ยังเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่ดี ผมเชื่อว่าจะมีหลายๆสิ่งที่ตัวเองไม่รู้แน่นอน เช่นพฤติกรรมบางอย่าง ความเชื่อ แนวคิด หรือแรงขับลึกๆในใจเราที่จะถูกสะท้อนผ่านการเรียนและการทำกิจกรรม ไม่ใช่แค่กิจกรรมที่เรียนยังมีการทำความเข้าใจคนอื่นๆอีก ถ้าเราคิดว่ามันแปลกแสดงว่าเรามีเหตุผลในการคิดต่างกัน ถ้าเราสามารถเข้าใจถึงการกระทำนั้นของคนอื่นได้ มันจะปลดล็อคความคิด หรือวิธีคิดแบบใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิด หรือบางครั้งบางสถานการณ์เราอาจจะต้องยืมจุดแข็งของคนอื่นมาใช้ เราไม่สามารถเป็นตัวเองแบบเหมือนของแข็งในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่ได้ แม้แต่อายุของเราก็มากขึ้นไปเรื่อยๆ การเรียนคลาสนี้เหมือนพาเราเข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ เข้าใจความคิดของคนอื่นตั้งแต่อายุยังน้อย การเรียนคลาสนี้ตั้งแต่ยังเด็กอาจส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตก็ได้ ผมเชื่อแบบนั้น

คนที่ ๒๐

Collaborative Communication and Effective Leadership (ที่คนชอบเรียกกันว่าวิชา Leadership) เป็นวิชาที่ต้องได้เรียนสักครั้งหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย มันคือวิชาที่ควรค่าแก่ประสบการณ์ในชีวิตมหาวิทยาลัย ถ้าคุณต้องการ ทั้งการเข้าใจตัวเองและการเข้าใจผู้อื่น วิชานี้จะทำให้คุณได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ ทั้งการคุยกับเพื่อนที่ไม่รู้จัก (หรืออาจจะไม่ชอบ) รวมถึงได้คุยกับอาจารย์ วิทยากร แลกเปลี่ยนความคิดกัน วิชานี้คือคำตอบ ซึ่งคุณจะได้ลงมือทำ ตั้งใจเรียนรู้จริง ๆ ไม่ใช่วิชาเสรีที่เรียน ๆ ไปเอาเกรด ถ้าพร้อมเปิดใจรับสิ่งใหม่ ๆ กับทุกสิ่งไม่ใช่แค่เรื่องวิชาการ ก็ขอให้รีบลงทะเบียนให้ทัน เพราะคุณจะไม่มีโอกาสได้รับประสบการณ์แบบนี้ที่ไหนอีกแล้วในรั้วมหาวิทยาลัย

❤️ สุดท้ายสำหรับผม วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่สอนแค่ภาวะผู้นำแต่สอนให้รู้จัก “ฟังหัวใจของตัวเองและผู้อื่น” เหมือนทุก ๆ กิจกรรมที่เราได้ทำ มันทำให้ผมรู้ว่าความเข้าใจและการยอมรับ สามารถเปลี่ยนชีวิตของเราไปได้จริง 

คนที่ ๒๑

ตอนเเรกที่ลงเพราะก็ไม่รู้ว่า จะเป็นเนื้อหาประมาณไหนเเต่ก็มีเพื่อนลงด้วย เราก็เรียนด้วย เนื้อหาในคาบก็เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้เจอบ่อยๆในชีวิต ทำให้เราเหมือนอยู่กับตัวเองค่อยพัฒนาตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แต่ก็ยังมีเพื่อนรวมแชร์ประสบการณ์ ในคาบเราก็ได้เรียนรู้จุดเเข็ง 5 อย่างที่เรามี ซึ่งมันก็ลงลึกไปอีกว่าเป็นประเภท ทำให้เราเข้าใจตัวเราได้อย่างถ่องเเท้ ต่อมาเป็นคาบลักษณ์ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าคาบนี้ที่ได้เรียน มันทำให้รู้จักลักษณะของคน ที่ทำให้เราเข้าใจมุมมองของคนนั้นเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเป็นคาบการสื่อสารอย่างสันติ ที่สอนในการฟังเเละการพูด มันมีสิ่งที่ซับซ้อนในนั้นมาก ตอนเเรกคิดว่าไม่น่าใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก ซึ่งตั้งแต่เรียนมาคิดว่าเรื่องการสื่อสารนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเเละควรปรับเเก้มาก ต่อมาเป็นเรื่อง ใต้ภูเขานํ้าเเข็ง ทําให้เราคิดวิเคราะห์แยกแยะ เหตุการณ์นั้นๆ มองหลายมุมมอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเราหรือจะเป็นเรื่องของคนที่มีปัญหาแล้ว เราสามารถเข้าไปช่วยได้ คาบสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับ ศิลปะตอนเเรกก็รู้สึกกังวล เพราะปกติเป็นคนที่วาดรูปไม่สวย ไม่ถนัดเลย เเต่พอได้มาลองมันเป็นคนละอย่างกับที่เราคิดไว้เลย เป็นการเหมือนใช้ผงสีค่อยๆสีกับสําลีขึ้นไปเป็นรูปร่าง ไม่เคยทํามาก่อน คาบนั้นเรียนประมาณ3 ชั่วโมงเเต่รู้สึกเวลาผ่านไปไวมาก มันเพลินดี ไม่ต้องกดดันว่าจะวาดหรืออะไร จะออกมาเป็นยังไง รู้สึกเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ดี ได้นั่งเพลินๆอยู่กับตัวเอง ซึ่งวาดออกมา3 รูป เป็นตั้งแต่เป็นเมล็ด ออกมาเป็นต้นอ่อน จนเป็นต้นไม้ใหญ่ เหมือนกับชีวิตของตัวเรา ที่เติบโตอยู่/ทุกวัน รู้สึกเป็นวิชาที่เปิดมุมมองใหม่ๆ

คนที่ ๒๒

หนูจะบอกว่าเป็นวิชาที่ช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้นมีกิจกรรมที่ให้เราได้ทำจริง ได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่ๆและได้ลองออกจากเซฟโซนของตัวเอง เพื่อฝึกทักษะการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น และการเข้าใจความแตกต่างของแต่ละคนวิชานี้เป็นวิชาที่สนุกและมีประโยชน์มาก เพราะทำให้เราได้มองเห็นตัวเองเข้าใจผู้อื่นและเรียนรู้วิธีปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกับคนที่มีนิสัยแตกต่างกันได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเติบโตทั้งในด้านความคิด ทัศนคติ และความสัมพันธ์กับเพื่อนๆรอบตัวอีกด้วย 





Comments