เรียนวิชา Leadership แล้วได้อะไร (1/2)

คนแรก

เอาจริงๆวิชานี้เหมาะกับคนที่อยากรู้จักตัวเองมากขึ้นไปอีกเพราะวิชานี้มันสอนให้ได้รู้จักตัวเองรู้จักคนอื่นมากขึ้น เหมาะกับคนที่อยากลองได้มีความคิดอะไรที่ใหม่ขึ้นอะไรที่ไม่เคยได้คิดก็จะได้คิดในคาบนี้ เป็นวิชาที่เรียน3ชั่วโมงต่ออาทิตย์แล้วบูสเป็นเอนเนอจี้ไปได้ทั้งอาทิตย์ร็จักอยากถึงคาบนี้ไวๆเพราะจะได้ทำอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าจะมีกิจกรรมอะไรบ้าง แต่บอกเลยว่าสนุกแน่นอน เป็นวิชาพักใจเล็กๆได้เปิดใจพูดในสิ่งที่ไม่เคยกล้าพูด การบ้านเยอะก็จริงๆแต่การที่ได้พิมพ์ทำการบ้านในทุกอาทิตย์เหมือนได้อัพเดตุชีวิตตัวเองให้อาจารย์ฟัง เหมือนได้มองย้อนกลับไปทุกช่วงเวลาว่าในแต่ละอาทิตย์ที่ผ่านมาผ่านอะไรมาบ้าง มีความสุขกับชีวิตมั้ย ผลจากการเรียนแต่ละอาทิตย์ส่งผลอะไรกับตัวเราบ้าง แต่ที่รู้สึกคือวิชานี้ต้องใช้ในเรียนมากๆ ต้องพยายามเปิดใจมันอาจจะมีช่วงที่เหนื่อยบ้างแต่รับรองว่ามันได้ประโยชน์กับชีวิตสุดๆ มันอัพเกรดชีวิตขึ้นอีกขั้นเลย ยืนยันจากคนที่วันๆนึงไม่คิดคิดถึงความรู้สึกหรืออนาคตตัวเองมากเท่าไหร่ แต่หลังจากเรียนวิชานี้ มันทำให้ย้อนกลับมาคิดกับตัวเองและหาเหตุผลให้ชีวิตตัวเองได้มากขึ้น ทลายกำแพงตัวเองได้มากขึ้น ใครคิดว่าตัวเองไม่มีกำแพงในชีวิตลองมาเรียนก่อนจะรู้ว่าจริงๆเรามีกำแพงเต็มไปหมด แต่อาจจะคิดไม่ถึงมัน สนุกมาก ลงเลย(แต่การบ้านเยอะจิง)

คนที่ ๒

วิชานี้คือการเรียนรู้เกี่ยวกับ ตัวเราเอง ความรู้สึก และการเข้าใจคนอื่น ไม่ได้เป็นเพียงวิชาที่นั่งฟังบรรยาย แต่เป็นวิชาที่ได้สัมผัสกับตัวเองจริง ๆ ทุกคาบเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ช่วยให้เปิดใจ มองเห็นความคิดและอารมณ์ของตนเองในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าจะผ่านการวาดภาพ การพูดคุย การฟัง หรือแม้แต่การอยู่เงียบ ๆ กับธรรมชาติ

เป็นวิชาที่สอนให้เข้าใจว่าทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง มีความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็งของแต่ละคน การฟังและการสังเกตจึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเข้าใจความแตกต่าง เมื่อเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น ก็จะเข้าใจคนอื่นได้ดีขึ้น เป็นวิชาที่ช่วยให้รู้จักการสื่อสารอย่างสงบ รู้จักการรับฟังอย่างตั้งใจ และรู้จักมองคนรอบข้างด้วยความเข้าใจทั้งด้านพฤติกรรมและความรู้สึก

เป็นวิชาที่ทำให้ได้ยอมรับตัวเองมากขึ้น ได้เห็นทั้งข้อดีและข้อบกพร่องโดยไม่ต้องปฏิเสธ เป็นวิชาที่ให้เราเรียนรู้และยอมรับคนอื่นด้วย ทำให้เข้าใจว่าความแตกต่างไม่ใช่สิ่งที่ต้องเปลี่ยน แต่เป็นสิ่งที่ควรเข้าใจและเคารพ เป็นวิชาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนให้คนเรียนมีความอ่อนโยนมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งต่อตัวเองและต่อคนรอบข้าง

คนที่ ๓

วิชานี้สอนให้เราเข้าใจทั้งตัวเองและคนอื่นในเวลาเดียวกัน มันไม่ใช่วิชาที่ต้องท่องหรือสอบ แต่เป็นวิชาที่ทำให้เรากลับมาดูข้างในใจของตัวเองผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สนุกและชวนคิด เช่น การวาดรูป การฟัง การสื่อสาร หรือการอยู่กับธรรมชาติ ทุกอย่างในคาบทำให้เราได้รู้จักตัวเองแบบที่ไม่เคยมาก่อน ฉันจะบอกว่าถ้าใครได้เรียนวิชานี้ จะได้ใช้แน่นอนในชีวิตจริง เพราะไม่ว่าเราจะไปทำงานหรืออยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ “การเข้าใจคน” และ “การสื่อสารอย่างมีสติ” วิชานี้ไม่เครียดเลย แถมได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนในมุมที่ไม่เคยรู้มาก่อน บางทีแค่ฟังเรื่องของคนอื่น ก็ได้เข้าใจชีวิตมากขึ้น มันทำให้เห็นว่าเราทุกคนมีเรื่องราว มีความกลัว มีความฝัน และมีสิ่งที่อยากเปลี่ยนเหมือนกันหมด แถมได้ทำความรู้จักและเข้าใจเพื่อนใหม่ๆอีกด้วย

คนที่ ๔

วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่มีเนื้อหาเยอะหรือท่องจำได้ แต่มันคือ พื้นที่ให้เราได้รู้จักตัวเอง และฝึกอยู่กับคนอื่นอย่างเข้าใจ วิชานี้ไม่เหมือนวิชาอื่นที่เน้นการคำนวณหรือจำสูตรหรือวิชาที่เคยเรียนมาทั้งชีวิต แต่เป็นคลาสที่เราจะได้ใช้ความรู้สึก ใช้ใจ และใช้เวลาทบทวนกับตัวเอง ปกติผมไม่เคยกลับมารีแคปชีวิตของตัวเองเลย เน้นใช้ชีวิตปรกติ ถ้าถึงจุดที่ต้องเลือกก็เลือกเลย ไม่ได้คิดดีๆขนาดนั้น

ถ้าไม่ใช่คนพูดเก่ง หรือไม่ชอบเข้ากลุ่ม ก็ลองลงเรียนได้ไม่เป็นปัญหาเพราะผมก็มีเพื่อนหลายคนที่เป็นเด็กหน้าห้องที่พูดไม่เก่งมากๆ แต่เค้าอยากที่จะพูดคุยกับเพื่อนก็ลงวิชานี้ ก็ได้เห็นว่าเพื่อนกลุ่มนั้นที่พูดไม่เก่งพูดมากขึ้น กล้าแสดงออกมากขึ้น กล้าที่จะเล่าเรื่องราวในชีวิตของเค้า เหมือนกับการที่เค้าได้ออกมาจากสิ่งเดิมๆ แล้วสิ่งที่อาจารย์พยายามที่จะสร้างคือบรรยากาศที่ทุกคนปลอดภัยสำหรับที่จะลองผิดลองถูกสำหรับการกระทำทุกอย่าง อาจารย์ไม่ได้สอนแค่ทฤษฎี แต่ให้เราลองทำจริง รู้สึกจริง แล้วก็กลับมาคิดทบทวนอีกที หลังเรียนอาจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทันที แต่ผมมั่นใจว่าจะเข้าใจตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้นแน่นอน

แล้วก็สุดท้ายวิชานี้หลังเลิกเรียนจะมีงานให้ทำทุกอาทิตย์ เป็นงานที่ให้สะท้อนตัวเองผ่านคำถามง่ายๆ เช่น ความคาดหวังก่อนการเข้าเรียน ประสบการณ์เรียนรู้ที่ได้รับ ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้ครั้งก่อนๆ การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น การนำไปใช่ประโยชน์ในชีวิตตนเอง การเรียนรู้จากเพื่อนร่วมประสบการณ์เดียวกัน แล้วก็ที่สำคัญการเข้าเรียนต้องมาถึงตามเวลา ถ้ามาเลท คิดนาทีละ 10 บาท ก็ไม่ได้เป็นวิชาที่สบายขนาดนั้น แต่ว่าได้อะไรเยอะมาก ไม่เหมือนกับการเรียนวิชาเสรีทั่วๆไป ถ้าคิดว่าที่บอกไปไม่ใช่ปัญหาก็แนะนำให้มาเรียนมากๆ เป็นวิชาที่ดี ถ้าทุกคนบนโลกได้เรียนคงจะดี

คนที่ ๕

วิชานี้เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ เพราะ ปกติตลอด 4 ปีจะเจอแต่วิชาจำๆ คำนวณหนักๆ ไม่เคยอยากที่จะไปเรียนเลย แต่วิชานี้สนุกสุดๆ เวลาผ่านไปไวมากๆ มันไม่ใช่วิชาที่มีแค่เนื้อหาหรือทฤษฎีให้จำ แต่มันคือวิชาที่ค่อยๆทำความรู้จักตัวเราเอง และเพื่อนในคลาส เพราะตลอดทั้งเทอม เนื้อหามันไม่เหมือนวิชาไหนที่เคยเรียนมาก่อนเลย ได้เข้าใจคนมากขึ้น เข้าใจว่าทุกคำพูด ทุกอารมณ์ของทุกคน มันมีอะไรซ่อนอยู่ข้างในเสมอ

คนที่ ๖

มันเป็นวิชาที่ทำให้หนูได้รู้จักตัวเองมากกว่าที่เคยคิดไว้ เพราะเอาจริงๆตอนแรกหนูก็คิดว่าวิชานี้คงเหมือนวิชาอื่นๆที่เรียนไปเพื่อสอบหรือทำงานส่งอาจารย์เท่านั้นแต่พอได้เรียนจริงๆมันกลับไม่ใช่เลย มันเป็นวิชาที่เหมือนเปิดมุมมองใหม่ให้หนูได้มองเห็นชีวิตตัวเองในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หนูรู้สึกว่าวิชานี้เหมือนกระจกที่สะท้อนให้หนูเห็นตัวเองชัดขึ้น ทั้งข้อดี ข้อเสีย และสิ่งที่ต้องปรับปรุง มันไม่ใช่วิชาที่มีคำตอบตายตัวแต่เป็นวิชาที่เปิดโอกาสให้เราได้คิด ได้ถามตัวเอง และได้ลองทำจริงๆหนูได้ฝึกทั้งการทำงานกลุ่ม การคิดวิเคราะห์ และการสื่อสาร ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้ใช้แค่ในห้องเรียนแต่มันใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันด้วย หนูขอบคุณอาจารย์มากค่ะที่อาจารย์ให้เขียน Reflectionทุกสัปดาห์ ตอนแรกหนูคิดว่ามันจะน่าเบื่อ แต่พอทำไปเรื่อยๆหนูกลับรู้สึกว่ามันกลายเป็นช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเองจริงๆเหมือนเรานั่งคุยกับใจตัวเองว่าสัปดาห์นี้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง เราทำอะไรดี หรือเราพลาดตรงไหนที่ควรแก้ไข พอได้เขียนแบบนี้บ่อยๆมันทำให้หนูเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองทีละนิดทำให้หนูเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น หนูว่าถ้าจะอธิบายให้ใครฟังหนูจะบอกเลยว่าวิชานี้คือวิชาที่สอนให้เราเข้าใจชีวิต มันไม่ได้สอนให้คิดแค่เรื่องเรียนหรือเรื่องงานแต่มันสอนให้เรารู้จักคนอื่น เข้าใจโลก และเข้าใจตัวเองไปพร้อมกัน มันทำให้หนูรู้ว่าการเรียนรู้ไม่ได้จำกัดอยู่ในห้องเรียนแต่มันเกิดขึ้นได้ทุกที่ถ้าเราเปิดใจรับ อีกอย่างที่หนูชอบคือบรรยากาศในคลาสมันไม่เครียดเหมือนที่คิดไว้เลยทุกคนได้พูด ได้แชร์ความคิดของตัวเอง หนูดีใจที่ได้เห็นเพื่อนๆในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย สุดท้ายนี้หนูอยากบอกว่าถ้ามีใครลังเลว่าจะเรียนดีไหมหนูจะตอบเลยว่าเรียนเถอะมันเปลี่ยนมุมมองความคิดของเราได้ เพราะสำหรับหนูวิชานี้ไม่ใช่แค่บทเรียนในสมุดแต่มันคือบทเรียนชีวิตที่สอนให้หนูเป็นคนที่เข้าใจตัวเองมากขึ้น กล้าคิด กล้าพูด และกล้าที่จะเติบโตในแบบของตัวเอง หนูเชื่อเลยว่าต่อให้ผ่านไปกี่ปีหนูก็จะยังจำได้ว่าวิชานี้คือวิชาที่ทำให้หนูโตขึ้นค่ะ

คนที่ ๗

ถ้าอยากเป็นคนที่รู้จักตัวเองมากขึ้นเข้าใจตัวเองหรือเข้าใจผู้อื่นมากขึ้นก็ต้องลองมาเรียนวิชานี้ดูค่ะ วิชานี้ไม่ใช่วิชาที่สอนทฤษฎีที่ 1 + 1 ต้อง = 2 ไม่มีผิดไม่มีอะไรถูก ทุกอย่างที่ได้เรียนจากวิชานี้จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตัวเองกับผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าคิดว่าตัวเองตอนนี้ไม่ดีวิชานี้ก็จะสอนให้ปรับมุมมองตัวเองให้ดีขึ้นแต่ถ้าคิดว่าตัวเองเป็นคนที่ดีอยู่แล้วบางทีวิชานี้ก็อาจจะบอกว่าเรามีข้อเสียตรงไหนบ้าง เป็นวิชาที่หาเรียนยากถ้ามีโอกาสก็อยากจะให้ลองเรียนดูสักครั้งนึงค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วการที่เรารู้จักตัวเองดีก็จะทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้นมีความสุขได้ง่ายขึ้นและการที่เรารู้จักผู้อื่นหรือเข้าใจผู้อื่นได้ดีก็จะทำให้เราวางตัวกับผู้อื่นได้ดีมากขึ้นเช่นกันค่ะ

คนที่ ๘ 

ถ้าจะอธิบายวิชานี้ให้คนที่ไม่เคยเรียน หนูคงจะบอกว่าเป็นวิชาที่ให้ความสำคัญกับการเข้าใจตัวเองและผู้อื่นในระดับลึกกว่าการสื่อสารปกติ ไม่ใช่เพียงแค่เรียนเรื่องการพูดหรือการสื่อสาร แต่เป็นการฝึกฝนทักษะการฟัง การสังเกต และการเข้าใจความรู้สึกและความคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพฤติกรรมและคำพูด วิชานี้ทำให้เราเห็นว่าคนเรามีหลายมิติ และการเชื่อมโยงกับผู้อื่นต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกและเห็นใจ

วิชานี้เต็มไปด้วยกิจกรรมที่ช่วยให้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ เช่น การฟังใต้ภูเขาน้ำแข็ง การวิเคราะห์พฤติกรรมและความคิดที่ซ่อนอยู่ การตั้งคำถามเพื่อช่วยให้ผู้อื่นเห็นโลกภายในตัวเอง และการเรียนรู้เรื่อง Boundaries เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่สมดุล การทำกิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้ซับซ้อน แต่ช่วยให้เข้าใจตัวเองและผู้อื่นมากขึ้น

นอกจากนี้วิชานี้ยังเน้นการฝึกทักษะชีวิต เช่น การสื่อสารเชิงเห็นใจ การเข้าใจความซับซ้อนของความรู้สึก การยอมรับความเปราะบางของตัวเองและผู้อื่น การเรียนรู้ที่จะวางขอบเขตส่วนตัวและเคารพขอบเขตของคนอื่น ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่เข้าใจและสบายใจ ทั้งในชีวิตส่วนตัว การทำงาน หรือความสัมพันธ์กับสังคมรอบตัว

สรุปแล้วหนูคิดว่าวิชานี้ไม่ได้เน้นทฤษฎีหรือความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง การฝึกฝน การสังเกต และการสะท้อนตัวเอง ทำให้เราเข้าใจตัวเองและคนอื่นได้ลึกขึ้น เรียนรู้ว่าการฟังไม่ใช่แค่การได้ยิน การสื่อสารไม่ใช่แค่การพูด และการดูแลไม่ใช่แค่การแก้ปัญหา แต่คือการอยู่ร่วมและเข้าใจซึ่งกันและกันค่ะ

คนที่ ๙

มันคือวิชาที่ไม่ได้สอนให้เราเก่งขึ้น แต่สอนให้เราเข้าใจและรักตัวเองมากขึ้น

มันคือวิชาที่ไม่ได้ให้เรามองโลกสวยขึ้น แต่ให้เรามองโลกด้วยหัวใจที่เข้าใจมากกว่าเดิม

และมันคือวิชาที่ไม่ได้เปลี่ยนเราในชั่วข้ามคืน แต่มันค่อย ๆ ทำให้เรากลายเป็นคนที่อ่อนโยนกับตัวเองและคนอื่นมากขึ้นในทุกวัน”

ถ้าใครยังไม่เคยเรียน อยากให้ลองเรียนดูสักครั้งในชีวิตนะคะ เพราะมันไม่ใช่แค่การเรียนรู้ “ความรู้” แต่คือการเรียนรู้ “ความเป็นมนุษย์”ค่ะ

คนที่ ๑๐

วิชานี้เป็นวิชาที่สอนเรื่องการรู้จักตัวเอง การทำความเข้าใจคนอื่น การสื่อสารและการรับข่าวสาร และการผ่อนคลายกับตัวเอง โดยคาบแรกๆ จะเรียนเรื่องการทำความเข้าใจตัวเองก่อน เพื่อให้เราเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนเพื่อที่จะได้สามารถรับมือกับความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ จะได้เข้าใจว่าทำไมตัวเราถึงมีความคิดแบบนั้น เมื่อเข้าใจแล้วว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนก็ไปดูต่อว่าตัวเองถนัดในเรื่องอะไร เมื่อรู้ถึงจุดแข็งของตัวเองแล้ว เราจะได้เอาจุดแข็งที่เรามีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หลังจากที่เรารู้จักตัวเองแล้ว เราก็จะไปรู้จักผู้อื่นโดยเริ่มจากการเรียนเรื่อง NVC ที่จะสอนให้เราเก็บข้อมูลได้อย่างเป็นกลางมากที่สุดเพื่อลดการผิดพลาดจากการลำเอียง โดยวิธีนี้จะเป็นการมองเรื่องราวต่างๆ แบบมองแค่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยไม่ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไป เลยทำให้เวลาเราเอาข้อมูลที่ได้รับมาไปวิเคราะห์ต่อ หรือนำข้อมูลที่ได้มาไปถ่ายทอดต่อให้คนอื่นจะได้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด และเนื่องจากเราไม่ได้ใส่ความคิดเห็นส่วนตัวของเราเข้าไป เวลาที่เราเอาไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อก็จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อขัดแย้งหรือเกิดการทะเลาะกันเนื่องจากสิ่งที่เราเล่าออกไปได้ หลังจากที่เรียนวิธีฟังแล้วก็เรียนวิธีพูดต่อว่าเราจะพูดยังไงเพื่อหลีกเลี่ยงการมีปัญหาที่เกิดจากข้อมูลที่เราพูดไปผิดพลาดให้ได้มากที่สุด หลังจากที่เรียนเรื่องวิธีการพูดแล้วก็เรียนเรื่องวิธีการทำความเข้าใจตัวเองและคนอื่นต่อโดยใช้หลักการภูเขาน้ำแข็ง โดยเราจะทดลองใช้กับตัวเองก่อนเพื่อทำให้เราเข้าใจหลักการ โดยเราจะดูว่าอะไรทำให้ตัวเราหรือตัวเขาแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกมา เพราะทุกพฤติกรรมที่แสดงออกมาจะมีสิ่งที่เป็นสาเหตุให้แสดงออกมาเสมอ ซึ่งถ้าเรารู้ถึงสาเหตุนั้นแล้วก็จะทำให้เราเข้าใจถึงตัวเราและตัวเขา ซึ่งเมื่อเราเข้าใจแล้วเราจะได้สามารถเลือกวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมเพื่อให้ผลลัพธ์จากการสื่อสารออกมาตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสารให้ได้มากที่สุด ซึ่งวิธีการดูก็คือดูว่าอารมณ์ของเขาขณะนั้นเป็นยังไง เมื่อรู้ถึงอารมณ์แล้วก็ให้ดูว่าสิ่งที่เขาต้องการคืออะไร เช่น เขาอาจจะต้องการการพักผ่อนหรือเขาอาจจะต้องการการเห็นใจ จากนั้นให้ลองทำนายดูว่าสิ่งที่เขาคิดคืออะไร ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแค่การคาดเดาไม่ได้หมายความว่าเขาจะคิดแบบนั้นอยู่จริงๆ ซึ่งถึงแม้ว่าเราจะเดาอารมณ์เขาผิดหรือเราจะเดาจุดประสงค์เขาผิด แต่มันก็จะทำให้เราเข้าใจเขาในแบบของเรา ซึ่งอาจจะคลาดเคลื่อนไปบ้าง แต่มันจะช่วยให้เรามีแนวทางในการสื่อสารกับคนนั้น ซึ่งดีกว่าการที่เราจะไปสื่อสารกับเขาแบบไม่มีแผน และดีกว่าการที่เราเข้าไปสื่อสารกับเขาแบบเอาอารมณ์เป็นที่ตั้งโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์ รับฟัง หรือทำความเข้าใจกับอีกฝั่งก่อน โดยหลังจากที่เรียนเรื่องการทำความเข้าใจตัวเองกับผู้อื่นแล้วก็อาจจะเหนื่อย เลยเรียนเรื่องวิธีผ่อนคลายตัวเองเมื่อเจอความเครียดต่อ ซึ่งวิธีผ่อนคลายที่เรียนคือการออกไปอยู่กับธรรมชาติและการทำศิลปะบำบัด ซึ่งสองสิ่งนี้มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายๆ กันคือการออกมาจากการอยู่กับคนอื่นและพักอยู่กับตัวเองบ้าง เพราะการพักผ่อนเองก็สำคัญ ถ้าเราเอาแต่พยายามที่จะเข้าใจคนอื่นจนลืมที่จะเข้าใจตัวเอง ก็จะทำให้เรามีสุขภาพจิตที่แย่ได้เหมือนกัน





Comments