Students' Class Reflection (3/3)

 ต่อจากอันแรกและอันที่สอง

นิสิตลักษณ์ 6 คนฐานหัว

สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากวิชานี้มากที่สุด 3 อย่าง

- ความเข้าใจ สำหรับผมคือการที่เราเข้าใจในใครสักคนที่อยู่ตรงหน้าเรา ถ้าเราเข้าใจว่ามันคือลักษณะของเขา เราเองยังมีสิ่งที่เรากลัว สิ่งที่เรารู้สึกอยากถอยห่างออกมา หรือว่าความกลัวในจินตนาการของตัวเอง เราก็จะเข้าใจได้มากเวลาเจอคนตรงหน้าเราที่เขาอาจจะโกรธหรือว่าซีเรียสกับเรื่องที่เราไม่ได้ให้น้ำหนัก มันช่วยให้เราไม่ด่วนตัดสินคนๆนั้นได้ และอีกส่วนคือการเข้าใจในตัวเองด้วย ผมต้องเข้าใจในตัวเองเพื่อที่เราต้องยอมรับตัวเอง ยอมรับว่าเราเป็นยังไงแล้วก็เอาชนะมันให้ได้ อย่างการที่รู้ข้อเสียของตัวเองหรืออย่างกระบวนการป้องกันตัวเอง เราต้องยอมรับก่อนเราถึงจะแก้ไขมันให้ดีขึ้นได้ ยอมรับว่าเรากลัวในอะไรแล้วก็ต้องก้าวข้ามมันให้ได้ 

- ความเห็นใจเวลาที่ใครสักคนมีเรื่องทุกข์ใจแล้วเขามาเล่าให้ผมฟัง ถ้าผมฟังไปแบบเออฟังๆไป หรือเดียวถามไปถามมาตลอดเวลาที่เขาเล่า เราคงไม่ได้เข้าไปนั่งในใจเขาได้ เขาคงจะเปิดใจให้กับเราไม่ได้ และในการที่เราจะทำให้เขาดีขึ้นมันไม่ได้มีแค่เรื่องคำแนะนำอย่างเดียว เราถามคำถามเพื่อให้เขาคิดด้วยตัวเองจากประสบการณ์ของเขาเองที่เขารู้จักตัวเองดีที่สุด อีกอย่างคือที่ถือว่าเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่เคยคิดคือการถามความต้องการในการมาคุยด้วยไปเลยว่า จะเอาอะไร คำแนะนำ ที่ระบาย หลายครั้งที่พอให้คำแนะนำไปแล้วมันไม่ทำก็จะแบบมึงจะมาถามทำไม แต่พอรู้งี้ว่า จริงๆมันไม่ได้อยากได้คำแนะนำมันหาที่บ่นให้ฟังเฉยๆ ซึ่งเอาจริงๆถ้าเรามีความเห็นใจต่อใครสักคน แค่นั่งฟังเขาพูดเฉยๆ ฟังอย่างตั้งใจจริงๆ แค่นี้มันก็ช่วยเขาได้มากแล้ว ยังไม่ต้องไปพูดถึงคำแนะนำหรือการ Coaching  เลย

- การทวนสะท้อน หรือก็คือการที่ต้องเขียน Reflection อยู่ทุกอาทิตย์ สำหรับผมมันคล้ายๆกับตอนคาบแรกสุดที่อาจารย์ให้เขียนอะไรก็ได้ เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอะไร เขียนออกมาเรื่อยๆ แต่ใน Reflection มันคือการเขียนทวนสะท้อนเนื้อหาหรือสิ่งที่เราย่อยออกมาจากเนื้อหาได้ จริงอยู่ที่วิชานี้ไม่มีสอบทำให้เราต้องมาอ่านเนื้อหา แต่พอมีการเขียน Reflection มันช่วยให้จำเนื้อหาหรือลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในการเรียนของแต่ละคลาส แต่ละอาทิตย์ได้ค่อนข้างดี ซึ่งมันรวมถึงการจำความรู้สึกตอนเรียนได้ด้วย ผมว่าการเขียนอะไรออกมาจากตัวเรามันเป็นเครื่องมือที่ดี มันทำให้ได้ทวนตัวเองอีกรอบ 

คุณในเวอร์ชั่นก่อนเรียนและหลังเรียนต่างกันอย่างไร 

- สำหรับผมคือผมสามารถมองคนอย่างมีความเข้าใจกันมากขึ้น แต่ก่อนผมเป็นคนที่เคยเอาเหตุผลของตัวเองหรือลักษณะของตัวเองไปตัดสินจนมันเกิดความขัดแย้งกับคนอื่นจนบางทีมันทำให้อคติกัน ตอนนี้ถ้าอย่างน้อยผมได้คุยกับเขามากพอ ได้รู้จักเขาว่า เขาเป็นคนยังไง คนลักษณ์อะไรมันก็ทำให้เราเข้าใจว่าแบบ อ่อมันเป็นจุดเซนซิทีฟของเขา เราอาจจะไม่ผิดในมุมของเรา แต่สำหรับเขามันอาจจะเป็นเรื่องใหญ่ได้ เราควรหลีกเลี่ยงการไปแตะจุดนั้นของคนๆนั้น พอมองคนให้มากเวลาที่ในคลาสมักจะมีการให้แชร์และแลกเปลี่ยนกัน ในจุดนี้ทำให้ผมเคารพในความคิดของคนอื่นมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ส่วนนึงเพราะทุกครั้งในคลาสจะมีการแชร์กันทั้งในกลุ่มและทั้งคลาส แต่ละคนก็จะมีวิธีการตอบแบบที่ตัวเองย่อยออกมาได้ ยิ่งพอมองย้อนกลับไปในอดีตผมเห็นหลายเหตุการณ์มากว่า ที่จริงตอนนั้นผมไม่น่าทำแบบนั้น ถ้าเอาตัวผมตอนนี้ย้อนกลับไปคงจะจบสวยกว่านี้เยอะ

ต่อมาคือผมมองตัวเองให้มากขึ้น ด้วยความที่ผมมักจะสร้างเรื่องน่ากลัวขึ้นมา แล้วผมก็กลัวมันเอง อย่างการไปคิดว่าคนอื่นเขาจะคิดยังไงกับเรา เราไปรบกวนเขาไหม พอเรารู้แล้วก็ลองแลกเปลี่ยนกับเพื่อนที่เขาคล้ายเรา ก็เลยรู้ว่าสิ่งที่เราเป็นมันก็มีคนอื่นเป็น มันมีคนที่เป็นลักษณะคล้ายๆเรา ผมเลยหลายครั้งมักใช้วิธีแบบลองถามลองคุยไปเลยห้ามคิด เพราะคิดแล้วกลัว พอเรามองตัวเองมากเราก็หาจุดที่ต้องแก้มันเจอ และพอมองหาข้อดีของตัวเองมันช่วยให้เราหางานหรือหาความถนัดของตัวเองได้ง่ายมากขึ้นในการทำ Odyssey Plan ในแง่ของการมองตัวเองอย่างการระบุเรื่องของความรู้สึกความต้องการของตัวเองให้ออก แต่ก่อนผมไม่เคยมองหาความรู้สึกความต้องการของตัวเองเลย มองแค่ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่พอมองย้อนไปถึงว่าความต้องการของเราคืออะไรกันแน่ มันช่วยให้ผมแก้ปัญหาง่ายขึ้น หรือบางทีสิ่งที่มันเคยเป็นปัญหามันก็ไม่ใช่ปัญหาเลย ไม่จำเป็นต้องไปแก้ไขมันด้วยซ้ำ เรื่องการใช้หัวเองผมก็เปลี่ยนมากขึ้น แต่ก่อนผมแทบไม่เคยใช้ใจในการอยู่กับคนอื่นเท่าไร มักจะใช้เหตุและผลในการตัดสินเรื่องราว และผมก็ได้เรียนรู้คนฐานใจ มันดีที่บางทีพอเรารู้ว่าคนๆนี้เป็นคนฐานใจ แล้วเราไปทำให้คนฐานใจรู้สึกใจฟู เหมือนเราได้รับความนุ่มนิ่มของเขาติดมาด้วย มันก็ทำให้เราเป็นคนที่แข็งกระด่างน้อยลง เรื่องของ Soft Skill ก็ด้วย แต่ก่อนผมไม่ได้มองเห็นถึงความสำคัญของสิ่งที่มันไม่ตรงกับสายหลักของตัวเอง ไม่ได้คิดจะไปเรียนเหตุนึงเพราะทั้งไม่ได้สนใจและก็แพงด้วย วิชานี้ทำให้คนเรา เป็นคนมากขึ้น เป็นคนที่ซื้อใจและได้รับความไว้ใจจากคนอื่นมากขึ้น นอกจากแค่ความสามารถทางด้านสายตรงของเรา

ในแง่ของความเชื่อ - คือผมมีความเชื่อเรื่องของความสามารถของมนุษย์มากขึ้น มนุษย์แต่ละคนถูกสร้างขึ้นมาให้แตกต่างกัน คนที่ไม่เก่งเรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่เก่ง เอาแค่สิ่งที่ให้ความสำคัญก็ไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ง่ายสำหรับเรามันกลายเป็นยากสำหรับเขา และการช่วยเหลือกันคือคำตอบ สาเหตุที่มนุษย์คือสัตว์สังคมเพราะเขาไม่ได้สร้างเราให้มาอยู่คนเดียว การขอความช่วยเหลือกันเป็นสิ่งที่ควรมองเป็นเรื่องปกติ

สำหรับเรื่องของความสุขในชีวิต - คือการใส่ใจในเรื่องเล็กๆเช่นการทำ good time moment คือคนเราไม่จำเป็นต้องมีเรื่องใหญ่ถึงจะมีความสุขได้ เหมือนบางทีผมไปโฟกัสกับเป้าหมายเพียงอย่างเดียว มองว่าตรงนั้นมันคือความสำเร็จและมันจะเป็นความสุขของเรา จริงๆเรื่องเล็กๆในระหว่างวันมันก็เป็นความสุขได้ มันช่วยให้ผมไม่เหนื่อยในการไปให้ถึงเป้าหมายได้เพราะเราสามารถโฟกัสระหว่างทางได้เหมือนกัน มันช่วยให้เราเห็นคุณค่าในสิ่งต่างๆรอบตัวมากขึ้นจริงๆ

เรื่องเป้าหมายในชีวิต - เป็นสิ่งที่ผมยอมรับเลยว่าคิดหนักมาก ตอนที่อาจารย์ให้ทำ Odyssey Plan มันไม่ง่ายสำหรับผมเลยจริง แต่พอได้ลองจินตนาการดูถึงภาพของตัวเอง ภาพของจุดแข็งจุดอ่อน มันก็ทำให้ผมพอจะกำหนดแผนออกมาได้อย่างเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ชอบในการแชร์กันระหว่างเพื่อนๆในคลาส ทำให้เห็นอย่างชัดมากๆเลยว่า ถึงแม้ว่าเราจะเรียนวิศวะมาเหมือนกันแต่ Plan A ของทุกคนแทบจะแตกต่างกันหมด มันทำให้ผมต้องกลับมาคิดจริงๆตอนทำ Plan ว่าผมมองอะไรกันแน่ ความสุขของงานที่ได้ทำ เงินหรือค่าตอบแทนของงาน เวลา หรือว่าการได้ใช้ความสามารถหรือว่าจุดแข็งของเราในงานนั้น ถ้าถามผมแต่ก่อนจะเข้าเรียนผมตอบเสมอว่า ที่ผมเรียนวิศวะเพราะมันหางานง่าย เงินเยอะดี พอจบเข้าจริงๆ ปัจจัยมันเยอะมาก และอีกอย่างคือ Plan C เป็นอันที่ผมไม่ได้คิดอย่างจริงจังขนาดนั้น ทุกคนก็คงเคยคิดแหละว่าถ้าถูกหวยจะเอาเงินไปทำอะไร แต่พอมีเรื่องว่าเราบันดาลใจกับอะไร มันเหมือนกับไปมองหาความสุขเล็กๆน้อยๆ หรือความฝันลึกๆที่เราเคยมองข้ามไปด้วยปัจจัยอะไรหลายๆอย่าง

มีด้านใดบ้างที่คุณอยากเปลี่ยนแต่ยังไม่เปลี่ยนบ้าง 

- หลักๆในตอนนี้ที่ผมยังคงเป็นอยู่แต่ลดลงไปบ้างแล้วคือ การกลัวเรื่องที่คิดขึ้นมาเองในหัว การจินตนาการถึงสิ่งที่มันยังไม่เกิดหรือเอาจริงๆแล้วมันก็ไม่น่าจะเกิดหรอกแต่แล้วก็กลัว วิตกไปเอง ซึ่งผมนับว่ามันเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ของผมส่วนนึง มันทำให้เราไม่ค่อยมีความกล้ามากขนาดนั้นในการที่จะต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นในตอนที่ฝึกงานผมก็สบายใจที่ไม่ได้ไปคนเดียว ผมเคยคุยกับเพื่อนที่เขาเป็น Introvert แต่ตอนที่เขาจะไปฝึกงานเขากลับเลือกที่จะไปต่างประเทศไปเลย เพื่อไปเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ กล้าออกจาก Comfort Zone ของตัวเอง การที่ต้องก้าวออกจาก Comfort Zone ของผมอย่างการกำลังจะเรียนจบและออกไปหางานทำ ก้าวสู้สังคมวัยทำงาน ผมก็ยอมรับตามจริงเลยคือกังวลอยู่พอสมควร ส่วนนึงมันเพราะอย่างที่บอกว่าคิดไปว่าความสามารถไม่ถึงบ้าง หรือกลัวการที่จะเข้าทำงานไม่ได้ แต่ก็คิดได้เหมือนกันว่าเราคิดมันขึ้นมาเอง ในขณะที่พี่ที่ทำงานเขาก็มองเราเป็นแค่เด็กจบใหม่ที่ต้องเอามาสอน เอามาฝึกการทำงานใหม่เหมือนกัน เขาไม่ได้จะมาคาดหวังในตัวเราขนาดนั้น และอีกเรื่องนึงคือการตัดสินคนอื่น จริงอยู่สำหรับผมที่ว่าการเรียนรู้เรื่องนพลักษณ์ หรือ Strength มันช่วยผมมากจริงๆในการรู้จักคนอื่น ทำความเข้าใจคนอื่น แต่ส่วนนึงคือพอถ้าผมรู้ว่าเขาลักษณ์อะไร บางทีมันทำให้ผมตัดสินเขาในอีกประเด็นนึงเหมือนกัน 

สำหรับเพื่อนที่ยังไม่เคยเรียนวิชานี้ คุณจะอธิบายวิชานี้ให้ฟังว่าอย่างไร 

- อย่างแรกเลยผมคงจะบอกเพื่อนว่า ถ้าอยากลองทำอะไรในสิ่งที่ไม่เคยทำก็ลองมาทำดู วิชานี้เปิดโอกาสให้มึงสามารถแสดงความคิดเห็นแสดงความเป็นมึงออกมาได้แบบหลายแบบ คือบางทีคนอย่างเราๆที่เรียนสายวิทย์มา มันจะมีคำตอบที่ถูกต้องเลยคำตอบเดียว วิชานี้คือสิ่งที่ทำให้มึงตีโจทย์ออกมาตามลักษณะของมึง และก็สรุปคำตอบออกมาในแบบของมึงได้เอง ต่อมาก็คือหากมึงกลัวว่าถ้าไม่ได้มากับเพื่อนสนิทจะเรียนแล้วเขินร่วมกิจกรรมลำบากแน่เลย อยากบอกเลยว่าไม่ต้องกังวลหรอก มึงมากับเพื่อนสนิทมึงก็ไม่ได้ทำกิจกรรมกับมันหรอก เว้นแต่มึงจะขนกันมาสัก 20 คน แต่ข้อดีคือเราได้รู้จักคนใหม่ๆในแง่ที่สนิทและเป็นเพื่อนกันจริงๆ ที่ไม่ใช่กับแค่เพื่อนในภาค หรือคนในภาคที่เดินสวนกันไปมาในตึก ได้เรียนรู้มุมมองจากคนใหม่ๆในชีวิต วิชานี้เปิดโอกาสให้ได้คุยกับเพื่อนใหม่ๆได้จริงๆ และใครที่รู้สึกช่วงนี้ไม่มีความสุขหรือว่ารู้สึกเคว้งเหมือนกับว่าอยู่ตัวคนเดียว แนะนำที่สุดว่าลองเปิดใจมาลงเรียนวิชานี้ดู ในนั้นเราจะเจอเพื่อน เจอคนใหม่ๆที่อาจมาเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของมึงได้ หากมึงรู้สึกไม่มีความสุขมึงอาจจะมองความสุขเป็นเรื่องที่มันต้องใหญ่โต วิชานี้มันทำให้มึงมองหาความสุข และความรู้สึกของตัวมึงเองจากสิ่งรอบด้านได้ดี เอาแค่คนในครอบครัวสุขภาพดีมันก็นับว่าเป็นความสุขประจำวันของมึงได้แล้ว และอีกเรื่องคือมึงจะรู้สึกได้เปรียบคนที่มันไม่ได้เรียนอ่ะ มึงได้รู้ในสิ่งที่ถ้ามึงไม่ลองเรียนคอร์สนี้ หรือคอร์สที่มันคล้ายๆกันมึงไม่มีวันระลึกขึ้นมาเองได้หรอก ถ้าได้ลองเรียนแล้วมึงจะเข้าใจคนมากขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดมึงก็ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ผ่านทั้งมุมมองตัวเองแล้วก็มุมมองของคนอื่น

Comments