Students' Class Reflection (2/3)

คาบสุดท้าย

Reflection อันแรก

นิสิตลักษณ์ 4 คนฐานใจ

สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากวิชานี้ที่สำคัญที่สุด 3 อย่าง 

อันดับ 1 ความรู้เรื่องนพลักษณ์ 9 การรู้เรื่องของประเภทคนแต่ละคนโดยแบ่งออกเป็นคนประเภทต่างๆก็สามารถทำให้ปฏิบัติต่อคนแต่ละแบบได้อย่างเหมาะสม เช่น หากรู้ว่าเค้าลักษณ์ 6 จะต้องทำงานอย่างมีหลายชั้นซับซ้อนกว่าที่เราทำปกติ เพราะพวกเค้านั้นกลัวอะไรก็ไม่รู้แต่ก็ต้องเข้าใจเพราะเป็นธรรมชาติของเค้า ไม่เหมือนเรา หรืออย่างลักษณ์ 9 ที่เราสามารถพูดตรงได้มากกว่าลักษณ์อื่นได้เพราะเค้าจะไม่โกรธหรือโกรธยากกว่าทำให้งานบางอย่างหรือปัญหาบางเรื่องสามารถจบลงได้อย่างรวดเร็วกว่าทำให้ทำงานได้อย่างเร็วมากขึ้น 

อันดับ 2 เป็นเรื่องของการโค้ชชิ่ง น่าจะเป็นเรื่องที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้มากที่สุดแล้วเพราะเป็นเรื่องของการที่เอาไว้หาทางออกของปัญหาในการใช้ชีวิตทั่วไป ไม่ว่าจะเจอปัญหาไหนหรือปัญหาที่เจอจะเหมือนหาทางออกไม่ได้แต่เราสามารถใช้โค้ชชิ่งในการหาทางออกให้กับปัญหาเหล่านั้นได้ แล้วการโค้ชชิ่งแบบถามคำถามก็เป็นการที่ทำให้เรายอมรับในคำตอบพวกนั้นเอง เพราะเราต้องตอบคำถามต่างๆด้วยตัวเองทำให้เราผ่านกระบวนการคิดไตร่ตรองทุกอย่าง อีกอย่างเลยคือเราสามารถให้คำปรึกษากับเพื่อนๆที่มาขอคำปรึกษาเราจากปัญหาต่างๆได้ ให้เค้ายอมรับปัญหาและคำตอบของตัวเอง 

อันดับ 3 คือคาบของพี่มล ที่ได้เลยคือการได้ลองไปทำสิ่งที่ไม่ได้ถนัดกับสิ่งที่ไม่ได้ทำมานาน สิ่งที่ไม่ถนัดคือการที่ได้ลองวาดรูป สิ่งที่ได้เรียนรู้เลยคือการที่เราไม่ได้มีความถนัดไปสะทุกสิ่งเพราะเป็นคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดว่าตัวเองจะมอะไรที่ทำไม่ได้ แต่ก็อย่างที่เห็น บางอย่างเราทำไม่ได้จริงๆแต่พอมองไปหาเพื่อนก็รู้สึกว่าเพื่อนนั้นเก่งจังเรื่องวาดรูปกับอีกเรี่องนึงคือการที่เราไปอยู่กับตัวเองในเควสของการพาแฟนไปเดท มันมีบางอย่างที่ค้างคาใจคือผมว่าผมไม่ใช่คนที่ดูแลคนอื่นเก่งเลยไม่ใช่ว่าไม่อยากทำแต่ไม่รู้จะทำยังไงมากกว่า เหมือนกับเราไม่รู้เลยว่าจะทำยังไง แต่ก็เหมือนเป็นการฝากการบ้านเอาไว้ให้กับตัวเองไปคิดต่อเผื่อว่าวันใดวันนึงตัวเองจะมีแฟนขึ้นมาจริง

คุณในเวอร์ชั่นก่อนเรียน และหลังเรียน แตกต่างกันอย่างไร 

ในเวอร์ชั่นก่อนเรียนน่าจะเป็นตัวผมที่ไม่ได้แยแสอะไรกับคนรอบข้างมาก จะเกิดอะไรก็ให้มันเกิดแล้วกก็เดินหน้าต่อ มองแต่เป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แล้วก็เดินไปไม่ได้สนรอบข้าง แต่ก็ยังมีความขี้เกียจที่ต้องทำสิ่งต่างๆเพื่อให้ถึงเป้าหมาย แต่หลังเรียนรู้สึกได้เลยว่าตัวเองสนใจสิ่งที่อยู่รอบข้างมากขึ้นทั้งเพื่อน อาจารย์การเรียนในคลาสหรือแม้กระทั่งการมาเรียนที่ปกติก็ไม่ได้สนใจว่าจะต้องมาหรือมาให้ตรงเวลา แล้วก็การที่สนใจเรื่องเล็กๆในชีวิตจากการบ้านที่อาจารย์บอกให้ไปหาความสุขในชีวิตเล็กๆน้อยๆในชีวิตของแต่ละวัน อันนั้นผมก็ว่าเป็นการบ้านที่ดีมาก แค่การโพสสตอรี่เล็กๆ ก็ทำให้ผมตระหนักได้เยอะเหมือนกันว่าชีวิตก็ไม่ได้มืดมนไปสะทุกอย่าง ทุกวันก็มีแต่เรื่องดีๆที่เกิดขึ้นเสมอก็รู้สึกขอบคุณพวกมันที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวัน ผมเริ่มออกจากห้องไปเดินเล่นในที่ต่างๆมากขึ้นอย่างเช่นห้างหรือแม้กระทั่งไปสวนเพื่อไปเจอสีเขียวๆทั้งที่ปกติก็จะอยู่แต่ในห้องแล้วนอนเฉยๆไม่ได้ทำอะไรเลย มีพลังงานในการใช้ชีวิตมากขึ้น คุยกับเพื่อนได้ไหลลื่นมากขึ้น รู้ลิมิตของแต่ละคนมากขึ้นว่าทำยังไงได้บ้างหรือว่าคุยยังไงได้บ้าง แล้วก็เรื่องพฤติกรรมการฟังเพลงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชักมากขึ้นด้วย ไม่ได้ฟังเพลงเศร้าแล้ว เพลงที่เปิดฟังเป็นเพลงที่มีจังหวะสนุกขึ้นมากเนื้อหาดีขึ้นไม่ได้ดิ่งเยอะ 

กับตัวเองก็ยอมรับความเป็นตัวเองได้มากขึ้นทั้งจุดแข็งจุดอ่อน ปมด้อยหรือสิ่งที่เราดีบางอย่างที่เราไม่อยากยอมรับก็สามารถยอมรับได้มากขึ้นจนบางอย่างที่พยายามทำก็ไม่ต้องพยายามแล้วกลายเป็นว่าทำเรื่องพวกนั้นได้อย่างง่ายดายเหมือนกับว่าเราเก่งมากๆหากเราทำสิ่งอย่างนึงด้วยวิธีการที่เราถนัด ส่วนเรื่องทัศนคติก็ยังมีบางอย่างที่ติดมาอยู่เช่นการตัดสินสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือใครคนหนึ่งก่อนที่จะได้รู้จักจริงๆ กลายเป็นว่าเริ่มศึกษาให้เข้าสิ่งๆนั้นก่อนจะตัดสินใจ ได้คุยกับคนนั้นก่อนที่จะบอกว่าเค้าเป็นคนยังไง เริ่มที่จะไม่คาดเดากับเรื่องที่ไม่ได้เป็นเรื่องของเราเพราการที่ผมคาดเดาไปก่อนก็เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวเช่นกันเพราะจะคิดเรื่องพวกนั้น(ซึ่งไม่จำเป็น)มันทำให้ผมคิดเรื่องพวกนั้นอยู่ในหัวตลอดเวลาคิดวนซ้ำอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีที่มีการพัฒนามากขึ้น บางอย่างที่เคยเชื่อว่าเราทำได้ทุกอย่างก็ต้องไปทบทวนใหม่ว่าเราไม่ได้เก่งไปสะทุกเรื่อง บางเรื่องไม่ได้ถนัดเลยเลย อย่าไปฝืนทำให้คนที่เก่งเป็นคนทำอย่างนี้จะดีกว่าทำให้งานบางงานก็เสร็จเร็วขึ้นเป็นพิเศษ งานก็มีคุณภาพมากขึ้น ความจริงข้อนี้ทำให้คำพูดที่ว่า  “put the right man on the right job” เป็นสิ่งที่ถูกต้องขึ้นมาทันที เหมือนกับผมเห็นกับตาว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆเลยเปลี่ยนคำพูดได้ ความจริงข้อนี้คือรู้ได้เลยว่าผมเป็นคนที่ไม่เชื่อสิ่งต่างๆจะเป็นเรื่องจริงถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองซึ่งก็น่าจะเป็นจุดแข็งเหมือนกันถ้าใช้ถูกแต่ถ้าใช้ไม่ได้ดีก็คงถูกบอกว่าเป็นคนหัวแข็ง 

ชีวิตช่วงหลังมานี้ก็มีความสุขที่มากขึ้น อาจจะเป็นที่หลายองค์ประกอบรวมกันเช่นที่เคลียร์งานหลายๆอย่างจบบวกกับความรู้สึกที่รู้สึกว่าจะจบแล้วก็คงเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเหล่านั้น แต่ผมว่าส่วนใหญ่มาจากการที่รู้จักการขอบคุณเรื่องที่เกิดขึ้นมาในแต่ละวัน เมื่อก่อนผมทำให้อารมณ์ Stable ด้วยการบอกว่าช่างมันกับทุกสิ่งที่เข้ามาแต่ตอนนี้คือการที่กำจัดสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ออกไปทำให้ปัญหานั้นหายไปจริงๆไม่เหมือนกับการที่บอกว่าช่างมันเพราะอย่างนั้นปัญหาจะไม่ได้หายไป ส่วนเป้าหมายในชีวิตก็ได้ไปทบทวนมาเหมือนกันว่าเราต้องการอะไรจริงๆ ปกติก็ไม่ได้เป็นคนที่ไร้แก่นสารหรือล่องลอยหรอกแต่การที่ทำให้เป้าหมายนั้นชัดเจนบวกกับที่ไปตัดสินใจประกอบสถานการณ์รอบข้างก็ได้ข้อสรุปหลายๆอย่างที่ผมไม่ได้อยากทำในตอนแรกหรือว่าการที่ต้องเป็นในสิ่งที่อยากเป็นก็สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เหมือนกันจากคุณค่าที่ผมให้ในตัวเองและสิ่งรอบข้าง บางสิ่งที่ผมเคยมองข้ามไปก็เป็นสิ่งที่บางผมก็เคยสนใจหรือเป็นสิ่งที่ผมเคยไม่ชอบแต่พอมาตอนนี้ผมก็รู้สึกโอเคกับมัน บางอย่างที่เคยตัดสินใจว่ามันผิดก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับมันมากเหมือนเมื่อก่อน เพราะหลายๆอย่างก็ทำให้เรามาถึงจุดนี้ มีหลายสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้แต่สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ก็มีอยู่ถมเถไป ผมอยากมองไปที่ตัวเองในอนาคตว่าผมสามารถทำอะไรได้บ้างแต่กว่าจะถึงตอนนั้นตัวผมในปัจจุบันก็มีสิ่งที่ต้องทำอีกเยอะและเราก็ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองเหมือนกัน อยากให้ตัวเองได้เป็นคนที่พัฒนาตัวเองและสิ่งที่ได้จากคลาสนี้ก็เป็นสิ่งที่บางอย่างผมต้องการมันและบางสิ่งผมก็ไม่เคยรู้ว่าผมต้องการมันเหมือนกัน

มีคุณลักษณะใดของคุณที่คุณอยากจะเปลี่ยน แต่ยังไม่เปลี่ยนบ้าง 

ความขี้เกียจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของผม ผมเริ่มงานช้ากว่าคนอื่นเค้าเยอะ ปกติจะเริ่มทำงานในตอนที่คิดว่าทำได้ทันเวลาพอดีโดยดูจากวัตถุดิบว่าทำทันหรือเปล่า ถ้าเป็นงานที่ผมถนัดผมทำทันแทบจะ100เปอร์เซ็นต์ ซึ่งอันนั้นก็ทำตามกำหนดการซึ่งไม่เป็นไรแต่พอเป็นเรื่องที่ไม่ได้ถนัด(ซึ่งก็เป็นผลที่บอกว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง)ทำให้บางที่ก็ทำไม่ทันและเหนื่อยเป็นพิเศษในการทำงานนั้นๆให้เสร็จ กับอีกอย่างคือการที่ไม่ค่อยมีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ ทุกวันนี้ทำสิ่งต่างๆให้เสร็จเพราะคิดว่ามันคือหน้าที่ที่ต้องทำให้เสร็จ ไม่เหมือนกับที่ผมทำสิ่งที่ชอบเช่นการอ่านหนังสือนิยายหรือเล่นเกมที่ผมสามารถจดจ่อได้เกิน15ชั่วโมง บางทีผมสามารถอ่านหนังสือจบได้วันละเล่มก็มี หรือเล่นเกมติดกัน(มีช่วงพักไปอาบน้ำกับกินขนมนิดหน่อยประมาณ15-30นาที)ได้จนเพื่อนต้องทักมาด่าว่าให้ไปนอนก็มี ผมอยากจะหาสิ่งที่ทำให้ผมมีกำลังใจในการทำสิ่งที่ผมไม่ชอบให้ได้ ผมว่าถ้าผมสามารทำสิ่งเหล่านั้นเหมือนกับการที่ผมทำสิ่งที่ชอบน่าจะเป็นเรื่องดีไม่น้อย 

สำหรับเพื่อนที่ยังไม่เคยเรียนวิชานี้ คุณจะอธิบายวิชานี้ให้ฟังว่าอย่างไร 

อยากบอกเพื่อนว่าวิชานี้เป็นวิชาที่ทำให้ผมพัฒนาเป็นคนใหม่ได้ดีมาก(ไม่รู้จะพูดยังไงให้ไม่เหมือนขายตรง) วิชานี้ทำให้เรารู้จักตัวเองและยอมรับความเป็นตัวเองที่บางทีเราอาจจะมองไม่เห็นหรือไม่เคยได้สังเกตุ เป็นวิชาที่จะเชิญวิทยากรจากที่ต่างๆโดยที่ปกติจะไม่มีทางได้เจอหรือไม่เคยสนใจด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ได้เรียนรู้ได้ใช้จริงๆ ให้ข้อคิดมากมายกับชีวิตของแต่ละคนที่เดินมาไม่เหมือนกันและก็มีอนาคตที่เหมือนกัน

ข้อเสนอแนะ (Optional) 

อยากให้วิทยากรที่มามีกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ทั้งคาบและมีการสอดแทรกความรู้ลงไปในนั้น ถ้าเป็นการที่มานั่งดูสไลด์เฉยๆผมว่ามันน่าเบื่อ ผมไม่ได้อยากหลับหรอกนะครับเพราะความรู้ที่ได้จาคลาสนี้เป็นสิ่งที่มีค่ามาก แล้วก็อยากให้จัดในช่วงเวลาที่สามารถเลทได้เพราะบางอย่างมันก็เวลาไม่พอจริงๆ แล้วก็ขอบคุณอาจารย์จุฑามากครับที่ใส่ใจเด็กสุดๆ เอาขนมมาให้กินคอยคุยกันเป็นเหมือนเพื่อนแล้วก็คอยเข้าหาเด็กตลอดเวลาครับ

Reflection อันสุดท้าย


Comments