The Exploration: Enneagram Workshop

ไปเรียนกับพี่หมู พี่เอก และน็อต เพราะอิกบอกว่าฮีเรียนเรื่อง Object relation ซึ่งฉันไม่รู้มาก่อน และฉันว่างพอดี ฉันสนใจนพลักษณ์มากๆ มันเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากในการรู้จักตัวเอง เข้าใจคนอื่น ฉันสนิทและเชื่อมือแก๊งนี้

เป็นครั้งแรกที่ฉันไม่รู้จักนักเรียนคนอื่นเลย วันแรกที่แนะนำตัว เขาบอกลักษณ์ตัวเอง แต่ฉันฟังหรือดูพฤติกรรมแล้วไม่ใช่ เช่น "คนลักษณ์แปด"แนะนำตัวเอง โดยเริ่มจากการพูดถึงคนอื่นในวง หรือ"คนลักษณ์เก้า" มาสาย ขณะที่คนนั่งครบแล้ว เดินผ่าวงเพื่อไปนั่งที่ว่าง

ฉันงงมาก คลาส Advanced มีคนที่ยัง type ตัวเองไม่ได้ แล้วบางคนก็ดื้อมาก ขนาดวิทยากรบอกแล้วก็ยังยืนยันเบอร์ที่ตัวเองชอบ ฉันเห็นความท้าทายของการเรียนเรื่องนี้ตอนเป็นผู้ใหญ่ คิดว่าตัวเองเป็นแบบที่อยากได้ แต่ไม่ได้เห็นอย่างที่เป็นจริงๆ 

ตอนแรกฉันก็รำคาญ แต่หลังๆ ก็สนุกดี ได้เรียนรู้วิธีการสังเกตคนลักษณ์ต่างๆ ผ่านความไม่ใช่นี้แหละ เช่น "คนลักษณ์หนึ่ง" บอกว่าตัวเองมาตรฐานสูงมากในเรื่องต่างๆ พี่เอกบอกว่าคนที่เป็น perfectionist ไม่พูดว่าตัวเองมีมาตรฐานสูง เพราะว่าตัวเองก็ยังไม่ดีพอ  แล้วฉันก็สังเกตอีกอย่างว่านางแต่งตัวไม่ซ้ำ "หนึ่ง"ที่ฉันรู้จักแต่งตัวเหมือนเดิมทุกวัน แบบเรียบร้อยมากๆ ด้วย

ครูเสนอลักษณ์ให้ แต่ก็ไม่ได้ยัดเยียด ครูบอกว่าสำคัญที่เรารู้ลักษณ์ตัวเอง เพราะจะได้เห็นจุดบอดหรือทิศทางการพัฒนา ซึ่งจริงมากๆ  ด้วยชื่อของมัน เราไม่เห็นจุดบอดของตัวเองอยู่แล้วจนกว่าจะมีปัญหามากๆ หรือมีคนมาบอก นพลักษณ์ก็เป็นอีกทางที่เราได้เห็นจุดบอด

ฉันเป็นลักษณ์แปด พี่หมูบรรยายว่า เราเป็นพวกชอบกระทำ ชอบอะไรที่ทรงพลัง เส้นทางในการพัฒนาตัวเองคืออนุญาตให้ตัวเองเปราะบาง

Hornevian Groups 

เมื่อเราต้องการทำอะไรซักอย่าง เราทำอย่างไร มี 3 ประเภท

  1. Assertive คือ บอกเลย หรือพยายามไปเอามา มี 3, 7, 8
  2. Compliant (Dutiful) เป็น"เด็กดี" ทำตามกฏ มี 1, 2, 6
  3. Withdrawn (Strategic longview) คือ ถอนตัวเองออกมา อยากได้แต่ไม่บอก มี 4, 5, 9

Harmonic (My coping style) 

ตอนที่เรามี Crisis เราจัดการกับมันอย่างไร

  1. Cognitive competency เวลามีปัญหา ตัดอารมณ์ มุ่งไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มี 1, 3, 5
  2. Positive outlook โลกสวย เชื่อว่าทุกปัญหา แก้ได้หรือหมดไปเอง มี 2, 7, 9
  3. Reactive (Emotional realness) เชื่อว่า ปัญหาต้องแก้ที่ต้นตอ ต้องคุยกันเลยให้รู้เรื่อง มี 4, 6, 8

ปัญหาคือเวลาเรามี Coping style ที่ต่างกัน เราอาจจะเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นความสำคัญของปัญหาและไม่ช่วยกันแก้

Molding environment

  1. Protective function (แบบพ่อ) เช่น Protection, Guidance, Structure, Support
  2. Nurturing function (แบบแม่) เช่น กอด ให้อาหาร ปลอบโยน Mirroring 
เราขาดด้านหนึ่งหรือสองด้าน ทำให้เราติดอยู่ในลักษณ์ เราขาดอันไหน เราจะทำหน้าที่นั้นไม่ดี เช่น ฉันแปด ทำหน้าที่ปกป้องได้ดี แต่ดูแลไม่ค่อยได้ และในตอนเด็กก็จริงว่า แม่ทำงานเยอะมากจนไม่อยู่ในชีวิตเราเท่าไหร่ แต่พี่หมูบอกว่าเราอาจจะขาดด้านนั้นจริงๆ หรือไม่ได้ขาดจริง แต่มีเหตุการณ์สำคัญหนึ่งที่ทำให้เราเชื่อแบบนั้นก็ได้

การขาดสองด้านนี้ ก็ทำให้เกิดรูปแบบสามกลุ่มคือ
  1. Attachment/Pragmatist (3, 6, 9) ยึดติดกับคน สถานการณ์และสภาวะ อยากให้เหมือนเดิม
  2. Rejection/Relationist (2, 5, 8) แสดงอำนาจเพื่อต่อต้านการถูกปฏิเสธ  ฉันไม่เคยคิดว่าถูกปฏิเสธ แต่มองว่าตัวเองเป็นคนนอก และบางทีก็ชอบทำตัวเป็นคนนอก เช่น ไม่ใช้ของที่เหมือนคนอื่น  
  3. Frustration/Idealist (1, 4, 7) มีอุดมคติที่โลกแห่งความเป็นจริงไม่เคยดีพอ ก็จะหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น
เขาให้ทำกิจกรรมคู่ ให้เราเลือกว่าคุณสมบัติไหนที่เป็นเรา (Me) ฉันเลือกความเข้มแข็ง แล้วให้คู่ถามเราซ้ำๆ ว่าเราทำอะไรที่ให้ได้มาซึ่งความเข้มแข็ง ถาม 10 นาที ฉันก็งัดมาตอบทุกสิ่งอย่าง งาน สุขภาพ ความสัมพันธ์ 

กิจกรรมคู่ที่สองคือให้เลือกอะไรที่ Not me ฉันเลือกเหยื่อ เขาให้คู่ถามเราซ้ำๆ ว่าราคาที่จะต้องจ่ายสำหรับการไม่เป็นเหยื่อคืออะไร 

ก็สนุกดี พบว่าไอ้ที่เราเลือกว่าไม่ใช่เรา ก็เป็นเรานั่นแหละ แต่ว่าเราปฏิเสธด้านนี้ในตัวเอง ซึ่งก็ทำให้เหนื่อยไป และความเป็นคนของเราลดลง

วันที่สอง พี่เอกถามฉันว่า ฉันกลัวอะไร นี่ก็ตอบว่ากลัวว่าชีวิตจะไม่มีความหมาย ตายแบบสูญเปล่า 

พี่เอกและพี่หมูใช้ Oh Card จับคำและภาพ ให้แต่ละคนบอกว่าเห็นอะไรในภาพ แล้วพี่ก็โค้ช พี่เอกเป็น Channel ถ้านักเรียนเปิด พี่เอกจะตีประเด็นโดน แต่ถ้านักเรียนไม่เปิด ก็ไปต่อไม่ได้

ของฉันเป็นเรื่องการเดินทางทางจิตวิญญาณ ก็คุยกันหลายสิ่ง พี่เอกให้ประกาศว่า "ฉันเป็นนางฟ้า" และมองตาทุกคนในวง พี่เอกคงเซ็นส์ได้ว่ามันเป็นโจทย์ของฉัน Uranio เคยให้พูดว่า "ฉันเป็นเหยื่อ" กับวง แล้วฉันเกลียดมากๆ งวดนี้ทำได้ดีขึ้นมากก อินกับประโยคที่พูดและไม่กลัวสายตาคนอื่น พอสังเกตตัวเอง ฉันไม่ชอบให้คนอื่นรู้เวลาเมตตาคนอื่น ฉันคิดว่าควรจะภูมิใจกับมันมากกว่านี้

พี่เอกบอกว่า ถ้า Defend ตัวเองแรง แปลว่าน่าจะจริง ฉันก็เห็นด้วย ถ้าไม่ใช่เลย เราจะเปลืองแรงเถียงทำไม

พอมานั่งฟังคนอื่นพูดและถูกโค้ช ฉันเข้าใจลักษณ์นั้นๆ มากขึ้น เช่น เห็นความอยากมีความสัมพันธ์ของห้า, ทิศทางการพัฒนาทางจิตวิญญาณของสี่ที่ต้องทำเลย อย่าคิดเยอะ, คนรอบตัวเราเห็นด้านมืดของเรา แต่ก็ยังเป็นเพื่อน เป็นครอบครัวกันอยู่ เพราะเราเป็นเรา 

มีลักษณ์ห้าและหกคุยกันอยู่ที่มุม จนฉันรำคาญ ตอนแรกจะเดินไปบอก แต่ก็คิดว่าเขาอาจจะคุยเรื่องสำคัญก็ได้ เลยใช้วิธีขยับให้ห่างและตั้งใจฟังมากๆ แทน มารู้ทีหลังว่าห้าคนนี้พยายามอธิบายให้หกฟัง เพื่อให้หกเปิด คุณหกคนนี้ก็ยืนยันว่าชีวิตเขาโอเคมาก ปมเปิมอะไรไม่ต้องดู ชีวิตต้องไปข้างหน้า แต่ว่าเมียส่งให้มาเรียน คงว่าคงไม่ใช่อย่างที่ฮีคิด 

เคยถามพี่เอกว่า ที่อยู่ทุกวันนี้ก็ "ปกติ" ดี จะมาเรียนพวกนี้ให้เหนื่อย ให้ทุกข์ทำไม นางบอกว่ามันไม่ปกติหรอก ถ้าเราไม่พัฒนาตัวเอง บางอย่างมันกร่อนและหายไปเรื่อยๆ 

ฉันร้องไห้มากขึ้นใน Workshop เป็นสัญญาณที่ดีที่คอนเน็คกับความเปราะบางของตัวเองได้

Comments