Energy healing & enneagram


เป็นช่วงของชีวิตที่ได้ทำหลายสิ่งและรู้สึกเบื่อๆ พี่หมูชวนมาเข้าเวิร์คช็อปนพลักษณ์ มาเพราะนางบอกว่านางได้เจอประเด็นของชีวิตหลายอย่าง ได้เคลียร์มันขนาดสำรอกออกมา จริงๆ มาก็เพราะประเด็นนี้แหละ อยากรู้จักตัวเองในด้านที่ยังไม่รู้มาก่อน

ฉันก็เรียนนพลักษณ์มาเป็นสิบปี ผ่านมาหลายครู และฉันก็ภาวนาด้วย ด้วยกรอบนพลักษณ์ ฉันเห็นตัวเองในเชิงพฤติกรรมและแรงขับ เช่น ขี้โกรธและแสดงความโกรธได้โดยส่วนใหญ่ไม่รู้สึกผิด สุดโต่ง ไม่มีตรงกลาง ดูผู้ชาย พูดเสียงดัง เป็นคนสะสมของ เช่น ถ้าชอบอะไรก็จะมีของสิ่งนั้นเยอะมากๆ เช่น สบู่อาบน้ำ 18 ขวด หรือเลกกิ้งออกกำลังกาย 200 ตัว ชอบควบคุมคนอื่นและสถานการณ์ ชอบสั่ง มั่นใจในตัวเอง

ฉันเป็นลักษณ์แปดที่มีปีกเจ็ด ซึ่งก็เพิ่มความเยอะไปอีกแบบ เช่น ชอบเที่ยว ชอบเรียน ไม่ค่อยอยู่กับที่นานๆ หรือว่าอยู่นิ่งๆ ไม่เป็น 

ครูที่มาสอนคือ Uranio and Beatrice เพิ่งรู้ตอนที่เรียนว่า Uranio ทำงานด้านพลังงานด้วย คอนเซ็บต์คือความคิดและประสบการณ์เป็นพลังงาน ถ้าเรามี trauma มันจะเก็บไว้ในร่างกาย ซึ่งจะปรากฏเป็นอาการปวด หรือบางครั้งเป็นก้อนเนื้อ ฮีลเลอร์จะช่วยปลดล็อคพลังงานในร่างพวกนี้ได้

ทุกวันเริ่มด้วยการภาวนาสั้นๆ 10 นาที

วันแรกเป็นการบรรยายเรื่องลักษณ์และลักษณ์ย่อย (Subtypes) ฉันก็คอนเฟิร์มว่าเป็นลักษณ์แปดแบบผดุงตน (self preservative)  สนใจเรื่องเงิน มีความเป็นส่วนตัวสูง รักษาของใช้ดี 

ประเด็นหลักที่ครูเน้นคือ type is personality เป็นบุคลิกที่เราสร้างมาเพื่อปกป้องตัวเองให้รอด แต่มันก็อาจจะไม่ได้ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองด้านจิตวิญญาณ คือ เราก็ติดอยู่กับ pattern แบบนั้นแล้วก็ตอบสนองแบบอัตโนมัติ เป้าคือเข้าถึงคุณค่าและ Holy idea

สำหรับลักษณ์แปด การบ้านคือให้ Lower energy of the heart/become less intense. 

Subtypes เป็นสัญชาติญาณ เขาให้ดูว่าเราใช้อันไหนเป็นหลัก แล้วจะมีอีกอันที่เรากดไว้ แล้วอีกอันเป็นอันรอง ของฉันกด 1-1 (Sexual) และอันรองคือ social ไอเดียคือจะดีมากถ้า subtypes เหล่านี้สมดุล ไม่มีอันไหนเด่นกว่าอันอื่น

วันแรกเขาให้แนะนำตัว เขาบอกว่าไม่ต้องบอกว่าทำงานอะไร ฉันบอกเขาว่าช่วงนี้เรื่อยๆ แบบเบื่อ

วันที่สอง ให้เล่าเรื่องประสบการณ์ที่ทำให้เราเป็นเรา ฉันนึกได้ทันทีว่าจะเล่าเรื่องอะไร ได้เล่าเป็นคนแรก พอเล่าแล้วก็น้ำตาไหลทั้งที่ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธคู่กรณีแล้ว ฉันเข้าเวิร์คช็อปจนรู้ว่าไม่ต้องกลั้นหรือพยายามหยุดร้องไห้ เดี๋ยวมันหยุดเอง เขาให้เล่า 7 นาที

พอเล่าจบครูก็สะท้อน ครูบี empathize ฉัน บอกว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ยากมากนะ ครูน้ำตารื้นๆ ด้วย ฉันฟังแล้วรู้สึกแยกร่าง ภายใน Cringe คือ สยองแบบหดๆ เหมือนผลักไสความเห็นใจนี้ ก็มองหน้าเขา แต่ไม่ได้พูดอะไร ส่วนครูอูรานิโอบอกว่าฉันเข้าถึงความเปราะบาง (Vulnerability) ได้ดีนะ และมีประเด็นเรื่องแม่ ฉันก็งงมากๆ เพราะถ้าเทียบพ่อกับแม่ ฉันมี conflict กับแม่น้อยมาก ส่วนพ่อนี่มีหลายเรื่อง พ่อเป็นแปด self pres เหมือนฉัน ส่วนแม่ฉันว่าเป็นสาม

วันที่สาม เขาเริ่มทำงานทีละคน เรียงตามลำดับคนที่เล่า เริ่มที่ลักษณ์แปด ครูก็บรรยายภาพรวมของลักษณ์ ความคิดยึดติด (Fixation) คุณความดี (Virtues) Holy idea: innocence. แล้วเขาก็เริ่มที่ฉัน ถามว่ามีอะไรจะพูดไหม ฉันก็เล่าเรื่อง Fixation ของ 8 เรื่องแก้แค้น (Vengeance)  เดิมทีฉันคิดว่าฉันโกรธ ด่าหรือแสดงความโกรธแล้วจบ แต่พบว่าไม่จบ คือ มีแค้นต่ออีก เขายกตัวอย่างความแค้นแบบหยาบๆ เช่น ทำคืนแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน หรือเอาคืนแบบเนียนๆ ของฉัน เวลาที่ใครมาพูดดูถูก (ในเรื่องที่ฉันให้ค่า) ฉันจะเอาคืนด้วยการทำให้ได้ เช่น ครูผู้ชายตอนม.ต้นบอกว่าหน้าอย่างพวกเธอ (พวกเราเป็นหญิงล้วน) เข้ารร. เตรียมไม่ได้ ฉันก็คิด...ได้! เดี๋ยวทำให้ดู แล้วก็เข้าได้จริงๆ หรือแค้นพ่อที่มาด่าตอนเราเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ตอนม. 5 ฉันก็อ่านหนังสือแบบเข้มๆ ด้วยตัวเองเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ตอนม. 6  ตอนแรกนึกว่าพ่อด่าทำให้เรากลัวล้มเหลว แต่จริงๆ ไม่ใช่ ความสำเร็จคือการแก้แค้น

พอฉันเล่าเสร็จ ครูก็สะท้อนว่า การที่ฉันดูแลน้องชายที่มาอยู่ด้วยที่ USA เป็นการแก้แค้นแม่ด้วยการทำให้ดีกว่า ซึ่งฉันก็งงมาก เหมือนถูกน็อค แล้วสมองกำลังประมวลผลข้อมูลใหม่ แต่ก็ต้องตอบสนองครูได้ ไม่มีความรู้สึกอื่นนอกจากงง และอยากจะเถึยง แต่ก็เบรคตัวเองว่าควรจะฟัง เพราะเขาน่าจะเห็นในสิ่งที่เรามองไม่เห็น

พบว่า ฉันรู้สึกน้อยไป ขนาดความรู้สึกทางกายก็ไม่รับรู้

อิกพูดว่า เอาเข้าจริง ถึงแม้ว่าพ่อมี conflict กับฉันเรื่อยๆ แต่พ่อก็อยู่ตรงนั้น ให้เถียง ให้ขัดแย้งกัน แต่แม่แทบจะไม่อยู่ ซึ่งจริง ฉันเดาได้ว่าพ่อจะตอบสนองในเรื่องต่างๆ อย่างไร รู้จักตัวตนเขาดี แต่แม่นี่เหมือนฉันไม่รู้จักตัวตนเขา  

ส่วนที่พีคมากคือ ครูบอกให้พูดตามครู ว่า ฉันเป็นเหยื่อ เหยื่อของสังคม วัฒนธรรมนี้ (ที่ชายเป็นใหญ่) และอะไรอีกหลายสิ่ง แล้วตอนท้ายบอกว่า ฉันควรค่าแก่การมีชีวิตอยู่ ตอนให้พูดตาม ฉันต่อต้านขนาดจำประโยคที่ให้พูดไม่ได้ ทั้งที่พูดว่าตามทีละประโยค 

ปกติ ฉันเกลียดคนที่ทำตัวเป็นเหยื่อมากๆ ฉันคิดว่าการถูกกระทำไม่แฟร์ และทำไมปล่อยให้เขากระทำ แค่คำว่าเหยื่อก็ trigger ฉันแล้ว และครูบอกว่าฉันเป็นเหยื่อนี่ stunted มากๆ และแน่นอนว่าฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่สิ่งที่ฉันต้องจัดการ และเรื่องราวยากๆ ทำให้ฉันแกร่งขึ้น 

พอฉันไม่ได้คอนเน็คกับความรู้สึกและเรื่องราวของฉัน ครูก็มาช่วยเยียวยาให้ไม่ได้ เพราะมันไปไม่ถึงขั้นนั้น กับนักเรียนคนอื่น ครูมาช่วยกด ช่วยดัน ให้พลังงาน trauma ออก ของฉันทั้งหมดอยู่ที่หัว ที่ความคิด มันไม่เข้าถึงกาย นี่เป็นอีกครั้งที่การใช้เหตุผลและความคิดเชิงตรรกะ (Intellectualize) บดบังความจริง แบบที่พระปฏิบัติทั้งหลายมักจะสอน

ฉันก็เพิ่งประจักษ์ว่าฉันมีเกราะหนามากหรืออีโก้เยอะมาก ฉันเชื่อเรื่องพลังงานและอ่าน/ฟังเรื่องนี้มาเยอะมาก แต่เชื่อแค่ระดับโลจิก แต่มันไม่เข้าถึงใจ  สิ่งที่ครูสะท้อนมันทำให้เรารู้สึกงงมาก เหมือนเรื่องไม่ปะติดปะต่อ แต่ไม่ได้สั่นสะเทือนเข้าข้างในเหมือนคนอื่น คนอื่นคือน้ำตาไหล กรีดร้อง อ้วกแตก ฉันรู้สึกเสียดายและอิจฉา เหมือนมาไม่คุ้ม แต่อีกใจหนึ่งก็เอาเหอะ.. วาระของใครของมันอ่ะ ดื้อมากก็ต้องเจ็บเยอะ

คาดเดาว่าเกราะนี้น่าจะต้องกำบังเด็กน้อยที่เปราะบางมาก และอาจจะเป็นแบบนี้มาหลายภพชาติ

ในเวิรค์ช็อป พอพูดออกมาแล้วก็แปลกใจในตัวเองหลายอย่าง ความมั่นใจล้นๆ นี่น่าอัศจรรย์ บางประโยคเช่น "ถ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ก็ไม่เอา" หรือตอนที่ครูอูรานิโอถามว่า ตอนนี้คุณอยากสำเร็จหรืออยากมีความสุข ฉันจะดูดีถ้าแค่ตอบแบบสวย ๆ ว่า "อยากมีความสุข" แต่นี่ตอบว่า "ฉันสำเร็จแล้ว ตอนนี้เลยอยากมีความสุข" ซึ่งก็จริงอีก คือ ทนความทุกข์ได้เพื่อความสำเร็จ

นอกจากเรื่องตัวเอง ก็พบว่าได้เรียนรู้จากเรื่องคนอื่นเยอะมากๆ ทำให้ฉันได้รู้โลกภายในของลักษณ์อื่นๆ โดยเฉพาะลักษณ์ที่มีคนที่ฉันไม่ชอบ 

ถึงแม้ครูจะบอกให้ฉันอยู่เฉยๆ ขี้เกียจๆ บ้าง แต่คิดว่าจะลองไป therapy อย่างจริงจังดู การที่ฉันจำเรื่องเด็กๆ ไม่ค่อยได้ หรือเรื่องปัจจุบันก็ตาม มันน่าจะมีที่มา พี่เอกบอกว่าถ้ามีปมคั่งค้าง มันจะออกมาตอนแก่ ตอนที่เรากดไม่อยู่ และฉันก็อยากรู้ด้วยว่ามีปมอะไรบ้าง


Comments