Students' Self reflections (1/2)

ตอนสิ้นเทอม นิสิตที่ลงเรียนวิชา Communication & Leadership จะต้องเขียนประเมินตัวเองว่าได้เรียนรู้อะไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร และถ้าต้องเล่าให้เพื่อนฟังว่าวิชานี้เรียนอะไร จะเล่าว่าอย่างไร เลือกห้าคนนี้ ที่ครบทั้งฐานหัว ฐานใจ และฐานกาย

คนที่ 1 (ฐานกาย)

สิ่งที่หนูได้เรียนรู้จากวิชา leadership ที่สำคัญที่สุด 3 อย่างคือ อย่างแรกคือการฝึกได้แสดงความคิดเห็นการพูดเล่าเรื่องต่าง ๆ ทำให้กล้าที่พูดในหลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ได้ปรับ mindset ได้รู้ว่าในหลายสถานการณ์มันไม่มีถูกไม่มีผิด สิ่งที่เรามองที่เราคิดคนอื่นก็อาจจะไม่ได้มองหรือคิดในแบบนั้น ถ้าจะต้องอธิบายให้คนอื่นเข้าใจเราให้มากขึ้นอาจจะต้องใช้การถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงและท่าทางเข้ามาประกบด้วย จากที่เรียนมาใน Class เสียงที่เราพูดจะมี impact ต่อผู้ฟังแค่ 7% เสียงที่เราใช้จะมี impact มากถึง 38% แต่ท่าทางที่เราถ่ายทอดข้อความนั้น ๆ ออกไปจะมีความสำคัญถึง 55% เสียงและท่าทางจึงมีความสำคัญมาก ๆ ทำให้เวลาฟังใครพูดสามารถจับความรู้สึกได้มากขึ้นจากน้ำเสียง สายตา ท่าทาง และระมัดระวังในการใช้น้ำเสียงในคำพูดมากขึ้น เรื่องที่ 2 ที่หนูคิดว่าสำคัญคือ การเคารพความเป็นส่วนตัว เพราะว่าหลายเรื่องที่เปิดใจที่จะเล่าใน Class เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยากให้ไปพูดต่อ และเรื่องของเพื่อน ๆ หลายคนก็ไม่ได้อยากให้นำไปพูดต่อ ซึ่งหนูก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดีค่ะ เรื่องสุดท้ายคือเรื่องอยู่กับความขัดแย้ง หนูรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ เพราะคงไม่มีใครที่จะไม่ขัดแย้งกับใครเลย ทำให้ได้เรียนรู้ถึงการควบคุมอารมณ์ตัวเอง การเลือกใช้คำพูดหรือจะเป็นการแสดงความต้องการที่ชัดเจน 

หนูในเวอร์ชั่นก่อนเรียนแตกต่างจากหลังเรียนมากจนหนูสังเกตได้เลย (พูดจริง ๆ นะคะ :3 ) ก่อนเรียนใน Class หนูแทบจะคุยกับวินแค่คนเดียวเพราะรู้สึกว่าสนิทที่สุดและ Class แรกวินก็ไม่มาเพราะติดโควิด หนูคิดว่าจะต้องหงอย มาก ๆ แต่พอได้เรียนในคาบแรกหนูรู้สึกว่าได้คุยกับเพื่อนหลายคนเพิ่มขึ้นซึ่งถ้าเป็นปกติหนูค่อนข้างไม่ชอบยุ่งกับใครเลยจนมีหลายคนค่อนข้างคิดว่าหยิ่งแต่วิชานี้ทำให้หนูได้พูดคุยกับคนใน Class หลายคนที่เข้าใจหนูผิดและหนูก็ได้กล้าที่จะพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ในคาบสุดท้ายที่ให้เขียนขอบคุณและขอโทษมีหลายคนที่หนูไม่คาดคิดมาพูดขอบคุณและขอโทษกับหนู เป็นความรู้สึกที่หนูไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รู้สึกในมหาลัยเลยเพราะเข้ามหาลัยมาหนูแทบไม่สนิทกับใครเหมือนตอนอยู่มัธยมเลย หลังเรียนจึงทำให้หนูกล้าที่จะพูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น ถึงยังจะน้อยอยู่แต่มันมากกกว่าที่เคยเป็นมาก ๆ ทำให้หนูกล้าที่จะพูดสิ่งที่ต้องการโดยการเลือกใช้คำพูดน้ำเสียงที่ดีขึ้นทำให้หนูได้เข้าใจกับคุณแม่มากขึ้น ทำให้เข้าใจคนอื่นเพราะคนเรามีหลายแบบ หลายลักษณ์ ซึ่งคนลักษณ์เดียวกันก็ยังมีความต่างกันอีกจึงทำให้หนูรู้สึกว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเข้าใจความคิดของคนทุกคนเพราะทุกคนก็มักจะมีเหตุผลของตัวเองและหลังจากเรียนวิชานี้ทำให้หนูรู้สึกมีความสุขในการมาเรียนมหาลัยมากขึ้น 50% เลยค่ะ

ด้านที่หนูอยากเปลี่ยนและคิดว่าตัวเองยังไม่เปลี่ยนคือหนูค่อนข้างขี้รำคาญ เลยทำให้ไม่ค่อยที่จะอยากพูดคุยกับใครเพราะกลัวว่าตัวเองจะทำอะไรให้คนที่พูดด้วยรู้สึกไม่ดีเลยอยากจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้มากขึ้น หนูไม่ค่อยมีสมาธิ ทำให้บางครั้งหลุดไปในหลาย ๆ ครั้ง และอีกเรื่องนึงคือหนูคิดว่ามีหลายครั้งที่หนูชอบเลือกใช้คำพูดที่มันอาจจะแรงเกินไปแต่จริง ๆ ไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น หนูรู้สึกว่าหนูพูดไม่ค่อยรู้เรื่องเลยทำให้คำพูดที่ส่งไปในบางครั้งไม่ได้เป็นในแบบที่ต้องการจะสื่อ เรื่องสุดท้ายที่อยากมีเพิ่มในตัวเองคือเรื่องการเจรจาต่อรอง หนูมองว่าการเลือกใช้คำพูดในการเจรจา ท่าทาง สายตาต่าง ๆ สำคัญในชีวิตประจำวัน ซึ่งหนูยังไม่ค่อยมีสกิลในด้านนี้เท่าไหร่ค่ะ

สำหรับเพื่อนที่ไม่เคยเรียนในวิชานี้ หนูอยากบอกว่าเป็นวิชาที่ดีมาก ๆ ได้เรียนรู้ในหลาย ๆ อย่างที่เราไม่ได้หาเรียนได้ง่าย ๆเช่นเรื่องการโค้ช การสื่อสาร การเป็นผู้ฟัง การเรียนเรื่องนพลักษณ์ การขัดแย้ง การเรียนรู้ถึงธรรมชาติ  ได้ทำกิจกรรมหลายอย่างเช่น การจับกลุ่มคุยกับเพื่อนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อน การเลือกภาพที่ชอบและตีความ การใบ้ความรู้สึก การเขียน good time moment ซึ่งในส่วนตัวหนูรู้สึกเอ็นจอยกับการที่ได้เขียน good time moment มาก ทำให้หนูได้ทบทวนตัวเองในแต่ละวันว่าวันนี้หนูมีความสุขกับอะไรบ้าง ได้อ่านเรื่องราวความสุขของเพื่อน ๆ ก็ทำให้มีความสุขไปด้วย หนูเคยได้ยินหลายคนเคยบอกว่าไม่อยากลงวิชานี้เพราะงานเยอะซึ่งหนูก็มองว่าก็เยอะจริงแต่ทุกงานที่ได้ทำหนูรู้สึกแฮปปี้ที่จะทำ ไม่รู้ว่าจะมองว่าเวอร์ไหมแต่ว่าความรู้สึกในการเรียนวิชานี้ส่งผลกับการเรียนในมหาลัยมาก ๆ ความสุขที่เกิดการจากการเรียนคาบนี้ทำให้หนูรู้สึกมีไฟในการมามหาลัย ในการอ่านหนังสือในวิชาอื่น ๆ หนูดีใจมากที่ได้ลงวิชานี้และได้พูดคุยกับอาจารย์เพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เรียนหนูรู้สึกว่ามันดีขึ้นและหนูมีความสุขมากขึ้นมาก ๆ ค่ะ

คนที่ 2 (ฐานใจ)

1. สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากวิชานี้ที่สำคัญที่สุด 3 อย่าง
        ต้องบอกก่อนเลยว่า ตอนแรกผมโดนแนะนำวิชานี้จากรุ่นพี่ว่าดี แนะนำให้ไปลง ผมก็แบบสนใจตัววิชาอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ค่อยรู้รายละเอียด แต่ดูจากชื่อ  Communication & Leadership เอ้า ฝึกสกิลการพูดและความเป็นผู้นำสักหน่อย คงจะเป็น Soft skill ที่ไม่ได้มีสอนกันเป็นคลาสบ่อย ๆ เพื่อนก็บอกว่า เราดูเหมาะกับวิชานี้ เพราะแบบมันออกแนวทำกิจกรรม ซึ่งเพื่อนเห็นว่าผมเป็นคนชอบทำกิจกรรม ซึ่งจริง ๆ แล้วผมก็ไม่ได้เอาจุดนี้มาคิดว่า ผมชอบทำกิจกรรม ก็เลยอาจจะจอยกับสิ่งที่เขาสอนในคลาส พอเรียนจนจบครบเทอมเลย ก็ได้เรียนรู้หลายเรื่อง 

       เรื่องแรกเลย คือการได้รู้จักตัวเอง เป็นส่วนที่เห็นได้ชัดสุด อย่างคาบแรกผมไม่ได้เข้าก็ไม่รู้ว่าเขาสอนเรื่องไร ส่วนตัวผมมาเริ่มคาบ นพลักษณ์ ซึ่งทำให้เรารู้ว่า เรามีพลังงานแบบนี้ เป็นคนประเภทนี้ ซึ่งมาดูก็จริงแหะ แล้วมันก็ทำให้เข้าใจตัวเองแบบว่า ทำไมเราคิดอย่างงั้น ซึ่งเราก็ไม่รู้หรอกว่าทำไม ยกตัวอย่างง่าย ๆ เลย ผมเป็นคนที่เวลาจะไปเจอเพื่อนจะชอบเดาว่าเพื่อนจะไปที่ไหน แล้วผมก็จะไปหาเพื่อน แล้วก็เจอตลอด แบบไม่ได้โทรถามว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะเหมือนเราเรียนรู้พฤติกรรมและ Routine ของเพื่อนคนนี้ จนรู้ว่าเวลา ๆ นี้เพื่อนน่าจะอยู่ที่ไหน แบบบางทีมันก็ไม่เสมอไป มันทำให้ผมมาคิดนะว่าทำไมเราไม่โทรถามว่าอยู่ในให้มันจบ ๆ ค่อนข้างทำตามความรู้สึกตัวเองบ่อย ๆ พอได้รู้ว่าเราเป็นคนลักษณ์ 4 ก็สามารถนำจุดแข็ง จุดด้อยไม่ว่าจะในลักษณ์ของตัวเอง หรือลักษณ์ของคนอื่น ก็สามารถนำมาพัฒนาตัวเองได้ถูกจุดมากขึ้น

 อย่างที่สองที่คิดว่าได้คือ เป้าหมายที่ชัดเจน ตอนแรกเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้นะว่าในอีกกี่ปีเราอยากทำอะไร แต่มันแค่อยากทำ แต่มันไม่ได้ลงมือทำ การเรียนวิชานี้รู้สึกทำให้เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน หนักแน่นขึ้น ด้วยความที่ได้ความรู้ที่ได้เรียนในแต่ละคลาส มันส่งผลต่อความคิดเรา ทำให้เราเป็นคนที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งเหล่านี้มันช่วยส่งเสริมให้กับเป้าหมายในชีวิตผมมากว่า โดยเฉพาะ Odyssey plan และการที่ได้ไปสัมภาษณ์คนที่สอดคล้องกับ Odyssey plan ตอนได้มาแชร์กับเพื่อน ๆ รู้สึกได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเลย แล้วเห็นแนวทางในอนาคตที่เราจะเป็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย หลังจากที่ลองมานั่งคิด ถ้าไม่มีวิชานี้ คงไม่ได้เจอประสบการณ์แบบนี้ คงจะนั่งเคว้ง ๆ กว่านี้ แถมเราก็ได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ จากการที่ได้เรียนวิชานี้ 

 อย่างสุดท้าย การเป็นคนที่กล้าลุย กล้าได้กล้าเสีย กล้าที่จะ challenge หรือออกจาก comfort zone ของตัวเอง หลายอย่างหลายเหตุการณ์เลย ที่เรามีความคิดบางอย่างในหัว แต่เราไม่กล้าที่จะลงมือทำ วิชานี้ช่วยทำให้ผมมีความ Strong ทางความคิดมากขึ้นไม่ว่าจะด้านความสัมพันธ์ หรือความสามารถของตัวเอง ทำให้หลายครั้ง การตัดสินใจของผมเปลี่ยนได้เลยจากการผ่านการเรียนวิชานี้ 

2. คุณในเวอร์ชั่นก่อนเรียน และหลังเรียน แตกต่างกันอย่างไร (เช่น ในแง่พฤติกรรม ความสัมพันธ์กับตัวเองและคนอื่น ทัศนคติ/ความเชื่อ ความสุขในชีวิต เป้าหมายชีวิต) 
 โดยพื้นฐานของผม ผมเป็นคนที่ค่อนข้างให้คุณค่ากับ มิตรภาพ คุณค่าของผู้คน แบบใจให้ใจ บางทีเวลาที่เราให้ใจเขาไป บ้างก็ได้รับการตอบรับดี บ้างก็ไม่เป็นไปตามหวัง เหมือนผมมีสิ่งที่อยู่ในหัวว่าแบบ เราคิดดี ให้สิ่ง ๆ กับคนอื่น เราหวังว่าเราจะได้รับการตอบแทนที่ดีกลับมา ไม่มากไม่น้อย แต่บางครั้งก็ไม่เป็นไปตามที่คิด ตอนนี้มีความคิดที่เปลี่ยนไป แบบผมสามารถรับรู้ความต้องการลึก ๆ ของเรา ว่าที่ทำแบบนั้น เพราะผมคาดหวังสิ่งต่าง ๆ จากคนอื่นที่เราควบคุมไม่ได้อยู่ มันทำให้ผมเปลี่ยนความคิด/ทัศนคติเลย ปัจจุบันผมยึดตัวเองเป็นหลักมาก กล้าที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง อันไหนควรค่าแก่การให้ หรือให้ใจก็เต็มที่ อันไหนไม่ ฝืน เราพอ จบ นั่นทำให้ผมรู้สึกลดเสียงที่มันดังให้หัวของตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เป็นเพราะเราใส่ใจคนอื่นมากไป แต่เราคาดหวังให้เขาเป็นแบบนี้กับเรา จนทำให้ มันฝืนตัวเองที่เราพยายามทำหลาย ๆ อย่างเพื่อให้ได้รับการยอมรับ หรือให้ใจเรา ผมคิดว่าความสัมพันธ์ของตัวผมเองดีขึ้นมาก ผมกล้าที่จะยอมรับตัวเอง กล้าที่ใจดีกับตัวเองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และยังรู้สึกว่า สนิทกับเพื่อนกับบางคนมากขึ้น จากในคลาส และมันหลังจากคลาสด้วย แบบรู้ความคิดเพื่อน เข้าใจเขามากขึ้น 
 ในส่วนของความสุขในชีวิต ตอนนี้ผมแฮปปี้กับตัวเอง เพราะสามารถรู้ว่า ความสุขของเราคืออะไรในแต่ละวัน เห็นได้ชัดจาก Good time moment แบบความสุขของผมเป็นการใช้เวลาอยู่กับคนที่เราสบายใจ พูดคุยกับเขา พร้อมกับเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ หรือจะเป็นวันปกติธรรมดา ที่ไม่มีอะไรมารบกวนใจ และยังรู้เป้าหมายในชีวิตของเราที่มันชัดเจนยิ่งขึ้น จากการเขียน การคิดสิ่งต่าง ๆ ที่มาจาก Good time moment ของผมผ่าน odyssey plan 

3. มีด้านใดของคุณที่คุณอยากจะเปลี่ยน แต่ยังไม่เปลี่ยนบ้าง
 ความหนักแน่น ความตามอารมณ์ตัวเอง บ่อยครั้งผมมีสิ่งที่อยากทำไปหมด แต่ลืมไปว่าคนเรามีเวลาแค่ 24 ชั่วโมง มีเวลาเท่ากัน การที่อยากทำอันนี้ แต่ก็พอทำได้ไม่เท่าไรก็ไปทำอีกอัน ทำให้ไม่ไปถึงเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเอง เป็นเพราะความหนักแน่นของผมยังไม่มากกว่า เน้นเอาอารมณ์ของตัวเองเป็นหลัก สุดท้าย สิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้ อาจจะไม่สำเร็จสักอย่าง

4. สำหรับเพื่อนที่ยังไม่เคยเรียนวิชานี้ คุณจะอธิบายวิชานี้ให้ฟังว่าอย่างไร
 (ขออนุญาตคำหยาบ ฟีลเพื่อนแนะนำกันครับ)
มึงลองมาเรียนดูเว้ย วิชานี้ เชื่อกู ว่ามึงจะไม่เคยได้สัมผัสวิชานี้แบบนี้ในมหาลัยได้แน่นอน โดยเฉพาะในคณะวิศวะ นอกจากจะได้เรียนรู้ Soft Skill ที่ไม่ค่อยมีสอนแล้ว ยังเป็นการได้รู้จักตัวเองมากขึ้น แบบมึงอาจจะไม่เคยคิดถึงในอีกมุมมองนึงเลย การได้แชร์มุมมองกับเพื่อนในคลาสเป็นอะไรที่แม่งคือจุดขายวิชานี้สุด ๆ ยิ่งมึงมาเรียนกับเพื่อนสนิท หรือไม่สนิท มึงจะรู้สึกสนิทกับเขามากขึ้น หรือในแง่ความสัมพันธ์ที่มึงอาจจะมีปัญหา ในวิชานี้มีเครื่องมือที่มึงสามารถใช้จัดการได้ตลอดชีวิตมึงเลย ซึ่งบางทีกว่ามึงจะค้นพบวิธี มันอาจจะใช้เวลานานจนมันไม่ทันแล้วก็ได้ วิชานีhตอบโจทย์สิ่งนั้นเว้ย อีกจุดขายหนึ่งเลยนะ คือ หลังจากมึงเรียนแล้ว สิ่งที่มึงจะได้แน่ ๆ รู้ว่าตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเป็นแบบไหน และใช่ วัยรุ่นหลายคนไม่ได้คิดถึงตรงนี้เท่าไร รวมถึงกูด้วย พอมึงเรียนแล้ว มึงจะค้นพบกับตัวเองที่มึงอยากเป็น คนที่มึงต้องการเป็น ไม่ว่าจะมีอุปสรรคนั้นจะเป็นอะไร

คนที่ 3 (ฐานหัว)

1.สิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากวิชานี้ที่สำคัญที่สุด 3 อย่าง
1.1 การรู้จักตัวเองและเคารพในความแตกต่างของคนอื่น ได้รู้ว่าตัวเองนั้นเป็นคนลักษณ์ไหน ได้รู้ว่าลักษณ์เรามีข้อดี ข้อเสียอย่างไร มีจุดไหนที่เราต้องปรับปรุงเพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ และการเคารพในความแตกต่างระหว่างบุคคล หลังเรียน leadership ทำให้ผมยอมรับความแตกต่างของคนอื่นๆได้มากขึ้น จากการเรียนกิจกรรมนพลักษณ์ ทำให้รู้ว่าลักษณ์ต่างๆเป็นยังไงบ้าง  ซึ่งมันจะช่วยทำให้ง่ายขึ้นเมื่อรู้ว่าคนอื่นไม่เหมือนกับเรา ทำให้เรารู้ว่าอ๋อ เขาไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนเรา ดังนั้นเราก็จะ happy แต่คนที่คิดไม่เหมือนเราก็เรื่องของเขา สุดท้ายเราก็ไม่สามารถที่จะไปเปลี่ยนอะไรใครได้ ทำได้แค่ทำตัวเองให้ดีก็พอ อาจจะพยายามหาวิธีในการอยู่ร่วมกับเขาโดยการที่เรารู้ว่าเขาเป็นคนลักษณ์ไหน ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราก็จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับเขาให้ถูกวิธี เช่น หมิงที่เป็นลักษณ์ 5 เวลาจะชวนเขาออกไปเที่ยวก็ควรจะนัดก่อนถึงวัน เขาจะได้มีเวลาในการเตรียมตัวก่อน และไม่ควรไปบังคับให้เขาร้องเพลงเพราะเขาค่อนข้างขี้อาย ไม่ชอบการแสดงเท่าไหร่ ซึ่งอันหลังนี้ผมเห็นมากับตา คือตอนไปคาราโอเกะ ทุกคนร้องเพลงหมดยกเว้นหมิงคนเดียวที่นั่งฟังเฉยๆ เพื่อนคนอื่นบอกให้ร้องก็ไม่ร้อง แต่ก็ผมเข้าใจเขาได้ เลยไม่ได้ไปบังคับอะไร

1.2 การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ  จากการทำกิจกรรม NVC ทำให้รู้ว่าการที่เราพิมพ์แชทคุยกันในไลน์นั้นเป็นการสื่อสารแค่ 7% เท่านั้น จากการที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะโทรหรือจะพิมพ์มันก็เหมือนๆกัน เราแค่โทรเพราะว่ามีเรื่องจะคุยเยอะ หรือต้องพิมพ์ยาวๆแล้วขี้เกียจพิมพ์ แต่คาบนี้ทำให้ได้รู้ว่าการได้ยินน้ำเสียงและถ้าได้เห็นสีหน้าท่าทางด้วย จะสามารถทำให้เราได้รับรู้อะไรมากกว่าแค่อ่านตัวหนังสือเฉยๆ เพราะถ้าแค่อ่านบางทีเราอาจจะใส่อารมณ์หรือประสบการณ์ส่วนตัวเข้าไปเอง ทำให้เราตีความสิ่งที่คนอื่นต้องการจะสื่อนั้นผิดได้ แต่ถ้าเราได้คุยกับเขาตัวเป็นๆเราสามารถเห็นสีหน้าท่าทาวง แววตาของเขาทำให้เราสามารถรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายและสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อจริงๆได้ ทำให้การสื่อสารนั้นมีประสิทธิภาพและความผิดพลาดน้อย และนอกจากนี้ก็ยังมีการสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการ Coaching โดยพี่เปิ้ลด้วย ที่สามารถใช้ในการสื่อสารได้ ก็คือการตั้งคำถาม โดยเทคนิคก็คือควรจะฟังมากกว่าพูด คำถามก็ควรจะเป็นคำถามปลายเปิด เพื่อเปิดให้เห็นความเป็นไปได้ กระชับ สั้น ตรงประเด็น ไม่ไปตีกรอบจำกัดคำตอบของอีกฝ่าย ช่วยให้เห็นคำตอบที่แท้จริง และกระตุ้นให้คิด จะได้เห็นความเป็นไปได้มากขึ้น และที่สำคัญเลยคือ คำถามไม่ทรงพลังคือคำถามที่ไม่ได้ถูกถามออกไป เพราะในคาบนั้นมีกิจกรรมหนึ่งที่พี่เปิ้ลได้เล่าปัญหาของตัวเองให้ฟัง แล้วให้แต่ละกลุ่มช่วยตั้งคำถาม ซึ่งหนึ่งในคำถามชุดนั้นก็คือคำถามที่ว่า ช่วงนี้มีอะไรที่อยากทำมากที่สุด ซึ่งตอนแรกผมกะจะไม่ถามด้วยซ้ำ เพราะมองว่ามันดูธรรมดาไป อาจจะไม่ใช่คำถามที่ดีเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจถามคำถามนี้ออกไป ซึ่งผลออกมาคือพี่เปิ้ลชอบคำถามนี้ และมันมี impact มาก ทำให้พี่เปิ้ลได้คิดทบทวนเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้น ทำให้ได้รู้ว่าอยากถามอะไรก็ถามไปเลย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะธรรมดาไปหรือไม่ work เหมือนในคาบนี้ที่คำถามที่เราคิดว่ามันธรรมดา บางทีมันอาจจะได้ผลอย่างมากกับอีกฝ่ายก็ได้

1.3 การจัดการกับความขัดแย้งภายในตัวเองและคนอื่น แน่นอนว่าความขัดแย้งนั้นไม่มีใครที่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ แต่เราสามารถที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้ เหมือนตอนที่ได้เรียนในกิจกรรม Process Work ของพี่โจ้ ที่ได้ให้พวกเราเปลี่ยนความขัดแย้งเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อไป เหมือนภาพที่ขึ้นมาในหัวผมตอนที่ตัดสินใจเอาชนะความขัดแย้งในตัวเองโดยการนึกถึงฉากจบในหนังเรื่อง Fight Club ที่พระเอกเอากระบอกปืนจ่อปากตัวเอง แล้วยิงเพื่อฆ่าอีกตัวตนหนึ่ง เป็นความกล้าที่จะตัดสินใจในการจบความขัดแย้งทุกอย่าง เพื่อที่จะได้เกิดใหม่เป็นตัวเองอีกครั้ง และการจัดการความขัดแย้งกับผู้อื่น โดยการลองคิดว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะรู้สึกอย่างไร และพอเราเข้าใจเขาได้แล้วนั้น การที่เรารู้จักตัวเองและเข้าใจคนอื่นมันจะสามารถนำพาเราออกไปสู่ทางออกที่ดีได้


2.คุณในเวอร์ชั่นก่อนเรียน และหลังเรียน แตกต่างกันอย่างไร (เช่น ในแง่พฤติกรรม ความสัมพันธ์กับตัวเองและคนอื่น ทัศนคติ/ความเชื่อ ความสุขในชีวิต เป้าหมายชีวิต)

ในแง่ของการสื่อสาร เมื่อก่อนผมจะเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใครมาก อาจจะเพราะมีความ artist บางอย่างในตัว ทำให้มีความรู้สึกว่า สังคมไม่เข้าใจเรา คนที่โรงเรียนไม่เข้าใจเรา เพราะงั้นเราก็จะอยู่แต่ในโลกของเรา ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบพูดไม่ค่อยชอบคุย เพราะคิดว่าพูดไปเขาก็ไม่เข้าใจเราหรอก แต่พอได้มาเรียนวิชา leadership ทำให้รู้ว่าการสื่อสารสำคัญมาก พอผมเห็นความสำคัญตรงนี้ก็ทำให้ผมค่อยๆปรับตัวว่าเราต้องสื่อสาร เพราะถ้าเราไม่พูด ตอนทำงานมันจะไม่มีทางเข้าใจกันได้ว่า อะไรโอเค อะไรไม่โอเค หรือเราต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร ความเงียบไม่สามารถแก้ไขทุกปัญหาได้ มันต้องสื่อสาร รวมถึงตอนที่เราต้องพูดในที่ประชุม สรุป,update ต่อหน้าหัวหน้า หรือว่าตอนไปคุยงานกับลูกค้า การได้เรียนวิชานี้เหมือนได้เป็นการ icebreaking หรือละลายพฤติกรรมเดิมของเราโดยธรรมชาติ โดยการเปลี่ยนแปลงมันเริ่มจากการที่อาจารย์ได้มา comment หลายครั้งว่าอยากให้แชร์ความคิดเห็นให้มากขึ้นในห้อง อาจรย์บอกว่าผมมีความคิดหลายอย่างที่น่าสนใจ คาบหลังๆผมเลยได้จับไมค์พูดแสดงความคิดเห็นของตัวเองมากขึ้น เพราะด้วยความคิดที่ว่า คนอื่นจะไม่เก็ทหรือคิดไม่เหมือนเรามันก็เรื่องของเขา ยังไงคนเรามันก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ยังไงก็น่าจะมีคนที่คิดหรือเห็นด้วยกับความคิดเราเหมือนกันนั่นแหละ ลองๆทำดู ไม่มีอะไรเสียหาย เพราะวิชานี้เปิดมาเพื่อให้เราฝึกอะไรแบบนี้อยู่แล้วนี่นา ถือว่าเราได้เปรียบคนอื่นที่เป็นแบบเรา แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนวิชานี้หรือได้ลองทำอะไรแบบนี้

ความสัมพันธ์กับคนอื่น ด้วยความที่ part สังคม มันเป็นระบบสุ่ม คือพอเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราจะมีระบบสุ่มที่สุ่มว่าเราจะไปเกิดในครอบครัวที่ฐานะยากจน ปานกลาง หรือร่ำรวย แล้วมันคือจุด start ที่ทำให้แต่ละคน start ไม่เท่ากัน คนที่เกิดมาในครอบครัวคนรวยเขาไม่ได้ผิดนะ เขาแค่โชคดีแล้วเขาก็สามารถ start ได้เร็วกว่าคนอื่น เพราะเขาไม่ได้มีภาระหนี้สิน แต่คนที่อยู่ในฐานะปานกลางหรือยากจน กว่าที่เขาจะ start ได้ กว่าที่เขาจะเริ่มไปถึงจุดนั้นได้ มันคือต้องพยายามมากเลย ก่อนที่จะหลุดจากตรงนั้นได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องน่าน้อยใจหรืออะไรนะ แต่ว่ามันคือระบบสุ่มที่มันไม่มีใครรู้เลยว่าเราจะไปอยู่ตรงไหน และถ้าเราเกิดมาลำบากก็ต้องพยายามให้มากกว่าคนอื่น เพื่อที่จะได้สบาย แล้วระบบสุ่มนี้ก็จะ ทำให้สิ่งที่จะ shape เราให้เป็นเรานั้นแตกต่างกันจากต่างครอบครัวที่เราได้เกิดมา ทั้งความรู้ ความสามารถ รูปร่างหน้าตา สีผิว ความพิเศษของแต่ละคน ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้เจอมา ซึ่งเรื่องนี้มันก็จะโยงไปถึงเรื่อง social ranking ของแต่ละคนที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด มันก็อาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าตัวเองด้อยในเรื่องต่างๆได้แต่จริงๆเราควรจะช่างหัว social rank ให้หมด ไม่ว่าจะ rank สูง rank ต่ำ ยังไงก็คนเหมือนกัน โฟกัสที่ตัวเองดีกว่า ถ้าเราไม่เอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นจะทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้น ถึงเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะทำให้ชีวิตที่เราถูกสุ่มมานั้นมีความสุขได้ โดยการใช้ resource ที่เรามีอยู่ในตัวนั้นก็เพียงพอแล้ว พอผมไม่คิดถึงเรื่อง social rank แล้วมันก็จะทำให้แต่ละคนคือเท่ากันหมด ทำให้การเข้าหาคนอื่นมันทำได้ง่ายขึ้น เพราะเราตัดสิ่งที่เป็น illusion พวกนี้ออกไปได้ ทำให้เวลาที่เข้าคนอื่นมันจะไม่มีอคติ โดยเราจะ treat เขาเหมือนเป็นคนๆหนึ่งเหมือนกับเรา และในตอนทำกิจกรรมที่ต้องจับคู่กับเพื่อนที่ไม่สนิทหรือแทบไม่ได้คุยกันเลย ผมสามารถทำกิจกรรมกับเพื่อนๆเหล่านั้นได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แค่รู้ว่าขอบเขตเขาเป็นยังไง เป็นคนลักษณ์อะไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร แล้วก็พยายามเลี่ยงสิ่งที่เขาไม่ชอบก็ทำให้ทำงานด้วยกันได้อย่าง happy จากที่เมื่อก่อนถ้าได้ทำงานกับคนที่อ่อนกว่าก็จะไม่ค่อยยอมรับไอเดียที่เขาเสนอมา เพราะคิดว่ามึงคิดมายังไงมันก็ไม่เวิร์คเท่าของเราหรอก เหมือนตอนที่ผมเคยเล่าในห้องให้ฟังที่ผมให้แบ่งงานให้เพื่อนทำ แต่สุดท้ายก็ไม่เอางานเขาไปส่ง กลับเอาที่เราไปแอบทำมาไปส่งเอง แต่พอได้ทำกิจกรรม Process Work ของพี่โจ้ทำให้มุมมองตรงนี้ของผมเปลี่ยนไป ทำให้ยอบรับความแตกต่างของเพื่อนมากขึ้น โดยการให้โอกาสเพื่อนมากขึ้น ลด ego ตัวเองลงไปบ้าง เปิดกว้างรับความคิดเห็นเพื่อนๆคนอื่นมากขึ้น เพราะจริงๆเขาก็คนเหมือนกัน บางทีเขาอาจะเห็นในบางมุมที่มันเวิร์คแต่เราไม่เคยมองเห็นก็ได้ 

การมองโลก รู้สึกว่าตัวเองสามารถมองอะไรในมุมที่กว้างและลึกมากขึ้นได้ จากการเรียนวิชา leadership ที่ได้ทำกิจกรรมต่างๆแล้วค้นพบว่าถึงแม้จะเป็นสิ่งๆเดียวกัน แต่ว่าแต่ละคนก็มองเห็นอะไรที่ไม่เหมือนกัน อาจจะด้วยความคิด ประสบการณ์ของแต่ละคนที่ถูก shape มาไม่เหมือนกัน ทำให้เราอาจจะพลาดบางสิ่งที่สำคัญไปได้ ก็เลยจะใช้สิ่งนี้ในการมองสิ่งต่างๆ โดยมองในหลายๆมุมที่แตกต่างกัน บางทีสิ่งนี้อาจจะช่วยลดความขัดแย้งที่จะเกิดขึ้นลงไป ถ้าเกิดเราเข้าใจในมุมมองของคนที่คิดต่างจากเรา และมันยังสามารถเอาไปใช้ในการวิเคราะห์สื่อได้อีกด้วย จะได้เสพสื่ออย่างมีสติมากขึ้น และไม่โดนสื่อหลอก โดยการวิเคราะห์ในมุมที่กว้างๆและลึกมากขึ้น จะได้เห็นในหลายๆมุมมอง เพราะทุกสื่อนั้นล้วนถูกประกอบสร้างมันไม่ได้อยู่ๆก็เกิดขึ้นเอง มันถูกสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทไหนก็ตาม เพราะสื่อทุกสื่อนั้นล้วนแฝงจุดประสงค์บางอย่างที่ผู้สร้างนั้นต้องการจะใส่ลงไป ซึ่งก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี เราจึงควรจะรู้ทันว่าสื่อนั้นต้องการอะไรจากเรา 

เป้าหมายชีวิต จริงๆก่อนที่จะเข้ามหาลัยผมอยากเป็นนักบินอยู่แล้ว แต่พอมีโควิด และมีข่าวนักบินถูกปลดออกทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเป้าหมายนี้เลยเพราะคิดว่าโอกาสน่าจะน้อย และก็ได้ปล่อยตัวเองล่องลอยแบบไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่พออาจารย์ได้ให้ทำ Odyssey Plan ผมก็ได้ลองมาถามตัวเองดูว่าจริงๆเราชอบอะไรกันแน่วะ พอถามไปถามมาก็ทำให้ได้คำตอบว่า ปกติเราเป็นคนชอบเที่ยว โดยเฉพาะถ้าเที่ยวเมืองนอกยิ่งชอบเลย ทำให้กลับมารื้อฟื้นโปรเจคนักบินอีกครั้ง เพราะมันเป็นอาชีพที่ได้ไปต่างประเทศบ่อยๆ และเราก็ชอบพวกการบินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้ตัดสินใจเลือกนักบินมาเป็น Odyssey Plan ในแผนแรก และพอได้ไปสัมภาษณ์คนที่ทำงานนักบินเขาก็บอกว่า งานนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เปิดแนวทาง เปิดมุมมองอะไรหลายๆอย่างในชีวิตได้เยอะ ทั้งกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ การแก้ปัญหางานกับคน มันได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่หลายอาชีพไม่ได้ทำก็ถือว่าสนุกดี พอสัมภาษณ์เสร็จคุยกันไปประมาณชัวโมงกว่าก็เหมือนเป็นการจุดไฟในตัวผมขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้คิดได้ว่านี่แหละเป้าหมายกู หลังจากที่ล่องลอยมานานไม่รู้ว่าอยากจะไปทำงานแนวไหนดี

ความสัมพันธ์กับตัวเอง เรื่องนี้ไม่พูดก็คงจะไม่ได้ เพราะการเรียนวิชานี้เหมือนเป็นการช่วยค้นหาตัวเอง และทำความเข้าใจกับตัวเองมากขึ้น ตั้งแต่คาบนพลักษณ์เลยที่ทำให้รู้ว่าตัวเองเป็นลักษณ์ 7 และรู้ว่าตัวเองมีข้อดีข้อเสียยังไง และข้อดีข้อเสียเหล่านั้นมันก็สามารถเอาไปใช้ต่อได้ว่าจุดไหนจะทำให้คนอื่นชอบเรา จุดไหนจะทำให้คนอื่นไม่ชอบเรา จะได้เป็นการพัฒนาตัวเองไปด้วยในเรื่องที่คนอื่นไม่โอเค และที่สำคัญไปกว่านั้นคือได้รู้ว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไรทำให้เราสามารถเลือกทำในสิ่งที่ชอบ และตัดสิ่งที่เราไม่ชอบออกไปได้ ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการจัดการกับความขัดแย้งภายในตัวเองที่ได้กล่าวไว้ในข้อ 1 ที่ว่าจะทำยังไงให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากมันโดยการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นแรงผลักดันในการใช้ชีวิตต่อไป และยังมีการทำ Odyssey Plan ที่ทำให้เรารู้เป้าหมายของตัวเองว่าอยากจะทำอไรกันแน่ จะได้โฟกัสให้ถูกจุดว่าเราจะต้องไปในทิศทางไหน ซึ่งตรงนี้ผมมองว่ามันเป็นข้อได้เปรียบของเราต่อคนที่ไม่เคยทำหรือยังล่องลอยอยู่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี เพราะการที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรืออยากทำอะไรมันจะทำให้ทำอะไรต่อไม่ได้มีเพียงแค่ต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆจนเจอสิ่งที่ชอบ

การเป็นผู้ฟังที่ดี การทำกิจกรรม Coaching ของพี่เปิ้ลนั้นก็ทำให้ผมได้ลองฝึกเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น โดยได้ฟังเรื่องที่หมิงเล่าแบบละเอียด เพราะเราไม่สามารถไปให้คำแนะนำโค้ชชีได้ ต้องตั้งคำถามไปเรื่อยๆจนเขาคิดได้เอง ซึ่งมันทำให้ผมได้ตั้งใจฟังที่หมิงพูดเพื่อจะใช้มาเป็น resource ในการตั้งคำถามต่อไป จากแต่ก่อนที่เรามักจะชอบเตรียมคำถามต่อไปเอาไว้แล้ว จนไม่ได้สนใจสิ่งที่คนตรงหน้าพูด หรือบางทีเวลาเถียงกับเพื่อนเราก็ฟังรอสวนอย่างเดียวไม่ได้พยายามจะเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดออกมา ทำให้คิดว่าเรื่องนี้ผมทำได้ดีขึ้น และเรื่องนี้ก็ได้ใช้ตอนเพื่อน present Odyssey Plan ของตัวเอง ที่ให้เพื่อนคนอื่นตั้งคำถาม ซึ่งถ้าเราไม่ตั้งใจฟังให้ดี ให้ละเอียด และเตรียมคำถามไว้ก่อน เราอาจจะไปถามในสิ่งที่เพื่อนพูดไปแล้วในตอน present ได้ ซึ่งจะทำให้คนที่พูดรับรู้ได้ว่าไอ่คนฟังมันไม่ตั้งใจฟังตอนที่กูพูดเลย และแน่นอนผมก็เอาตรงนี้ไปใช้ตอนสัมภาษณ์คนที่ประสบความสำเร็จในสายงานต่างๆของ Odyssey Plan เหมือนกัน

3.มีด้านใดของคุณที่คุณอยากจะเปลี่ยน แต่ยังไม่เปลี่ยนบ้าง
อาจจะเป็นการ improvise ตอนพูด คือในวิชานี้มันก็ได้ลองฝึกมาบ้าง ก็ถือว่าผมทำมันได้ดีขึ้นแหละ แต่จากการประเมินโดยตัวผมเอง ผมคิดว่าผมยังทำตรงนี้ได้ไม่ดีพอ เมื่อเทียบกับคนอื่นที่พูดเก่งๆ เพราะคิดว่ามันก็ยากอยู่อะที่จะคิดคำตอบสดๆแล้วเรียงเป็นคำพูดให้คนอื่นสามารถฟังรู้เรื่องได้ และจากการเปรียบเทียบตอนคิดคำตอบในห้องกับการกลับมาเขียน reflection พบว่าตอนที่เขียน reflection ยังไงก็ idea ดีกว่าเกือบทุกครั้ง อาจจะเพราะมันมีเวลามากกว่าด้วย เลยทำให้เราได้คิดอะไรที่มันละเอียด รอบคอบมากกว่า การที่ต้องคิดแป๊ปเดียว เหมือนอาสิ่งที่แว้บเข้ามาในหัวตอนนั้น มาเรียงเป็นคำพูดแล้วตอบออกไปเลย ก็เลยอยากจะ improve ตรงนี้มากขึ้น เพราะคิดว่ายังไงมันก็เป็นสิ่งที่จะต้องได้ใช้แน่ๆ

การจัดการกับความเบื่อ ก็อย่างที่อาจารย์บอกว่าปัญหาหลักๆของลักษณ์ 7 ก็คือการอยู่กับความเบื่อ ซึ่งยังเป็นสิ่งที่ผมนั้นยังทำไม่ได้ คือสิ่งที่อยากทำมันก็มี แต่พอทำไปเป็นระยะเวลาหนึ่งมันก็เกิดเบื่อขึ้นมาแล้วไม่รู้จะแก้ยังไง เช่น ตอนเล่นกีต้าร์ ถ้าต้องฝึกไล่สเกลเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าทำไมกูต้องมานั่งไล่สเกลอะไรก็ไม่รู้ ที่มันซ้ำๆเดิมๆด้วยวะ น่าเบื่อว่ะ หรือถ้าเอาเป็นการเรียนก็คือถ้าต้องมานั่งทำโจทย์ที่มันเป็นแนวเดิมๆซ้ำๆ ก็จะทำให้เบื่อ เพราะมันไม่มีอะไรท้าทาย มันก็เดิมๆอะ ถ้าไม่มีแรงผลักดันแบบต้องอัดคลิปลงโซเชียลหรือกำลังจะมีสอบก็จะทำให้ไม่อยากทำ และพอไม่อยากทำอะไรพวกนี้แล้วก็จะทำให้เลิกทำ พอเลิกทำแล้วก็จะไม่มีอะไรทำ มันก็จะทำให้เกิดความเบื่อยิ่งกว่าเดิมอีก จะออกไปข้างนอกก็ไม่รู้จะไปไหน ถ้ามีคนชวนออกไปก็ดีหน่อย แต่พอไม่มีคนชวนคือวันนั้นจะหนักเลยกลายเป็นไม่รู้จะทำอะไร ทำได้แน่นอนเปื่อยๆอยู่ห้อง

ความขี้เกียจ ผมเป็นคนที่มีสิ่งที่อยากทำหลายๆอย่าง แต่ปัญหาที่มัน most constant ก็คือความขี้เกียจ และเป็นกับทั้งเรื่องเรียนและ hobby ก็คือเรารู้แหละว่าอยากทำแต่ชอบเลื่อนออกไปก่อน เวลามีอีกเยอะ ทำให้ไม่ได้ทำในหลายๆอย่างที่อยากจะทำ นอกจากจะมีตัวที่ช่วยผลักดันที่เรียกว่า deadline เช่นมันต้องใช้วันพรุ่งนี้แล้วนะ จะอัดเพลงพรุ่งนี้นะ จะสอบแล้วนะ ถึงจะลุกมาทำได้ เลยอยากจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้เพราะพอมองกลับไปแล้วรู้สึกเสียดายเวลาทำไมเราถึงอยู่เฉยๆแทนที่จะลงมือทำมันเลยวะ

การแสดงความรู้สึก บางครั้งเวลาจะแสดงมันออกมารู้สึกว่าตัวเองแข็งๆไปหน่อย มันจะชอบมีความคิดมาแย้งก่อน ว่าแบบทำแบบนี้ออกไปจะดีแล้วเหรอ พอแสดงออกมาก็ทำให้มันดูแข็งๆไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเราต้องเอาความคิดมาปนกับความรู้สึกด้วย อาจจะเพราะผมเป็นคนเก็บความรู้สึกเก่งก็ได้นะ พอเป็นอะไรแล้วไม่ชอบบอกคนอื่น ก็เลยอยากจะ improve ตรงนี้เพราะตอนสื่อสารกับคนอื่นเขาจะได้เข้าใจความต้องการและความรู้สึกเรามากขึ้น

การตั้งคำถามปลายเปิด เพราะตอนทำกิจกรรมในห้องก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าเราทำได้ดีขนาดนั้น อาจจะด้ยธรรมชาติของเราที่ชอบตั้งคำถมปลายปิด พอได้ลองมาตั้งคำถามปลายเปิดดูทำให้พบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จำ อาจจะเป็นเพราะว่าเราเพิ่งแค่เริ่มต้น แต่ฝึกทำไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็เก่งขึ้นเองแหละ ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิดหรอก

 4.สำหรับเพื่อนที่ยังไม่เคยเรียนวิชานี้ คุณจะอธิบายวิชานี้ให้ฟังว่าอย่างไร
อยากจะบอกว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะให้ลงเรียนวิชานี้ วิชานี้เป็นวิชาที่เป็น soft skills ล้วนๆเลย ซึ่งแทบจะไม่เคยเห็นว่าจะมีวิชาอื่นในมอที่เป็นแบบนี้มาก่อน ส่วนใหญ่จะเรียนแบบเป็น lecture แต่วิชานี้ไม่ใช่ วิชานี้จะเป็น skill การใช้ชีวิตซะส่วนใหญ่ ไม่มี lecture ไม่มีการสอบ ซึ่งข้อดีของมันก็คือมันจะเป็น skill ติดตัวเราไปตลอด เพราะ เราได้ลองลงมือทำจริง ซึ่งจะทำให้เวลาจะใช้เราไม่ต้องไปอ่านหนังสือทวน สามารถใช้ได้เลยเมื่อเราต้องการจะใช้มัน และสิ่งที่ได้จากวิชานี้ก็สามารถนำไปใช้ในชีวิตการทำงานได้จริง เพราะในการทำงานนั้นเราจะต้องมีการสื่อสารกับคนอื่น ซึ่งการสื่อสารในที่ทำงานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าเราเก่งอย่างเดียวแต่ไม่สามารถสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้มันก็ไม่มีประโยชน์ เราต้องสามารถพูดให้คนอื่นเข้าใจได้ด้วย จะได้เกิดการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และจะทำให้งานที่ทำออกมามันดี ตอนแรกก็สนใจที่จะลงวิชานี้อยู่แล้ว เพราะอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่ถนัดดู แต่ติดที่มันดันชนกับปโท ที่ได้สมัครไปก่อนหน้านั้น เลยทำให้ไม่สามารถลงได้เพราะเวลามันชนกัน week แรกเลยไม่ได้เรียน แต่พอถึง week 2 ตอนมาคุยโปรเจคกับอาจารย์ทำให้เห็นบรรยากาศภายในห้องรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก ฟีลเหมือนไปลงคอร์สบำบัดแพงๆ ที่มีคนมานั่งล้อมวงกันแล้วผลัดกันเล่าเรื่องของตัวเอง แต่อันนี้เราไม่ต้องจ่ายแพงเลย เพราะเป็นวิชาเลือกในภาค ทำให้คิดว่าแล้วทำไมเราต้องทิ้งโอกาสนี้ไปล่ะ เรียนปโทมันก็เดิมๆ และเราเรียนมาตลอดชีวิตแล้ว ทั้งอนุบาล1-2-3 ป.1-6 ม.1-6 แล้วก็ปตรีอีก 4 ปี มันครึ่งชีวิตแล้วที่เราเรียนมา และตอนนี้ก็รู้สึกว่าเราเบื่อเรียนแล้ว เลยลองตัดสินใจชั่งน้ำหนักดู และก็คิดว่าตอนนั้นตัดสินใจถูกต้องแล้วที่ลาออกจากปโท มาลงเรียนวิชา leader เพราะคิดว่าการมาลงเรียนวิชานี้น่าจะทำให้ได้อะไรใหม่ๆมากวว่า สิ่งที่เรียนในวิชานี้ก็มีเยอะแยะเลย เช่น การรู้จักตัวเอง รู้ว่าแต่ละคนแตกต่างกัน การเคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล  จากการเรียนกิจกรรมนพลักษณ์ กิจกรรมนี้ทำให้ได้รู้จักลักษณ์แต่ลักษณ์ว่าเป็นยังไงบ้าง มีลักษณะนิสัยยังไงได้รู้ว่าคนรอบข้างแต่ละคนเป็นลักษณ์อะไร เราจะสามารถ แบ่งลักษณ์ของคนรอบตัวได้อย่างไร ทำให้สามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ง่ายขึ้นหรือเข้าใจคนรักของตัวเองมากขึ้น และที่สำคัญคือได้รู้ว่าลักษณ์ต่างๆมีข้อดี ข้อเสียยังไงบ้าง ควรจะรับมือกับลักษณ์ต่างๆอย่างไร และตัวเรามีจุดไหนบ้างที่ควรจะปรับปรุง กิจกรรม Natural Connection นั้นเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปสมัยประถมช่วงทำกิจกรรมทัศนศึกษา สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้ก็คือ ตอนเดินไปที่สวนหลังพิพิฒภัณฑ์นั้น ได้ลองเดินช้าและเดินเร็วดู ทำให้ค้นพบว่า ถ้าเราเดินแล้วเราไม่รีบ จะทำให้เรารู้ว่าสิ่งรอบข้างอาจจะมีอะไรมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ สิ่งที่เราเคยมองข้ามอาจจะมีความสำคัญ และนอกจากนี้กิจกรรมนี้ทำให้ค้นพบว่าคนรอบตัวนั้นก็ คนเราบางทีก็ดูแลรักษาคนรักหรือสิ่งของที่สำคัญได้ไม่ดี ทำให้เวลาคนรักหรือสิ่งของนั้นเสื่อมสภาพหรือจากไป ทำให้เรากลับมาเสียดายและโทษตัวเองว่าทำไมตอนนั้นเราไม่ดูแลรักษามันให้ดีกว่านี้ จึงทำให้หลังจากเรียนเสร็จก็ได้ดูแลสิ่งของต่างๆมากขึ้น เก็บเป็นที่เป็นทางมากขึ้น จะได้ไม่หาย ใช้งานระมัดระวังมากขึ้น จะได้อยู่กับเรานานๆ และได้ให้เวลากับคนรักมากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดและโทษตัวเองในวันที่เขาจากไปว่าตอนนั้นทำไมเราไม่ให้เวลากับเขามากกว่านี้วะ กิจกรรม Coping & Strategies ได้ลอง role play เป็นคนในแบบที่แตกต่างจากเรา ก็ทำให้เราเข้าใจความคิด มุมมองของคนเหล่านั้น และข้อดีที่เค้าเป็นแบบนั้น ทำให้สามารถนำข้อดีของแต่ละแบบไปใช้ประโยชน์ในชีวิต เผื่อวันหนึ่งเราจะต้องไปทำงานกับคนในหลายๆแบบ อาจจะได้เอานิสัยของแบบอื่นมาใช้ ถ้ามีงานอะไรที่เครียดๆจะได้ช่วยให้เหตุการณ์ตอนนั้นมัน soft ลงมาหน่อย ไม่ตึงเกินไป กิจกรรม Media Literacy & Critical Thinking ทำให้ได้รู้หลักการวิเคราะห์และแยกแยะสื่อมากขึ้น และทำให้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทไหนเราก็ควรวิเคราะห์ทั้งนั้น เพื่อไม่ให้โดนสื่อหลอก และได้ลองคิดวิเคราะห์แบบกว้างๆและลึกมากขึ้น จะได้เห็นในหลายๆมุมมอง เพราะสื่อทุกสื่อล้วนถูก “ประกอบสร้าง” มันไม่ได้อยู่ๆก็เกิดเอง มันถูกสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทไหนก็ตาม ดังนั้นสื่อทุกสื่อล้วนแฝงจุดประสงค์บางอย่างที่ผู้สร้างนั้นต้องการจะใส่ลงไป ซึ่งก็มีทั้งดีและไม่ดี เราจึงต้องวิเคราะห์และแยกแยะสื่อเพื่อที่จะรู้ว่าสื่อต้องการอะไรจากเรา และทำให้สามารถทำให้สามารถเสพสื่ออย่างมีสติมากขึ้น ได้ทักษะการวิเคราะห์แยกแยะ จะได้มองสื่อในมุมที่กว้างและลึกมากขึ้น จะได้รู้ว่าจุดประสงค์ของผู้สร้างสื่อนั้นดีหรือไม่ดี ทำให้รู้เท่าทันสื่อมากขึ้นและโดนสื่อหลอกยากขึ้น ประมาณนี้ดีกว่า ไม่อยากสปอย 55555555 ถ้าอยากรู้ก็ลองมาลงเรียนดู แต่บอกก่อนเลยว่าวิชานี้มันไม่เครียดเหมือนวิชาภาคอื่นๆ เพราะมันเป็น soft skills ล้วนๆ เป็นเรื่องการ connect กับคน และการเรียนวิชานี้จะช่วยให้ฝึกพูด ฝึกเขียน เพราะว่าได้พูดทุกคาบ และต้องเขียน reflection ส่งทุกคาบ ซึ่งก็มีประโยชน์นะเพราะมันได้ช่วยฝึกในเรื่องของการสื่อสารให้คนอื่นรู้เรื่อง และวิชานี้เรียนวันศุกร์ตอนบ่ายด้วย เหมือนเป็นการได้มาพักผ่อนหลังจากเรียนวิชาการมาทั้งอาทิตย์ ฟีลแบบทำกิจกรรมนันทนาการอะไรแบบนี้ แต่มันจะได้อะไรที่มากกว่าทำกิจกรรมนันทนาการ เช่น ได้ฝึกมองอะไรให้กว้างและลึกมากขึ้น ได้พูดคุยหรือทำงานร่วมกับเพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยหรือไม่คุยกันเลย ได้ทำกิจกรรมสนุกๆ ได้ลองอะไรใหม่ๆเพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่เราจะได้ลองอะไรแปลกๆใหม่ๆแล้วไม่มีอะไรเสียหาย หรือถ้าชอบแกล้งเพื่อนเรียนวิชานี้แล้วได้แกล้งสมใจแน่ๆ 555555555 และที่สำคัญสุดคือคาบสุดท้ายอาจารย์เลี้ยงบุฟเฟต์ด้วย 555555555555 
ก็เลยอยากจะชวนคนที่ไม่เคยเรียนให้มาลองเรียนวิชา leadership ดู มันไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนอะไรแบบนี้บ่อยๆ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนที่พูดไม่เก่ง ไม่กล้าแสดงออก ขาดความมั่นใจ เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ หรือถ้ายังไม่รู้จักตัวเองแล้วอยากค้นหาตัวเอง หรือมีปัญหาอะไรก็ตามในชีวิต ขอบอกเลยว่าวิชานี้มันจะตอบโจทย์คุณมาก ลองสักครั้งเถอะครับ ลองในตอนที่ยังมีโอกาสดีกว่าต้องมานั่งเสียใจในวันที่จบไปว่า ทำไมตอนนั้นกูมีโอกาสแต่กูไม่ลองทำมันวะ เพราะว่า ช่วงเวลามัธยมกับมหาลัยเป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆในการค้นหาตัวเอง สมมติถ้าเราอยากทำอะไรให้ทำไปเลย โคตรได้เปรียบคนอื่น เพราะว่า เราในตอนนี้เรายังไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องแบกในหัวมากเท่าไหร่ และก็มีวลาที่ค่อนข้างมาก แล้วผมรู้สึกว่าการที่หลายๆคนได้ลองตั้งแต่วัยมัธยมหรือมหาลัยมันคือบันไดไปสู่อนาคตของเรา ต่อให้เราอาจจะไม่ได้ทำตรงนั้นต่อแล้ว แต่การได้ลองมันทำให้รู้เพื่อพบว่าชอบหรือไม่ชอบ ถ้าเราไม่ชอบเราก็จะได้ตัดออกไปเลยตั้งแต่เนิ่นๆว่ามันไม่ชอบมันไม่ใช่ เพราะสิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือไม่รู้ว่าตัวเองชอบไม่ชอบอะไร การที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรคือมันเดินไปไหนไม่ได้เลย แต่การที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรเรายังตัดสิ่งที่ไม่ชอบออกได้ แล้วก็เดินไปทางที่ชอบได้ มันยังพอคลำทางถูก แต่การที่ไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร มันคือ stuck เลย ไปไหนไม่ได้เลย อันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันแล้วมันก็ไม่มีวิธีแก้ด้วยนอกจากลองไปเรื่อยๆ ลองในวัยเรียนมันดีที่สุดแล้ว เพราะล้มมามันยังไม่เจ็บมาก แล้วก็เรายังไม่ได้มีภาระที่จะต้องแบกขนาดนั้น แต่ถ้าเรามาลองต้องวัยทำงานนี้มันเสี่ยงประมาณหนึ่ง

Comments