My Enneagram Defense Mechanism

ฉันอ่านและฟังเรื่องกลไกป้องกันตัวเองของนพลักษณ์ เข้าใจของลักษณ์อื่น แต่ของตัวเองไม่เก็ตว่า Denial (ปฏิเสธ) คืออะไร จนกระทั่งอ.ธนาได้ให้แชร์แล้วฮีชี้ขณะที่มันเกิด ทำให้หลุดออกจากม่านที่บังตาอยู่

ชอบที่อ.อธิบายว่า Defense mechanism ทำงานตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะเวลาวิกฤตหนักๆ มันเป็นตัวที่ทำให้เราไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง Type ทำงาน

คอร์สที่ไปเรียนเป็นซีรีส์ของสามคอร์ส คือ Basic enneagram, subtypes and defense mechanism จริงๆ แล้วอันที่อยากเรียนคืออันที่สอง คอร์สแรก อ.ก็ชี้ให้เห็นว่าฉันอยู่ผิดลักษณ์ เดิมคิดว่าตัวเองเป็นสาม (Performer) แต่จริงๆ แล้วเป็นแปด (Challenger ซึ่งฉันชอบชื่อนี้มากกว่า the boss) ซึ่งตอนแรกก็ช็อคแต่พอมาดูตัวเองจริงๆ ความเป็นแปดอธิบายโลกภายในของฉันได้ดีกว่ามาก ส่วน subtypes ก็คอนเฟิร์มพฤติกรรมที่ทำอยู่ เช่น ดูแลสุขภาพมากมาย สนใจการเอาตัวรอด

คราวนี้ ความทะลุพื้น (Groundbreaking) ที่ทำให้เห็นกลไกการทำงานของนางมารข้างในชัดๆ คือ คอร์ส Defense mechanism ก่อนหน้านี้เพื่อนสนิทที่เป็นลักษณ์สี่เคยชี้แล้วฉันเห็นว่า จริงๆ แล้วบางทีฉันไม่ได้โกรธเฉยๆ แต่ฉันเศร้า และมันอยู่ใต้ความโกรธอีกที แต่โกรธ (ซึ่งรวมหงุดหงิด รำคาญ)  จะเป็นอารมณ์หลัก เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉันคุ้นเคย เหมือน auto pilot นอกจากความโกรธแล้วยังใจร้อนด้วย คือ อยากได้อะไรเร็วๆ ทำอะไรก็เร็ว คิดแล้วทำเลย ไม่วางแผนละเอียด คือ คิดไปทำไป

"My truth"

อ.ให้ทบทวนตัวเองว่ามี Defense mechanism อะไรบ้าง ผ่านการทำกิจกรรมจับคู่ แล้วให้เพื่อนถามเราซ้ำๆ ว่า "คุณใช้ Defense mechanism อย่างไรบ้าง" จนกว่าจะหมดเวลา ฉันได้จับคู่กับพี่จอม ซึ่งเป็นจิตแพทย์ ฮีถามก่อน ฉันก็ตอบไปเรื่อยๆ มีด้านบวกผสม เช่น มุ่งมั่น นั่นนี่ จนกระทั่งถึงตอนฉันถามพี่จอมว่าฮีใช้ defense mechanism อย่างไรบ้าง พี่จอมตอบมาอันหนึ่งแล้วฉันคิดว่ามันไม่ใช่คำตอบนั้น ฉันปฏิเสธฮี วิทยากรอีกคน-อิก ก็มาบอกว่าคำตอบนั้นโอเค ฉันก็ไล่อิกไปบอกว่าเดี๋ยวจัดการเอง 

ตอนแชร์ในวงใหญ่ ก็เล่าเรื่องนี้ให้อ.ฟัง แกบอกว่าแปดมี "My truth" คือ ชุดความจริงของตัวเอง ฉันบอกว่าแล้วก็มี "My way" ด้วย คือ กูอยากทำแบบนี้ก็จะทำแบบนี้ (เดิมคิดว่าตัวเองฉลาดและสร้างสรรค์ที่หา way อื่น) เรื่อง My truth ทำให้ฉันคิดได้ว่าตอนฉันอยู่ม.ปลายหรือปริญญาตรี ฉันเคยทำแบบฝึกหัดคำนวณ แล้วฉันได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกับในหนังสือ ฉันไม่ยอมรับและคิดในใจว่า หนังสือน่าจะพิมพ์ผิดนะ ฉันถูก 555

จริงๆ แล้ว My truth is denial.  เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว

Denial in action

หลังจากกิจกรรมนี้ อ.ก็ให้ทบทวนกับตัวเองแล้วก็เขียนว่า Defense mechanism ของเรามีผลอย่างไร กับการทำงาน ความสัมพันธ์ ฉันก็เขียนๆ ไป

อ.ก็ให้ทุกลักษณ์แชร์ตัวอย่างของ Defense mechanism อีกรอบ ฉันฟังคนอื่นในลักษณ์ฉัน เมื่อถึงคราวตัวเอง ฉันก็ไม่ได้อ่านในสิ่งที่เขียน ก็เล่าเรื่องที่คิดว่าอยากจะเล่าในตอนนั้นเลย เหมือนเป็น intuition ที่ขึ้นมา

ฉันบอกว่า ฉันมักจะหูดับ ไม่รับรู้สถานการณ์ตรงหน้า ถ้าฉันไม่ถูกใจ มันไม่เป็นอย่างที่ฉันคาดหวังไว้ เช่น ฉันนัดให้นิสิตมานำเสนองาน แล้วนิสิตคนที่มาสายประจำก็มาสายจริงๆ ฉันก็ดุนาง แล้วนางก็ร้องไห้ ฉันโกรธ และดุต่อว่า "นี่เป็นลูกคนเดียวใช่ไหม ไม่เคยถูกดุหรือไง" ตอนเล่าก็สั่นสะเทือนภายในมาก ก็บอกอ.ว่านี่ข้างในมันสั่นมากนะ แล้วฮีก็ถามว่ารู้ไหมว่าเปราะบางอยู่ ตอนไหนที่เปราะบาง ตอนแรกฉันก็เฉไฉตอบเลี่ยงๆ ตอนท้ายฉันก็บอกว่า ฉันเปราะบางตอนที่รู้สึกผิดว่าทำให้เขาร้องไห้ ตอนที่อ.ชี้ให้เห็น ฉันก็บอกว่าฉันเข้าใจผ่านหัวนะ แต่ข้างในมันไม่ยอมรับ ตอนนั้นสั่นสะเทือนมากๆ

พอได้เห็น ได้เข้าใจสถานการณ์นั้น ความหนักคลายไป เหมือนพายุพัดผ่านไป 

ตอนนี้ ฉันเข้าใจคำว่าเปราะบางมากขึ้น เดิมมันเป็นคอนเสพที่เข้าใจแบบหัว แต่ไม่เป็นเนื้อเป็นตัวเราจริงๆ สำหรับฉัน ความเปราะบางเป็นตอนที่เรารู้สึกถึงอารมณ์มนุษย์ที่เราควบคุมไม่ได้ (แล้วแปดชอบควบคุมด้วย) เช่น รัก รู้สึกผิด ละอาย เศร้า เสียใจ ผิดหวัง แล้วถ้าเป็นอารมณ์ลบ ฉันเอาความโกรธมาโปะทับอารมณ์อีกที และไม่เห็นอารมณ์อย่างที่มันเป็น

(ในคาบ Non-violent communication ที่เหมาะมาก ฉันขอโทษเด็กต่อหน้าคนอื่นตอนท้าย)

ฉันเห็นการพัฒนาของตัวเองว่าฉันเปราะบางได้ โดยที่ไม่รู้สึกท่วมท้นขนาดน้ำตาไหล เดิมนี่ร้องไห้ทุก workshop ถ้าอิน เพราะน่าจะไปกดอารมณ์ไว้ อารมณ์เลยไหลมาทางน้ำตา ตอนนี้ไม่ได้กดไว้ ก็เลยน้ำตาไม่ไหล

ฉันรู้สึกคุ้มค่ามากที่มา และรู้สึกดีใจที่ได้เห็นสภาวะ คือ ถ้าไม่เห็นด้วยตัวเองว่าเราทำอะไร มีผลอย่างไร ฉันจะไม่มีทางเปลี่ยนได้ เพราะไม่เห็นสาเหตุ และผลของมัน 

พอฉันเห็นด้านนี้ของตัวเองที่ทำให้ฉันยังติดกับความเป็นลักษณ์แปดแล้วรู้สึกเป็นอิสระมากขึ้น ถ้าฉันฝึก ฉันจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไรก็ได้ 

อีกสิ่งที่เข้าใจเพิ่มคือเรื่องบารมี (Strength) ของแปดคือ innocence ซึ่งมันก็ตรงๆ เลย อ.บอกว่าที่หลวงพ่อเทียนบอก "รู้ซื่อๆ" รู้อารมณ์ตามความเป็นจริง ไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม ไม่ต้องประดิษฐ์

ฉันดีใจที่ฉันจริงแท้กับกิจกรรม ฉันคิดว่าถ้าเราจริงใจกับตัวเอง ความจริงจะเผยออก แล้วเราจะเปลี่ยนแปลง




Comments