การประเมินตัวเองหลังเรียนคลาส Leadership (เทอมปลาย 63)


วิชา Communication & Leadership เป็นวิชาเลือกสำหรับนิสิตปี 4 ที่เปิดสอนโดยภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์  Syllabus ของเทอมที่แล้วอยู่ที่นี่

เมื่อนิสิตเรียนครบเทอมแล้ว จะต้องเขียนทวนสะท้อนตัวเองว่าเรียนไปแล้วได้อะไรบ้าง

ได้รับอนุญาตจากนิสิตให้เผยแพร่ได้

นิสิตคนที่ 1

การที่ได้เลือกมาลงเรียนวิชานี้ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องสำหรับผม และเป็นประโยชน์สำหรับผมที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันได้ในอนาคต สำหรับทุกหัวข้อที่เรียนมาซึ่งจากก่อนเรียนที่ตัดสินใจลงเรียน เพราะจากการถามรุ่นพี่ และเพื่อนว่าไม่มีการสอบ แต่เขียนเยอะ และได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เรียนก่อนจบปี 4 ไป เลยตัดสินใจเลือกลงวิชานี้

เมื่อได้มาเรียนคลาสนี้ คาบแรกๆ ก็ยังไม่ค่อยมีความตั้งใจที่จะเรียนสักเท่าไหร่ ยังไม่รู้ว่าจะได้อะไรจากการเรียนแล้วก็เป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกสักเท่าไหร่ เวลาพูดต่อหน้าคนเยอะๆ หรือตื่นเต้นก็จะพูดติดอ่างนิดหน่อย แต่คลาสนี้ก็จะให้ทุกคนได้พูดความรู้สึกต่างๆทุกคาบ ทำให้เริ่มชิน ลดความประหม่าได้ ทำให้สามารถพูดได้คล่องขึ้นช่วยพัฒนาทักษะเรื่องการพูดแล้วตอนพูดก็ต้องสบตาคนฟังด้วย ตามที่อาจารย์ได้สอนผม ตรงนี้ผมก็ถือว่าผมพัฒนาขึ้นพอสมควร เพราะเวลาที่ผม Present Project ความตื่นเต้นของผมลดลงไปเยอะมาก ทำให้พูดได้คล่องขึ้นเยอะมาก แบบคิดว่าเพื่อนทำกันได้ เราก็ต้องทำได้ 

มาถึงตอนพูดความรู้สึกต่างๆ คาบแรกก็คิดว่าเราต้องพูดอะไรอย่างนี้จริงๆหรอ ก็เลยไม่ค่อยกล้าพูด อาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้สนิทกับเพื่อนคนอื่นมากสักเท่าไหร่ มีกำแพงบางๆมากั้นอยู่ แต่พี่ๆ วิทยากรเขาก็จะมีกฎต่างๆที่ให้เคารพซึ่งกันและกัน แล้วก็เก็บความลับต่างๆของเพื่อน ซึ่งเมื่อเลิกคลาสไปเพื่อนๆ ก็จะไม่มีใครเอามานินทาเลย ตรงนี้ทำให้ผมมีความกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกต่างๆหรือเรื่องราวในชีวิตกับเพื่อนได้ ซึ่งตรงจุดนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้เราได้สนิทกันและเข้าใจกันมากขึ้นกว่าแต่ก่อน 

การเขียน Reflection แรกๆก็ยังไม่เข้าใจว่าให้เขียนทำไม อาจเพราะขี้เกียจด้วย พอผ่านไปสัก 2-3 คาบก็จะมีความสนุกเป็นการทบทวนเรื่องราวที่เรียนมา เมื่อเวลาผ่านไปแล้วกลับมาอ่านทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่เคยเรียนเคยทำกิจกรรมต่างๆกับเพื่อนแน่ๆเลย ที่ชอบเลยก็เป็นจดหมายที่เขียนถึงตัวเองในอนาคต ต่อมาก็เป็นเรื่องนพลักษณ์ที่ผมไม่เคยได้เรียนรู้มาก่อน จากที่เรียนผมก็รู้สึกได้เลยว่าผมลักษณ์ 9 แต่ก็ยังมีความเป็นลักษณ์ 1 ที่ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว เรารู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งนั้นจริงๆมันก็จะต้องสมบูรณ์แบบ แล้วชอบมองหาจุดบกพร่อง เช่น การเขียน Reflection พอเขียนเสร็จผมก็จะตรวจทานทุกครั้งก่อนส่ง อีกทั้งยังได้การสังเกตคนอื่นว่าเขาเป็นลักษณ์อะไรทำให้เข้าใจคนรอบข้างมากขึ้น 

เรื่องการเขียนสิ่งที่ภูมิใจในตัวเองตอนแรกๆก็ยังคิดไม่ออกพอได้มานั่งทบทวนตัวเองก็ทำให้คิดออกมาได้ทีละข้อ เช่น ถ้าเราชื่นชมตัวเองได้เราก็จะเห็นค่าของมันแม้ว่าคนอื่นจะไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับมันสักเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมภาคภูมิใจ ในอนาคตก็จะพัฒนาด้านอื่นๆที่เรายังไม่ภูมิใจให้เป็นสิ่งที่เราภูมิใจให้ได้ 

อาจารย์ก็บอกให้ผมไปออกกำลังกายช่วงนี้ผมก็ได้เล่นสเก็ตบอร์ดกับเพื่อนตอนแรกนึกว่าไม่ค่อยเหนื่อยที่ไหนได้ เหงื่อท่วมเลย แล้วก็มีวิ่งบ้างตอนเวลาว่างๆ ต่อมาเป็นเรื่องความหลากหลายของความสุขจากที่เมื่อก่อนปี 1 ก็มาเรียนที่คณะนี้คนเดียวทำให้ไม่ค่อยได้สนิทกับเพื่อนคนอื่นสักเท่าไหร่ และแอบเครียด แรกๆแม่ผมก็ถามประจำว่ามีกลุ่มเพื่อนยังลูก มีช่วงหนึ่งที่ผมมีเพื่อนแต่ก็ซิ่วกันไปหมด ผมก็เลยต้องฝึกมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ถ้าได้เรียนคลาสนี้ตั้งแต่ปี 1 ผมก็คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นกว่านี้ ช่วงนี้ก็ได้ออกกำลังกายบ้างแล้ว มันสามารถเพิ่มความสุขได้จริง ถึงแม้ Covid จะพรากความสุขบางอย่างของเราไป 

ว่างๆช่วงนี้ก็ได้จัดห้องให้สะอาดเป็นพื้นที่เพิ่มพลังให้ตัวเอง เชื่อมโยงกับคลาส Nature Connection ที่เมื่อเราทุกข์ใจหรือเครียด คิดอะไรไม่ออกก็ยังมีธรรมชาติที่ช่วยได้ โดยใช้วิธีการเชื่อมโยงกับธรรมชาติรอบตัวที่ได้เรียนมาเพิ่มพลังให้กับตัวเอง เรื่องการเท่าทันสื่อ จากที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้สนใจรายละเอียดในสื่อต่างๆพอได้มาเรียนก็ทำให้รู้ว่าต้องไตร่ตรองมากขึ้น เพราะบางทีดูแต่หัวข้อข่าวไม่ได้ ชอบเขียนเวอร์เกินจริง เพื่อดึงดูดความสนใจของคนอ่านทำให้เข้าใจผิด 


ส่วนเรื่องการตั้งคำถามตรงนี้ก็ถือว่าผมพัฒนาอยู่พอสมควร ทำให้ดูคนได้ง่ายขึ้นสามารถเก็บรายละเอียดได้ แบบเวลาใครมีปัญหาแล้วมาปรึกษาผมก็ควรฟังอย่างตั้งใจ ฟังเขาให้ดีจริงๆจากที่แต่ก่อนฟังแบบเล่นๆทำให้ดูไม่จริงใจ พอเราเป็นส่วนที่ช่วยแก้ปัญหาเขาได้ เราก็จะภาคภูมิใจในตัวเอง และเขาก็พร้อมที่จะช่วยเหลือเราเมื่อเราทุกข์ใจได้เช่นกัน 

ส่วนเรื่อง Empathetic Body Listening อันนี้ชอบที่ได้ใช้ร่างกาย ใช้แรง ก็ได้รู้บุคลิกของตัวเองจากที่เพื่อนๆได้บอกจุดดีและจุดที่ไม่ดีของเราเพื่อพัฒนาบุคลิกของตัวเอง และเข้าใจภาษากายของคนอื่น ส่วนงาน Odyssey Plan งานนี้ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ทำงานนี้มาก เปรียบเสมือนเส้นทางอาชีพของเราในอนาคตทำให้รู้ตัวเองว่าต้องการทำงานอะไร ผมก็จะชอบในสิ่งที่ตัวเองหลงรักกับมัน อย่างเช่น ร้านก๋วยเตี๋ยวน้ำแดงอันนี้ผมก็คิดมาสักพักแล้วว่าถ้าทำน่าจะดี แต่ยังไม่มีความมั่นใจพอ เมื่ออาจารย์ให้วางแผนอาชีพของเราในอนาคต ผมก็ไม่ลังเลเลยที่จะใส่แผนนี้ลงไป พอได้แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนก็ทำให้ผมมีความมั่นใจ มุ่งมั่นที่จะเปิดร้านให้ ได้ (ถ้าเปิดได้อาจารย์มาลองชิมด้วยนะครับ) จนถึงตอนนี้เพื่อนจะชอบเรียก “พีคก๋วยเตี๋ยวน้ำแดง” ผมชอบนะที่เพื่อนเรียกยังงี้ จะได้เป็นการย้ำเตือนผมถึงความฝันของผม จากที่พูดอาชีพของผมให้เพื่อนที่มอและอาจารย์ฟัง ทุกคนก็รับฟังผมเป็นอย่างดี ทั้งยังสนับสนุน ทำให้ผมกล้าที่จะเล่าความฝันให้เพื่อนตอนสมัยมัธยมฟังทำให้ได้รู้ว่าก็มีเพื่อนที่สนใจที่จะเปิดฟาร์มผักเหมือนกัน ทำให้ตรงส่วนนี้เป็นแรงผลักดันผมเข้าไปอีก ว่ามีเพื่อนที่จะเป็น Partner กล้าที่จะทำตามแผนของตัวเอง มีพลังในการทำตามความฝันของตัวเอง กล้าที่จะออกจากกรอบตามที่อาจารย์ได้สอนอยู่เป็นประจำ

สุดท้ายนี้ผมก็ต้องขอขอบคุณอาจารย์ที่เปิดสอนคอร์สนี้ในรุ่นผม และขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่สละเวลามาสอนให้ความรู้ดีๆให้พวกผม ผมก็จะนำความรู้ที่ได้เรียนมาไปบอกต่อกับเพื่อนที่ไม่ได้เรียนให้เป็นคนที่ดีขึ้น ผมก็จะนำข้อดีของตัวเองที่อาจารย์ได้บอกผมในเรื่องความจริงใจ ไปใช้ในการอยู่ร่วมกับคนอื่นในอนาคต มองคนอื่นให้เป็น ชื่นชมตัวเองเยอะๆและจะพัฒนาจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นให้ได้ ผมและเพื่อนๆก็ได้มีการพัฒนา สนิทสนม ขึ้นกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด แล้วจะสนิทสนม ค่อยช่วยเหลือกันขึ้นไปอีกในอนาคต

นิสิตคนที่ 2

จริงๆ เริ่มแรกคิดว่าจะไม่ลงวิชานี้แน่ๆ เพราะจากที่ไปฟังรุ่นพี่มาก็คือไม่ใช่ตัวเองแบบมากๆ มันเป็นวิชาที่ดูแล้วจะต้องเปิดเผยนิสัยและความคิดของตัวเอง แต่อยู่ๆ ตอนนั้นก็รู้สึกอยากเริ่มทำอะไรที่ออกจาก safe zoneของตัวเองบ้าง แบบอายุก็เริ่มมากขึ้นแล้วน่าจะลองทำอะไรที่ไม่เคยและไม่ชอบดูบ้าง 

ตอนที่ลงเรียนก็คิดไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่อาจารย์วิชาให้ทำและจะพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี้ให้มากที่สุด แล้วคาบเริ่มแรกของวิชานี้ก็เป็นเกี่ยวกับการทำกิจกรรมที่ต้องแสดงออกทางอารมณ์และร่างกาย ซึ่งหนูแบบไม่ชอบอะไรแบบนี้ แต่ตอนได้ลองทำมันก็ไม่ได้แย่อะไร โดยรวมทุกกิจกรรมที่หนูทำมา หนูได้เรียนรู้เยอะมาก ได้เข้าใจการใช้ชีวิตที่ไม่เคยมีใครสอนหนู หนูได้เข้าใจตัวเองและคนอื่นๆมากขึ้น หนูได้ลองทำสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้แต่จริงๆแล้วตัวหนูก็สามารถทำได้ หนูได้รู้จักเพื่อนๆที่สนิทและไม่สนิทกับหนูมากขึ้น หนูได้ความรู้จากแต่ละคลาสมาปรับใช้กับชีวิตจริงจริงๆ การเขียนและบอกความรู้สึกของตัวเองดีขึ้น กล้าเปิดเผยความรู้สึกต่อคนอื่นมากขึ้น เป็นตัวของตัวเองกับเพื่อนๆมากขึ้น ไม่รู้สึกอึดอัด จริงๆเพื่อนในคลาสที่เรียนเพื่อนส่วนมากคือเพื่อนที่แทบไม่เคยคุยกันเลย แบบแค่ทักกันก็ไม่ได้ทักกัน 

แรกๆตอนเรียนหนูเลยรู้สึกไม่ค่อยแสดงความเป็นตัวเองมากเท่าไร แต่เหมือนคาบที่ไปบ้านอาจารย์ ที่หนูพูดคนแรก เพราะหนูแค่ไม่รู้สึกอาย หรือต้องกลัวอะไรกับเพื่อนๆแล้ว หนูกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง หนูไม่กลัวว่าถ้าหนูพูดไม่ดีเท่าที่ควรแล้วคนอื่นจะคิดยังไงกับหนู หนูแค่กล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองแล้ว หนูได้เข้าใจตัวเองและรู้จักตัวเองมากขึ้นถึงการกระทำและความรู้สึกที่เกิดขึ้น หนูได้ปลดล็อกตัวเองจากสิ่งที่หนูกลัวและอยากทำสิ่งใหม่ๆมากขึ้น 

จริงๆการเรียนคลาสนี้ก็เป็นเหมือนการเรียนการใช้ชีวิต มันเป็น 12 คลาสที่หนูได้อะไรมากมาย ถ้าอยากบอกละเอียดคือจากที่หนูเขียน Reflection เลยค่ะ และหนูรู้สึกดีใจมากที่มาลงเรียนวิชานี้ หนูไม่เสียใจเลยที่เลือกแบบนี้ แม้บางคาบหนูอาจจะมีบ้างที่ไม่เข้าใจ แต่มันก็สอนหนูได้ มันก็มีเรื่องที่หนูเรียนรู้จากมันได้ หนูได้เยอะมากจริงๆจนให้หนูพูดมันก็คงไม่หมด 

หนูเป็นคนทีไม่ค่อยได้คุยกับใคร โลกภายนอกก็ไม่ได้ออกไปเท่าไร สกิลการใช้ชีวิตของหนูมันจึงค่อนข้างต่ำ หนูจึงได้ความรู้มากมายแม้มันจะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับคนอื่น สำหรับหนูแค่หนูออกมาจาก safe zone ของตัวเองได้หนูก็คิดว่าตัวเองเก่งมากแล้วนะอาจารย์ 55555555555555 แล้วก็สกิลการมีปฏิสัมพันธ์กับคสอื่นหนูก็ดีขึ้นเยอะด้วยค่ะ หนูรู้ไม่ได้กลัวการรู้จักหรือเปิดเผยตัวตนของหนูกับคนอื่นเหมือนเมื่อก่อน หนูอยากจะเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นแม้หนูจะไม่ได้สนิทกับเค้า 

หนูว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากกับการมีกำแพงกับคนอื่นค่ะ หนูขอบคุณอาจารย์ที่เปิดคลาสเรียนแบบนี้นะคะและพยายามที่จะทำให้ทุกคนได้เรียนรู้ให้มากที่สุด และพี่คนอื่นๆที่มาสอนในแต่ล่ะคลาสด้วยค่ะ แล้วก็สิ่งที่หนูยังไม่ได้ทำคือเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ค่ะ จริงๆหนูตั้งใจจะเปลี่ยน แต่มันก็มีเรื่องให้ทำยาวๆจนหนูไม่มีเวลาออกไปข้างนอก หนูเป็นพวกพักผ่อนโดยการอยู่ห้อง หนูอยากถ่ายและใช้รูปที่หนูรู้สึกมั่นใจจริงๆ และเป็นรูปที่หนูชอบ และเป็นสถานที่ๆหนูชอบ หนูเป็นคนคิดอะไรลึกซึ้งค่ะ หนูชอบให้มันมีความหมายมากกว่า เพราะรูปที่หนูลงรูปแรกจริงๆหนูก็ยังไม่รู้สึกชอบแต่อาจารย์อยากให้ใส่รูปหนูเลยใส่ไปก่อน ครั้งที่2ถ้าหนูจะเปลี่ยนหนูอยากให้มันมีความหมายต่อตัวหนูและเป็นตัวหนูมากกว่านี้ค่ะ 

นิสิตคนที่ 3

จากการเรียนวิชานี้มาทั้งหมด12คาบ หนูรู้สึกได้รับรู้อะไรเยอะมากกว่าแต่ก่อนจริงๆ แต่ที่หนูชอบคลาสนี้มากๆคือ การที่ได้มีกิจกรรมร่วมกับเพื่อน มีการรับฟัง การแสดงความเห็น การพูดคุยกับเพื่อน ได้คุยกับเพื่นที่ปกติไม่ค่อยมีโอกาสคุยกัน เหมือนได้สบายใจกับคนเหล่านี้มากขึ้น รู้สึกดีมากๆเลยค่ะ 

โดยปกติหนูเป็นคนร่าเริงมากเวลา อยู่กับเพื่อน พลังดีดไป 100% แต่ถ้าไม่ได้อยู่กับใครแล้วจะเฉื่อยเอื่อยมาก เรื่องมากด้วยค่ะ ร้อนหน่อยก็ไม่เอา กลางวันก็ไม่ชอบ กระเทียมก็ไม่ได้ ไม่ชอบความสกปรก ไม่ชอบไรที่ต้องเสี่ยงหรือยังไม่เคยลอง ไม่ชอบเล่น เครื่องเล่นหวาดเสียว เป็นคนชอบไรซื้อไร ค่อนข้างตามใจตัวเอง ชอบปุ๊ปซื้อปั๊ป อยากทำไรทำเลย พูดจาตรงไปตรงมาจนไปกระทบคนอื่นหรือพูดไม่ค่อยคิด ไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่กล้าที่จะโต้เถียงกับคนอื่น ไม่ค่อยกลัวใครเท่าไหร่ มีจินตนการล้ำเลิศมาก ชอบหนังการ์ตูนแนวแฟนตาซี สืบสวน ชอบความตื่นเต้น เป็นคนทำไรจะทำเร็ว เช่นอ่านหนังสือสอบ จะมุ่งมั่นละสามารถกดอ่านจบได้ภายในเวลาไม่นานแบบมีประสิทธิภาพ ชอบการผ่อนคลายที่บรรยากาศดีๆ โดยคร่าวๆประมาณนี้ 


โดยสิ่งที่คิดว่าเปลี่ยนแปลงไปมากๆ คือ การกล้าแสดงออกต่อหน้าคนอื่น จากทุกคาบที่ต้องแบบมาแสดงเดี่ยว ตอนแรกๆก็เขิน แต่พอหลังๆ เรามั่นใจมากขึ้น  เพราะทุกคนตั้งใจดูเรา และไม่ขำออกมา สนิทกับเพื่อนมากขึ้น กล้าพูดกล้าคุยกล้าแซวกัน ได้มีจิตอาสามากขึ้น แต่ก่อนไม่เคยคิดจะบริจาคเงินหรือไปช่วยเหลือสังคมขนาดนั้น แต่พอตอนมาสายแล้วต้อง ไปโอนเงินเข้ามูลนิธิ ตอนแรกงงมากว่าทำยังไง โอนให้ใคร แต่พอรู้แล้วได้โอนไปเปิดโลกมากว่ามีแปะบัญชีกัน แบบนั้นเลยหรอ อันนี้ก็ทำให้หลังจากนี้ตั้งใจจริงๆว่ามีโอกาสก็จะช่วยเหลือสังคมบ่อยๆมากขึ้น เพราะรู้ช่องทาง แล้วว่าแค่โอนเงิน ไม่ต้องออกไปไกลเลยก็ได้ 

เป็นคนที่ทำไรคิดมากขึ้น ทำอะไรช้าลง ไม่ได้ทำอะไรปุปปัปเหมือน แต่ก่อน ลดลงนิสนึง เช่นตอนใช้เงินซื้อของรู้เลยว่าแบบพยายามคิดมากขึ้นไม่ได้สนใจแต่ความชอบอย่างเดียว คำนึงถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ด้วย การพูดจาก็เหมือนกัน หลายคาบเลยที่สอนให้คิดเรื่องการคิดก่อนทำก่อนพูด ทำให้ตัวเองตระหนักได้ถึงการพูดดีๆ พูดแล้วไตร่ตรองมากขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ใส่ใจความรู้สึกคนมากขึ้น เห็นความแตกต่างในตัวคนอื่นกับตัวเองอย่างชัดเจนจากนพลักษณ์ ว่ามันต่างๆกันจริงๆทำให้เรายอมรับในตัวตน เพื่อนมากขึ้น กล้าที่จะลองอะไรใหม่ๆมากขึ้นจากสื่งที่ตัวเองไม่ชอบหรือกลัว 

อันนี้คงเป็นมาจากคาบที่ไปเดินป่า (จุฑา ไปสวนในมก.) ที่ต้องเหยียบย่ำพื้นดิน มันทำให้รู้สึกก็ไม่ได้แย่มากเลยนะ เลยแบบลองพยามเปิดใจกับหลายๆอย่างมากขึ้น มันทำให้หนูได้ลองกินหัวไช้เท้าดองในไก่บอนชอนค่ะ หนูไม่เคยกินแล้วแต่ไม่เปิดใจเลยรู้สึกได้ว่าไม่เห็นอร่อยเลย แต่พอลองเปิดใจมากินสิ่งที่ตัวเองไมอบละเพิ่งรู้ว่ามันรสชาติดีขนาดนี้ ลุกขึ้นมาขัดห้องน้ำที่บ้านทั้งๆที่ปกติจะไม่ชอบเลยเพราะหนูไม่ชอบความสกปรก แต่หนูก็เปิดใจที่จะอยู่ร่วมกับมันและทำให้มันสะอาดขึ้นตามที่หนูพอใจ ถึงจะรู้สึกหยึ๋ยๆบ้าง แต่ก็รู้สึกดีที่ได้เปิดใจกับอะไรหลายๆอย่าง รวมถึงการได้หาความสุขเล็กน้อยให้ตัวเอง แต่ก่อนจะแบบหงุดหงิดที่ไม่สามารถทำสิ่งที่รู้ว่าตัวเองจะมีความสุขได้ แต่พอจารบอกว่าให้ทำสิ่งที่ทำได้เลยหาความสุขได้ง่ายขึ้นโดนที่ไม่ต้องยึดติดว่าสิ่งนี้คือความสุข 

จากตอนเขียน good time moment คือดีมากกกก ทำให้รู้เลยว่าเล็กน้อยๆมันก็ appreciate ในการใช้ชีวิตเราได้มากๆแล้ว มันทำให้เราทุกข์น้อยลงเยอะมากๆ การที่ได้ผ่อนคลายนิ่งๆ แบบไม่มีสัญญาณโทรศัพท์อีกอย่างค่ะ รู้สึกได้ค้นพบอีกวิธีที่จะฮีลใจเราได้ ที่ไม่จำเป็นต้องไปต่างจังหวัดเลยตอนนี้ ผ่อนคลายมากขึ้น เวลามีเรื่องเครียดๆก็เลือกที่จะไปนั่งบนดาดฟ้าที่บ้าน รับลมเย็นให้ธรรมชาติฮีลเรา (นอกจากน้องจองกุกกี้ที่ฮีลเรา) แล้วก็แบบเรืื่องที่ไม่ไปชี้นำเพื่อนเวลาที่เพื่อนมาปรึกษาเป็นเรื่องที่ได้เรียนรู้ใหม่ เลย ที่ไกด์ให้เค้าคิดเอง เราไม่ควรไปกำหนดทิศทางให้เขา แล้วแบบหลังๆตอนเวลาให้คำปรึกษาใครหนูก็ทำแบบนี้ตลอด อยู่เป็นเพื่อนให้ความเข้าใจเค้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือไม่จำกัดทางเขา ให้เขาได้คิดตัดสินใจเอง และที่สำคัญที่ได้จากคลาสนี้คือการได้รู้จักตัวเองดีขึ้นมากๆในหลายๆด้าน จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบที่เขียนมาได้ และแบบยังได้กล้าที่จะแสดงความทุกข์ความเสียใจให้กับคนอื่นบ้าง แต่ก่อนจะไม่ค่อยกล้าพูดกับใคร จนได้มาคาบที่พูดกับเนย มันทำให้รู้ว่าแบบเพื่อนพร้อมจะรับฟังเราเสมอ เราแค่ต้องกล้าที่จะแชร์เรื่องพวกนี้บ้าง ไม่ใช่แชร์แต่ความสุขเพราะเราคือเพื่อนกัน ไม่ว่าจะด้านคำพูดหรือร่างกาย มันสามารถแสดงออกมาได้หลายรูปแบบเลย

ส่วนเรื่องที่คิดว่าเหมือนเดิม หนูว่าน้อยนะเพราะเวลาเทอมนึงก็นานอยู่ คนเราเปลี่ยนไปอยู่แล้วแต่ที่ยังคงความ เป็นเรา คือความจินตนาการ เป็นคนจินตนาการไม่หยุดไม่หย่อนยิ่งได้เรียนยิ่งจินตนาการเก่งไปอีกค่ะ ละก็ยังเป็นคนพลังงานต่ำเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าหมดตอนอยู่กับเพื่อนแล้ว จะไม่ค่อยมีแรงไปทำอะไร จะชอบหมกตัวอยู่บ้าน อยู่คนเดียวไรงี้ค่ะ แต่ตอนอยู่กับเพื่อนก็ร่าเริงเหมือนเดิม แล้วก็ความลักษณ์4 ยังชัดมากๆเป็นไงก็เป็นงั้น อาจจะดีขึ้นนิสนึงเรื่องที่ยังห้ามใจตัวเองบ้าง ละก็เรื่องที่ซีเรียสกับบางเรื่องก็ยังเป็นอยู่ ค่ะ ถึงจะเปิดใจแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้ สุดท้ายก็ขอขอบคุณจารที่เปิดสอนวิชานี้ แล้วก็ขอบคุณตัวเองที่ลงเรียนมากๆ แล้วก็เพื่อนที่ลงเรียนวิชานี้ด้วยกัน ตอนแรกก็ลงเรียนเพราะเป็นวิชาเบาสมอง แต่ไม่คิดว่าจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเองที่ดีขึ้นแบบนี้ ถ้าไม่ได้มาเขียนก็จะไม่รู้เลยว่าโดยรวมเรามีความเปลี่ยนแปลงมาขนาดนี้ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

นิสิตคนที่ 4

การเดินทางของคลาสนี้ก็มาถึงบทสรุปแล้ว สำหรับตลอด 1 เทอมที่ผ่านมา การตัดสินใจลงทะเบียนเรียนสำหรับรายวิชานี้เป็นสิ่งที่ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องสำหรับผม โดยปกติของผม เป็นคนที่ไม่ค่อยจะคาดหวังอะไรขนาดนั้นอยู่แล้ว ถ้าผมยังไม่ลงมือทำ หรือเริ่มทำก่อน สิ่งที่หวังไว้อย่างเดียวในช่วงก่อนที่จะเริ่มเรียนในคลาสนี้ก็คือ การได้อยู่กับเพื่อน ที่ฟังๆ และดูรีวิวของปีก่อนๆ จากพี่รหัส (พี่นิวตรอน) ทุกกิจกรรมที่ทำจะได้ทำร่วมกับเพื่อนในคลาส และเป็นคลาสที่มีทิศทางไปในทางพัฒนาตัวเองร่วมกับคนอื่นๆ เลยตัดสินใจที่จะลงเรียนรายวิชานี้ 

เมื่อได้เริ่มคลาส คลาสแรกผมไม่มีพลังงานที่จะทำกิจกรรม และแอบรู้สึกต่อต้านเพราะตัวเองเป็นคนที่รู้สึกว่าไม่ชอบทำกิจกรรมที่ต้องมาแสดงออก ไม่ว่าจะเป็นในแง่ความคิดเห็นที่แสดงออกมาเป็นคำพูด การแสดงออกด้านร่างกาย เช่นกิจกรรมการแสดงละครในคาบแรกเลย ผมอึดอัดที่จะทำแบบนั้น จิตใจข้างในมันก็ต่อต้านการทำแบบนี้เป็นทุนเดิม ถึงแม้ว่าในคลาสนั้นจะมีแต่เพื่อนที่เจอหน้าคร่าตากันมาตลอด 4 ปี มีทั้งสนิทและไม่สนิท แต่ทุกคนก็รู้จักกัน แต่ข้างในมันยังคงบอกว่า พื้นที่นี้มันยังไม่ปลอดภัย ไม่ใช่ Save Zone ของผม เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องยากมากๆสำหรับตัวผมเอง และเป็นสิ่งแรกๆ เมื่อได้เรียนในคาบนี้ที่ผมอยากเอาชนะมัน มันจะมีความคิดที่ว่าเพื่อนคนนี้เช่น ติม ติมเป็นคนเงียบ ผมสนิทกับเขาผมรู้ดีว่าเขาคงจะไม่กล้าอะไรขนาดนั้น และเราก็มีหลายๆอย่างที่เหมือนกัน คงจะรู้สึกแบบเดียวกันแน่ๆ แต่ไม่เลยมันคือการตัดสินในตัวคนอื่นของผม คาบแรกผมได้เห็น ติม แสดงท่าทางแบบชนิดที่ว่าคงจะไม่เคยเห็นติมทำแบบนี้ เขาแนะนำตัวด้วยท่าทางและพลังแบบที่ผมไม่คิดว่าเขาจะแสดงออกมา มันทำให้ความคิดที่อยากจะเอาชนะของผมออกมา ในเมื่อคนอื่นทำได้ โดยเฉพาะคนที่ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะทำอะไรแบบนี้ เขากลับทำมันออกมาได้ แสดงว่าไม่ช้าก็เร็วผมก็คงทำได้เช่นกัน แต่คาบแรกนี้ก็ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้น 

ต่อมาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับนพลักษณ์ ซึ่งผลออกมาจากการสังเกตตัวเองเป็นลักษณ์ 9 ผมชอบใจที่ได้เป็นลักษณ์นี้เพราะไม่ได้ฝืนและคิดว่ามันคือตัวตนของผม ผมไม่ชอบการปะทะกับใคร อยากคุยกับเขาด้วยความประณีประนอมด้วย เลยคิดว่าลักษณ์นี้คือลักษณ์ของผม แต่บางทีมันสะท้อนให้เห็นว่าผมไม่มีทางเป็นของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกถึงตัวเองจริงๆ ผมเป็นคนนึงที่เห็นอกเห็นใจคนอื่นอยู่แล้ว เข้าใจมุมมองของคนอื่นอยู่ แต่กลับไม่เข้าใจมุมมองของตัวเองในบางครั้ง ความคิดของตัวเองสะเปะสะปะไปคนละทิศทาง ค่อนข้างที่จะย้อนแย้ง ไม่ค่อยได้รับรู้สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ โดยรวมเลยคิดว่าไม่ค่อยชอบตัวเองสักเท่าไหร่ แต่ด้วยอะไรบางอย่าง อาจารย์ได้ให้เราสรุปความภูมิใจของเราเกี่ยวกับตัวเราเอง ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมอยู่บ้านเป็นเหมือนการบ้านในช่วงปีใหม่ซึ่งผมอยู่แต่กับตัวเองจริงๆ ก็ได้นึกสิ่งต่างๆที่เราชอบตัว และก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเยอะถึง 23 ข้อ และก็ได้ย้อนคิดว่าเออชีวิตตัวเองนี่ดีในหลายๆเรื่องเลยนะ เราเองก็มีดี จากที่ไม่ค่อยมั่นใจในหน้าตา รูปลักษณ์ภายนอกตัวเอง ก็กลับมาชอบที่เราเป็นอยู่ ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจในจุดนี้เพิ่มขึ้นด้วย ก็คือการแต่งตัว 


ต่อมาสำหรับเรื่องการรับฟัง ไม่ว่าจะรับฟังข่าวสาร รับฟังคนรอบข้าง คลาสนี้ได้สอนให้ผมเข้าใจ และจัดการมันได้โดยที่ผมไม่รู้สึกตัว ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่มักจะเตรียมพร้อมอยู่แล้ว เช่นการสอบ ผมอ่านหนังสือสอบก่อนจะถึงวันสอบล่วงหน้าเป็นเดือน เป็นสัปดาห์ แต่นี่มันก็เป็นเพียงความรับผิดชอบที่เราต้องทำอยู่แล้ว แต่การเตรียมพร้อมที่ได้มาเนี่ย เป็นการเตรียมพร้อมที่จะรับฟัง และให้คำปรึกษาแนะนำกับคนอื่นได้ การเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ เพราะผมเป็นคนที่กังวลไปก่อน เป็นปะเภทตีตนไปก่อนไข้ ซึ่งส่งผลกับสุขภาพจิตของผมทีเดียว แต่ผลมันสะท้อนได้ชัดมากหลังจากเรียนคลาสนี้ไปเกิน 70 % เป็นช่วงสอบ  Final Project ซึ่งความคิดของผมเปลี่ยนไปคือในเมื่อผมเตรียมตัวมาดี ทำงานได้ดี หรืออะไรก็ตามได้ดีแล้ว มันทำให้ผมไม่กังวลและพร้อมที่จะเผชิญมัน โดยที่ไม่รู้สึกประหม่า กังวลใดๆเลย ย้ำว่าเลย! แล้วผลมันกลับออกมาดีด้วย อาจารย์ชื่นชม ทำให้กลายเป็นพลังให้ผมมั่นใจในตัวเองมากขึ้นไปด้วย 

ก็ย้อนกลับไปในช่วงเวลาที่สับสนกับตัวเอง ไม่รู้ตัวเองว่าอยากทำไรแน่ อาจารย์มอบหมายงานสำคัญชิ้นนึงคือ Odyssey Plan เป็นเหมือนเส้นทางอนาคตของเรา เราอยากทำไร แผนการของเราคืออะไร นำมาผสมกับ Work view, Life view ที่เราเคยวางไว้ คิดไว้ หลังจากผ่านไปหลายคาบเลยได้ Skill บางอย่างที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวผมเนี่ย ต้องการอะไร อยากทำอะไร 3 แผนนี้ผมใช้เวลาทบทวนตัวเองอยู่พอสมควร กว่าจะคลอดแผน ทั้ง 3 แผนนี้ออกมาได้มันทำให้ผมเห้นทางสว่าง และอนาคตของตัวเอง แต่ที่สำคัญ “ทำให้รู้ว่าเราเองต้องการอะไร” สักที หลังจากที่สับสนมาตลอด ก็ได้มีโอกาสได้เล่าแผนเหล่านี้ให้ทั้งเพื่อนและอาจารย์ฟัง และพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับผมไปตอนไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน และก็รู้ว่าการที่เราพูดอะไรในสิ่งที่เราชอบเนี่ย รู้สึกได้ว่าเออมันมีพลังบางอย่างนะ ทำให้เราพูดมันได้อย่างลื่นไหล ทั้งที่ผมไม่ได้เตรียมตัวขนาดนั้น แสดงว่านี่น่าจะเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ชอบที่จะทำ และได้ตอกย้ำความคิดที่ว่า ผมได้รู้ตัวเองแล้ว หลังจากสับสนมาตลอด จนคาบท้ายๆ อาจารย์ก็มาทักผมว่า ผมเป็นลักษณ์ 7 ที่ชอบหาอะไรใหม่ๆ เบื่อง่าย เป็นคนที่เสพความสุข แสดงว่าพลังงานอะไรบางอย่างของผมเนี่ย สื่อไปถึงคนอื่นได้ และหลังจากนั้นก็ได้รับแรงจูงใจอะไรบางอย่าง และพร้อมที่จะพุ่งชนปัญหา และอุปสรรคแล้ว ซึ่งอุปสรรคต่างๆก็ถาโถมว่าเยอะเลยทีเดียว ก็รู้สึกว่าเราจัดการได้และชนะตัวเองไปแล้ว ผมอยู่กับความอึดอัดและจัดการมันได้ภายใต้การควบคุมของผมเอง ผมไม่ฝืนเลยและอยู่กับมันได้จริงๆ เลือกที่จะไม่จมกับอดีตแทน ซึ่งก่อนหน้าจะมาคลาสนี้ผมยึดติดกับอดีตละฝังใจอยู่พอสมควร จนไม่กล้าทำอะไรหลายๆอย่างๆ ง่ายๆเลยเช่นกระเทียม ผมไม่ชอบกระเทียม มันเหม็นสำหรับผม แต่อยู่ๆก็กินกระเทียมเจียวซะงั้นเหมือนสร้างทางเลือกขึ้นมา จนผมชนะมันโดยใส่กระเทียมสดๆลงในน้ำจิ้มสุกี้ได้ และพบว่ามันก็อร่อยนี่หว่า ก็ชนะตัวเองอีกแล้ว และได้ข้อคิดใหม่คือ ยิ่งหนีอะไรก็จะเจอสิ่งนั้น กลับกันเลยกล้าที่จะเผชิญมากขึ้น  ต่อ 

การเชื่อมต่อกับสิ่งต่างๆก็เป็นสิ่งสำคัญแต่ผมมักจะเมินเฉย ตีมึนอยู่บ่อยๆ แต่มานึกขึ้นได้ว่าเออเรารักของเล่น รักของสะสม รักสิ่งของของเรานะ แสดงว่าไม่ได้ตีมึนหรือเพิกเฉยกับมันนี่ ซึ่งสิ่งนี้ได้จากคลาส Nature Connection กลายเป็นว่าผมสามารถเอาตัวเองเนี่ยไปเชื่อมกับสิ่งอื่นๆ เช่นธรมมชาติได้เช่นกัน และก็สามารถสื่อได้ให้คนอื่นรับรู้ความรู้สึกเราได้ดีมากกว่าแต่ก่อนมากเลย สิ่งที่ทำให้คิดแบบนี้ได้ และเป็นเหมือนหลักฐานก็คือการที่อาจารย์นำที่ผมเขียน ให้คนอื่นในคลาสหรือวิทยากรได้อ่าน ผมอ่านที่พี่ดุจดาวได้โพสต์ใน Facebook ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกดีใจมาก และก็เพิ่งรู้ว่าคนอื่นก็สามารถรับรู้ความตั้งใจและความรู้สึกเราได้ แสดงว่าการที่เราเป็นคนเก็บรายละเอียดและใส่ใจทำอะไรบางอย่างมันจะสามารถผลักดันเราได้เช่นกัน และเหมือนได้ช่วยเหลือคนอื่นด้วย เขายินดีดีใจ เราก็ยินดีเป็นสองเท่าทำให้อยากช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น อยากใส่ใจให้มากกว่าเดิม 

สรุปสั้นๆสิ่งที่เปลี่ยนไปสำหรับผมคือสามารถเอาชนะตัวเองได้ในหลายเรื่องที่พูดไป กล้าเผชิญอุปสรรค กล้าที่จะพูดความรู้สึกมากขึ้น และก็ได้พัฒนาสิ่งดีๆที่เรารู้สึกได้ว่าเรามีมากขึ้นกว่าก่อนเรียน อยู่กับความอึดอัดได้ และส่งเหล่านี้มาได้โดยที่ผมไม่ทันรู้สึกตัวด้วยซ้ำ จนได้มาทบทวนตัวเองในครั้งนี้ และสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนาต่อไปอีกคือด้านพลังงาน มันมากกว่าก่อนเรียนคลาสนี้ แต่มันต้องได้มากกว่านี้อีก ต้อง Push ให้มากกว่านี้ ใส่ให้เต็มมากกว่านี้ได้แน่นอนต้องพัฒนาต่อยอดต่อไป ความกล้าแสดงออกที่ยังไม่มั่นใจขนาดนั้น การพูดต่อหน้าคนอื่น ต้องมั่นใจให้มากขึ้น และนี่คือสิ่งที่ผมจะเอาชนะมัน เอาชนะตัวผมเองต่อไป ผมจะไม่ยอมแพ้

สุดท้ายนี้ขอบคุณตัวเองก่อนเลยที่สามารถทำมันได้ รู้ว่าเราจะทำอะไร และต้องเผชิญต่อไปและเอาชนะมันได้แน่ ผมมั่นใจ! ขอบคุณอาจารย์จุฑาที่สร้างคลาสนี้ขึ้นมาให้กับเด็กวิศวะที่ไม่ค่อยจะมีสกิลอะไรพวกนี้ให้กับผมและเพื่อนๆ ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาครับ เป็นสุดยอด Good time Moment สำหรับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมหาลัย มันทำให้ผมเป็นคนที่เยี่ยมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนและรู้สึกชื่นชม และนับถือตัวเองมากขึ้นเป็นเท่าตัว ขอบคุณจากใจครับ ผมจะชนะตัวผมเองต่อไป

Comments