เมื่อฉันฟังร่างกายตัวเอง

ฉันเป็นป้าเนิร์ดอาจารย์คณะวิศวะ ใช้ร่างกายเยอะก็จริง แต่ก็อยู่ใน comfort zone เช่น โยคะ เทรนเวท เดินป่า ฉันคอนเน็คกับร่างกายได้ แบบสั่งได้ว่าให้เกร็งตรงนี้ ผ่อนคลายตรงนั้น ตรงนี้ตึง ฉันไม่มั่นใจในการเต้นรำหรือการใช้ร่างกายของตัวเอง แต่ฉันรู้ว่าฉันควร experiment กับร่างกายในแบบอื่นๆ บ้าง เคยเข้า Drama Therapy ของครูฝรั่งคนหนึ่ง ฉันไม่รู้สึกประทับใจ ไม่คอนเน็คกับครูและวิธีการ

ฉันหยุดเข้า Workshop มาพักใหญ่ๆ เพราะไม่อยาก ช่วงวันหยุดยาวนี้ก็ได้เข้าสองอันติดกัน อันแรก Life Mission ของครูวิคตอเรีย ส่วนอันที่สองเป็น Empathetic Body Listening ของครูดุจดาว ที่วัชรสิทธา ฉันรู้จักนางเพียงผ่านหนังสือปีแสง ที่เป็นอัตชีวประวิติของนาง และเคยฟังพ็อตคาสท์ R U OK

Body Listening เป็น Workshop ที่ฉันไม่ได้จดอะไรมากนัก เพราะส่วนใหญ่เราทำมากกว่า ฉันจะลองไล่เรียงดูว่าฉันทำอะไร และรู้สึกอย่างไร 

วันแรก: ฟังตัวเอง

ครูแทบไม่ได้แนะนำตัวเอง บอกข้อตกลงร่วมกัน 3 ข้อ คือ ไม่ไปเล่านอกวง, ไม่ใช้ความรุนแรงทั้งคำพูดและท่าทาง, หลีกเลี่ยงการตัดสิน ว่าสวย/ไม่สวย ดี/ไม่ดี ให้พวกเราแนะนำตัวและความคาดหวัง

เราวอร์มร่างกายด้วยการทำท่าวอร์มคนละท่า ที่เราคิดว่าร่างกายเราต้องการ ณ ขณะนั้น แล้วทั้งวงก็ทำตาม ฉันชอบไอเดียนี้ เพราะกลุ่มได้คอนเน็คกันแบบเป็นทีมด้วย ได้จูนพลังงานเข้าด้วยกัน 


ครูอธิบายถึงคุณภาพ 8 อย่างที่เป็นเหมือนหยินหยาง ดังนี้

  1. น้ำหนัก คือ ความตั้งใจหรือเจตจำนง (Intention/willingness): เบา vs. หนัก ความเบาอาจมีเจตนาอยากจะดูแล เกรงใจ หรือรู้สึกว่าไม่ใช่ที่เรา 
  2. เส้นผ่านทาง (Space) คือ ความตั้งใจ Attention or focus: ยืดหยุ่น (Flexible) vs. ตรง (Intense) คนยืดหยุ่นชอบทำอะไรหลายอย่างพร้อมกัน ไม่โฟกัส มี Awareness รอบตัวมาก ส่วนคนตรงก็ทำอะไรทีละอย่าง
  3. เวลา/ความคิด (Thinking): ยืดถ่วง vs. กระชับ (Tight)
  4. Flow/Emotion: Free flow vs. ควบคุมหรือต้าน (Controlling/Focus) พวกฟรีโฟลวก็ใช้อารมณ์นำ ส่วนพวกควบคุมก็เน้นความถูกต้องและเหมาะสม
คนที่มีลักษณะอันแรกของทั้งสี่ด้านเป็นพวกดื่มด่ำ (Indulge) ส่วนคนที่มีอันที่สองของทั้ง 4 ด้านเป็น Fighter แน่นอนว่าโหมดปกติของฉันคือ Fighter

ครูนำเราพาทำท่าทั้ง 8 คุณลักษณะนี้ด้วยมือและแขนข้างที่ไม่ถนัด เพื่อให้เราคุ้นเคยกับมัน ตอนแรกทำขณะนั่งเป็นวง แล้วก็ยืนเป็นวง แล้วก็ทำทีละ 3 คน ฉันว่าครูคงค่อยๆ บิลท์ความกล้าของเรา ทำให้เราคุ้นชินกับการถูกมองขณะที่ทำท่า

ขณะที่ฉันทำท่าของคุณภาพที่ฉันไม่คุ้นเคย เช่น เบา ยีดหยุ่น ยีดถ่วง Free flow ฉันรู้สึกแปลก บางอัน เช่น เบา ทำให้ฉันรู้สึกไม่มั่นคง แต่ก็รู้สึกสบายและผ่อนคลายเมื่อได้ทำ ส่วนคุณภาพที่ฉันคุ้นชิน เช่น ควบคุม ฉันรู้สึกถึงความเกร็งของกล้ามเนื้อที่ต้องต้าน แต่ก็ทำได้เลย ครูไม่ต้องมาจับให้ฉันต้าน

ทำท่า หนัก ตรง กระชับ โฟกัส แล้วเหนื่อย บทเรียนที่หนึ่งคือ อ๋อ.. เพราะฉันทำท่าแบบนี้ประจำนี่เอง ฉันถึงเหนื่อย สมควร!

ครูให้เราพิจารณาถึงคุณภาพที่เราขาด แล้วให้คิดท่า (Choreograph) ท่าที่มีคุณภาพเหล่านี้เป็นท่าประจำตัวของเรา

เราต้องออกมาหน้าห้องทีละสามคน ทำท่าเรา ทำสองรอบ พอทำเสร็จ หายใจเข้าหายใจออก 1 รอบ กลับไปนั่ง แล้วเพื่อนมาทำท่าแทนที่เรา

สิ่งที่แปลกใจคือ ฉันไม่เขินเลย แต่ฉันก็ไม่ได้สบตากับเพื่อน มองเข้าในมาก  

วันแรก เราฟังตัวเองเป็นหลัก ครูให้จับคู่ คนหนึ่งเล่าด้วยร่างกาย ส่วนอีกคนฟังและคอยดูแลเพื่อน รอบแรก ครูให้หลับตาและมีเพลงนำ มีเวลา 6 นาทีในการเล่า คำถามคือ "เดือนที่แล้วเป็นอย่างไรบ้าง" พอฉันทำเสร็จ แสดงท่าทางกับคู่ได้ แต่ห้ามพูด ห้ามถามถึงเรื่องราวที่ฟังผ่านกาย แล้วก็สลับให้คู่ทำ ครูหรี่แสงไฟ เพื่อให้เราไม่เขิน เสร็จทั้งคู่ แล้วเรา Reflect กันเป็นวงใหญ่

ทำรอบสอง ให้ลืมตาแต่ยังมีเพลงนำอยู่ คำถามคือ ฉันหลงลืมอะไร

สิ่งที่ฉันพบในรอบแรกคือ เออ..ฉันเหนื่อยนะ ไม่รู้ตัวเลยว่าเหนื่อยเพราะเอ็นจอยกับงานที่ทำอยู่ในช่วงนี้ และชีวิตก็ไม่มีทุกข์ใหญ่ๆ เข้ามา ส่วนรอบสอง สิ่งที่ฉันลืมคือลืมพัก

(มีคนถามเรื่องใส่คำถามกับไม่ใส่ การมีคำถามช่วยให้เรามีกรอบ แต่ไม่มีคำถามนำก็ได้) 

ปิดวงด้วยการอยู่กับตัวเอง มองออกไปข้างนอก

กิจกรรมทำให้ฉันเหนื่อยและหิวมาก ขนาดที่กินข้าวเที่ยงเยอะมากๆ แล้ว บ่ายสองตอนเบรค ฉันก็กินอีก แล้วก็หยุด เพราะทำ Intermittent fasting นี่ก็เป็นคุณภาพควบคุม

ฉันเข้านอนอย่างเร็ว เพราะง่วงมาก นอนหลับดีและยาวที่สุดในรอบ 2 เดือน ฉันรู้แล้วว่าฉันควรฝึกคอนเน็คกับร่างกายแบบนี้ ถึงแม้ฉันนั่งสมาธิทุกเช้า เขียนบันทึกบ่อยๆ ฉันไม่ได้แปลกแยกกับตัวเอง แต่ฉันคิดว่าฉันต้องการคอนเน็คกับตัวเองแบบไม่ใช้ภาษาบ้าง

วันที่สอง: ฟังคนอื่น

ครูเริ่มด้วยการวอร์มอัพเหมือนเมื่อวาน ถามว่าใครอยากจะเพิ่มข้อตกลงร่วมกันไหม 

จำไม่ได้ว่าช่วงเช้าทำอะไร ช่วงบ่าย ครูให้ฝึกใช้ Intuition กลุ่ม ให้นับ 1-2-3 ให้เราเดินไปรอบห้อง สบตาเพื่อนที่เดินสวน หยุดเมื่อครูสั่งหยุด ให้หนึ่งคนก้าวออกมาพูดหนึ่ง สองคนก้าวออกมาพูดสอง สามคนพูดสาม โดยไม่ให้เตรียม Strategy ใดๆ เรานับได้ไม่ยาก

ครูอัพเลเวลด้วยการให้นับไปข้างหน้า แล้วนับถอยหลัง 1-2-3-2-1 รอบนี้นาน ครูบอกให้เราเปลี่ยนเป็นเดินถอยหลัง แบบไม่หันหลังไปมอง ฉันชอบการเดินถอยหลัง มันฝึก Sensing แบบใช้ตัวรู้สึก และฝึกไว้ใจด้วย ว่าเราจะปลอดภัย 

ฉันสบตาเพื่อนตอนเดิน แต่ตอนที่หยุดต้องนับ ฉันแทบจะไม่ได้ดูเพื่อน ฉันทดสอบการสังเกตสัญญาณ Intuition ว่าเข้ามาบอกให้ออกตอนไหน มีบางทีถูก และบางทีผิด คือ ออกไปชนกับคนอื่น 

แล้วเราก็ปิดจ๊อบได้ น่าชื่นชมครูที่ต้องคอยสังเกตพลังงานในห้อง และคอยสะท้อนพลังงานเหล่านั้นให้พวกเรารู้ตัว เช่น โทษตัวเอง โทษคนอื่น มองพื้นมากไป ให้ใช้เซ็นส์ไม่ใช่คิด


ครูให้เราจับคู่ฟังเพื่อน คราวนี้เปิดตา มีเพลง หน้าที่คนฟังคือ Mirror เพื่อน และ Keep eye contacts ให้มองตาคู่ตลอดเวลา ครูพูดนำว่าให้เรามี Eye contact ก่อน แล้วคนเล่าจึงเริ่ม เราทำสองรอบ ให้เวลาคนละ 6 นาที
  1. คนฟังทำท่าตามเพื่อนเหมือนเป็นกระจก คำถามคือ "วันหนึ่งที่ฉันรู้ตัวว่าฉันมีความรัก"
  2. คนฟัง Mirror โดยใช้เพียงช่วงลำตัว ตั้งแต่คอถึงสะโพก คำถามคือ "วันที่ฉันรู้สึกถูกท้าทาย" 
ฉันพบว่า เมื่อฉันคิด ฉันจะไม่คอนเน็ค คือ หลุด Mirroring

สำหรับคำถามแรก ฉันเลือกเหตุการณ์สดๆ กับชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่ามาก เมื่อสัมผัสถึงอารมณ์ ก็ทำท่าที่แสดงถึงคุณภาพนั้น แล้วก็ถามตัวเอง แล้วไงต่อ เวลายังเหลือ พอทำเสร็จ แล้วเข้าใจทันทีว่า ความรักที่ฉันมีให้เขาเป็นความรักแบบแม่กับลูก ฉันอยากดูแล และเห็นเขาเติบโต มันไม่ใช่ Romantic love.  ฉันเคยคิดว่าการมีความรักคือการสูญเสียอิสรภาพ และปฏิเสธมัน มี Love-hate relationship with love. กับกิจกรรมที่สองนี้ ฉันพบว่าความรักนำมาซึ่งคุณภาพที่ฉันขาด คือ เบา flexible free-flow ยืดถ่วง เพราะฉันทำท่าที่เกี่ยวกับคุณภาพแบบนี้ทั้งหมด ไม่ได้ทำท่าของอีกฝั่งเลย

ก่อนหน้านี้ ฉันรู้ถึงกฏแรงดึงดูดของขั้วตรงข้ามแบบนี้ในเชิงโลจิก แต่นี้เป็นประสบการณ์ตรง ที่พุ่งถึงใจว่าความรักนำมาซึ่งความเปิดกว้างและความเปลี่ยนแปลง ที่ฉันจะหลอมรวมขั้วตรงข้าม ถ้าฉันไม่บ้ายืนยันที่จะใช้คุณภาพที่ฉันคุ้นเคยกับคนที่รัก เช่น หนัก ควบคุม

ฉันก็ได้คำตอบที่เป็นประสบการณ์ตรงว่าทำไมฉันถึงดึงดูดเข้าหาคนที่มีคุณภาพตรงข้ามกับฉัน เพราะฉันโหยหามันเพื่อความสมดุล นั่นคือ ถ้าฉันสมดุล มีทั้งสองด้านของ 4 คุณภาพ ฉันจะอยู่กับใครก็ได้  

สำหรับคำถามที่สอง ฉันคิดไม่ออกตอนแรก เพราะไม่ได้ถูกท้าทายตรงๆ ด้วยออร่า Bitchy ของฉัน เคสหนึ่งที่ฉันคิดว่าจบไปแล้วก็ขึ้นมา ฉันทำท่าโกรธในตอนแรก ขนาดนั่งก็ทำได้ เอามือฟาดพื้นแรงๆ เอาเท้าฟาดพื้น ทำแล้วคอนเน็คกับพลังโกรธทันที แบบฟาดเปรี้ยงแล้วตื่นทันที สิ่งที่พบใต้ความโกรธคือความเสียใจ ใต้นั้นคือความผิดหวัง และใต้ความผิดหวังคือความถูกท้าทาย Yes!! Finally!

แล้วก็สะท้อนเป็นวงใหญ่ ถาม ครูพูดถึงการดูแลตัวเอง (Self care) หลังการฟัง ให้ visualize ว่าเราอุ้มถังเปล่าใบใหญ่แล้วเรื่องที่เพื่อนเล่า ใส่ลงในถัง เราต้องอุ้มถังเพราะเราจะได้รับรู้ว่าถังหนักหรือเบา 

เราเคลียร์พลังงานจากการฟังเพื่อนด้วยการสังเกตว่ามีอะไรติดอยู่ในร่างกายไหม ให้ทุกคนเสนอท่าที่เอาออก แล้วคนที่เหลือในวงทำตาม

ปิดวงด้วยการสำรวจร่างตัวเอง สำหรับฉันคือการ imprint ประสบการณ์ในร่างฉัน 

มีสิ่งที่ฉันชอบและได้เรียนรู้หลายอย่าง เช่น ความสำคัญของ Eye contact เดิมเป็นคนไม่ชอบสบตาคนฟังเพราะรู้สึกเสียสมาธิเวลาเล่า จริงๆ มันคงสะท้อนคุณภาพการควบคุมของฉัน; ถ้าเราจะทำงานร่วมกับคนๆ หนึ่ง ให้เข้าหาเขาด้วยคุณภาพที่เขาคุ้นเคย; การสังเกตและ hold group energy ของครูดุจดีงามมากๆ ชอบความเบาแต่มั่นคงและปลอดภัยของนาง





 

Comments