เรื่องของเราที่เราบอกตัวเอง


ฉันสนใจพุทธศาสนา ปรัชญา และจิตวิทยา  เมื่อมาภาวนา ฉันสังเกตเสียงในหัวของฉัน ซึ่งก็คือความคิด ว่ามันพูดอะไรบ้าง บวกบ้าง ลบบ้าง ดูไปเรื่อยๆ พบว่า เสียงในหัวคือเรื่องราวที่เราบอกตัวเอง บางเรื่องก็มีธีมซ้ำๆ เหมือนเป็นมนต์สะกด

ในคาบ นิสิตคนหนึ่งพูดว่า เขาคิดว่าอ่านหนังสือไปก็เท่านั้นแหละ ก็ได้คะแนนเท่านี้ ฉันตกใจว่า เอ๊ย คิดแบบฟันขาตัวเองได้ด้วยเหรอ ให้พรตัวเองว่าฉันทำไม่ได้ ก็น่าจะทำไม่ได้จริงๆ นั้นแหละ

อีกเคสหนึ่งก็เป็นลูกศิษย์ปริญญาเอกที่อายุมากกว่าฉัน เธอมีแฟนตั้งแต่อายุ 19 อยู่ปีหนึ่ง ซึ่งกลายมาเป็นสามี อยู่กันมา 20 ปีแล้วสามีก็ไปมีคนอื่น เรื่องราวผ่านไปสิบปี เธอไป Workshop สารพัดแทบจะทุกวีคเอนด์ พบจิตแพทย์ ถูกโค้ชด้วยไลฟ์โค้ชมือหนึ่งของประเทศ แต่อาการก็ยังดูจะอยู่ที่เดิม

การที่เราติดอยู่กับเรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเองอันเดียว มีความสัมพันธ์อย่างเดียวกับเรื่องราวนั้น มันไม่อนุญาตให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เหมือนเรานิยามตัวเองด้วยเรื่องทุกข์เหล่านั้น อาจเป็นได้ว่าถ้าเราปล่อยเรื่องซวยๆ ของเราไป เราอาจจะไม่รู้ว่าจะนิยามตัวเองอย่างไร จึงกอดเรื่องเหล่านั้นไว้ เพราะมันคืออีโก้ของเรา ว่าฉันคือผู้ถูกกระทำ ฉันเป็นคนดี และฉันคือเหยื่อ

อีกด้านของการไม่เป็นเจ้าของเรื่องราว (We don't own our stories) คือ เราไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงมัน เราได้มอบอำนาจนี้ให้กับคนอื่นหรือผู้ที่กระทำเรา เช่น เพื่อนของฉันเป็นผู้หญิงเก่งมาก มีน้องสาวคนเดียวที่อายุห่างกันไม่ถึงปี น้องไม่เก่งเท่าพี่ ถูกเปรียบเทียบตั้งแต่เด็ก น้องมีปมนี้ และก็อยู่กับเรื่องนี้มาตลอด คล้ายเป็นพันธนาการที่ไม่ให้เขาไปไหน คุยกับพี่สาวก็คุยแต่เรื่องความทุกข์ของตัวเอง และไม่ช่วยพี่ดูแลพ่อแม่ที่ชรา เพราะว่าฉันเองก็ทุกข์มากแล้ว 

สำหรับฉัน น้องสาวได้มอบอำนาจการปลดปล่อยตัวเองจากทุกข์ให้กับพี่ หรือพ่อแม่ หรือญาติทั้งหลายที่มาตัดสินเขา ว่ามีอำนาจในการให้ความทุกข์ความสุขกับเขา เขาไม่มีอำนาจเหนือตัวเอง

เพื่อนของเพื่อนอีกคน อายุ 40 กว่าปีแล้ว ในงานศพของพ่อ ยังขอให้เพื่อนฉันไปถามแม่ของเขาว่า ทำไมไม่รักเขา เป็นดราม่าเดิมๆ ที่ออนแอร์ในหัวมาหลายสิบปี

ฉันคิดว่าเราเปลี่ยนเรื่องราวที่เราพร่ำบอกกับตัวเองได้ด้วยการสังเกต และเบรคเสียงเดิมๆ ใส่เสียงใหม่เข้าไป ฉันคิดว่ามนุษย์แต่ละคนมีโจทย์ไม่เหมือนกันในชีวิตนี้ และถ้ายังแก้โจทย์นี้ไม่ได้ในชาตินี้ ชาติหน้าก็มาใหม่ด้วยโจทย์เดิม อย่างไรก็ต้องเผชิญ

บลูอ่านบล็อกนี้แล้วบอกว่า "เป็นงั้นเลยพี่ ความคิดปรุงแต่อารมณ์มโนภาพ พลังงานปรากฏรูป"

Credit: Brene Brown.  หนังสือเล่มไหนซักเล่าหนึ่ง นางพูดเรื่อง Own our stories บ่อยมากๆ ฟังนางได้ที่ https://brenebrown.com/videos/

Comments