ด้านที่เปลี่ยนไป

ฉันถูกเพื่อนถามเชิงแซะว่า ที่บอกว่าตัวเองเปลี่ยนน่ะ เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง แต่ฉันคิดว่าน่าสนใจและควรค่าแก่การตอบจริงๆ 

ด้านร่างกาย

ฟังป้า Carolynn Myss แล้วแกบอกว่า ความภูมิใจ (Self esteem) เกี่ยวข้องกับร่างกายภายนอกด้วย เราชอบร่างกายของเราหรือไม่ การแต่งกายของเรา ผมของเรา เราดูแลมันอย่างไร เราให้อาหารตัวเองอย่างไร ฉันก็เลยเข้าใจแล้วว่าร่างกายและจิตใจเป็นองค์รวม ร่างกายดีก็ทำให้ใจสบาย (Healthy mind in a healthy body) ถ้าจิดใจผ่อนคลาย ร่างกายก็ผ่อนคลาย ทำงานได้ดีไปด้วย 

ฉันเคยมี Love-hate relationship กับร่างกายฉันมาตลอด ไม่ชอบ อ้วนไป ผิวไม่ดี ส่องกระจกแล้วไม่เคยชอบตัวเอง ตอนนี้ฉันรู้วิธีกิน วิธีการออกกำลังกาย ฉันชอบร่างกาย ผิวพรรณ หน้าตาของฉัน รูปร่างมาตรฐานพอที่จะใส่เสื้อผ้าได้หลากหลาย รู้ว่าส่วนไหนของร่างกายตัวเองที่เด่นกว่าด้านอื่น แต่งตัวเป็น รู้สึกดีเวลาเห็นตัวเองในกระจก

จริงๆ เวลาเราชอบตัวเอง ออร่ามาเอง ไม่เกี่ยวกับเสื้อผ้าเท่าไหร่

ประเด็นนี้เล่าเยอะๆ ไปแล้วในโพสต์นี้

ด้านการทำงาน

เด็กที่ยังแฮงเอ้าท์ด้วยกันหลังจบคลาส
พี่ตู่ที่เป็นวิทยากรรับเชิญของฉันทุกเทอมบอกว่า ฉันเคยบังคับคนให้ทำในสิ่งที่ฉันต้องการ ตอนนี้ฉันนุ่มนวลขึ้น อ่อนโยนขึ้น พี่ณัฐเคยบอกว่าฉันมีความเป็นผู้หญิงน้อย

ตอนนี้ ฉันมุ่งเป้าหรือตั้งความหวังกับผู้คนน้อยลง ผ่อนคลายมากขึ้น โดยเฉพาะนิสิตในคลาส Leadership รอบนี้เป็นรอบที่ห้าของคลาสนี้ ฉันรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงใช้เวลา เร่งไม่ได้ เหมือนต้นไม้ที่โตตามวาระของมัน ให้ปุ๋ยเร่งโตได้ แต่การเติบโตเป็นเรื่องของต้นไม้เอง 

สิ่งที่ฉันให้คือโอกาสและพื้นที่รับฟัง ฉันมั่นใจในกระบวนการของคลาส และความเป็นมนุษย์ของเด็กๆ ด้วย เพื่อนโอบอุ้มกันได้เอง โดยที่ฉันไม่จำเป็นต้องทำเอง

แต่ฉันก็มีด้านที่ตั้งใจท้าทาย หรือผลักเขาให้ไปเจอขอบของตัวเอง เช่น มีนิสิตมาสายอย่างต่อเนื่อง ครั้งแรก 15 นาที ครั้งที่สอง 30 นาที การปรับนาทีละ 10 บาทดูจะไม่ทำให้เขาเดือดร้อน ฉันรวบรวมกำลังและทำท่าโกรธมากๆ ด่าไปชุดใหญ่และบอกว่าถ้าคาบหน้ามาช้าอีก ไปดร็อปเลย ปรากฏว่าการเล่นใหญ่ได้ผล สำหรับฉัน การมีวินัยเป็นเรื่องที่สำคัญ

ทัศนคติที่ฉันมีต่อพวกเขาเป็นความอยากรู้อยากเห็น (Curious) อยากเข้าใจมากกว่าแก้ไข ฉันได้พบเด็กมาในคลาสนี้เกือบร้อยคนแล้ว ฉันมีองค์ความรู้ภายใน (Tacit knowledge) มีเรด้าร์ที่พอจับได้ว่าเด็กคนไหน"ไม่ธรรมดา" และเรียกมาคุยเป็นการส่วนตัว ถามไปเรื่อยๆ ฉันก็ได้รู้จักเขามากขึ้น เขาก็รู้จักฉันมากขึ้น ฉันอยากสร้างความไว้ใจก่อน ถ้าไม่ไว้ใจแล้วจะทำอะไรลึกซึ้ง เปราะบาง ไม่ได้เลย

จริงๆ พอเด็กได้พูดประเด็นตัวเอง ได้รับ Empathy จากเพื่อนและจากตัวเอง การเยียวยาก็เริ่มขึ้นแล้ว

ฉันไว้ใจตัวเองมากขึ้นในการปฏิสัมพันธ์กับเด็ก แต่ก่อนมีกังวลว่าจะมากไป น้อยไป กลัวจะทำให้เสียความรู้สึก แต่ตอนนี้ฉันคิดว่า มันสำคัญที่เจตนา และสำคัญว่าฉันคอนเน็คกับตัวเองไหม มีสติไหมตอนทำ ถ้าเช็คกับตัวเองแล้วผ่าน ก็ทำเลย ซึ่งไม่มีอะไรการันตีว่าทำแล้วจะให้ผลอย่างที่ตั้งใจ ถ้าไม่ดี ก็ขอโทษเด็ก และให้อภัยตัวเอง

ตอนแรกๆ ที่ทำคลาส เคยกลัวว่าฉันจะสูญเสียเวลาส่วนตัว กลัวเด็กหนีบติดเรา ซึ่งก็มีจริง ที่เด็กต้องการปรึกษา ส่งข้อความมาถี่ๆ ฉันบอกวิธีการให้เด็กไปทำ แล้วให้มาบอกผล (คือ ให้ฝึกพึ่งตัวเอง) หรือบางครั้งก็จะตอบข้อความให้ช้าลง 

ตอนนี้ฉันไม่กลัวที่จะเสียเวลา (เดิมคิดว่าไร้สาระ เสียเวลาทำงาน) ฉันชอบการพูดคุยกับนิสิต กับผู้คนมากขึ้น 

ฉันตั้งลำดับความสำคัญได้ว่าอยากให้เด็กเติบโต รู้จักตัวเอง มีพลังในตัวเอง ความรู้สึกที่มีต่อฉันเป็นเรื่องรอง ฉันไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่ทุกเทอม จะมี 1-2 คนที่ยังผูกพันกัน ยังคุยกันอยู่ถึงจบคลาสไปแล้ว  

ด้านงานอื่นๆ ฉันรับงานหลายๆ งานเพราะอยากทำงานกับเพื่อนคนนี้ๆ ไม่ใช่เพราะงานซะทีเดียว นอกจากนั้นฉันไม่พยายามทำอะไรที่รู้ว่าไม่ใช่ทางเรา เพราะเราทำตามเกณฑ์/ความคาดหวังคนอื่นมาเยอะแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่าได้มาก็งั้นๆ  แต่ก็มีรู้สึกผิดบ้างว่าทำงานวิจัย"น้อยเกินไป"

ด้านจิตวิญญาณ

ฉันเค้นตัวเองน้อยลง

ฉันคิดว่าฉันยอมรับด้านมืดของตัวเองและอยู่กับมันได้มากขึ้น ฉันไม่กลัวด้านลบของตัวเอง ก็ยังไม่ชอบเวลามีอารมณ์ลบ เช่น คนคอมเม้น เด็กไม่ appreciate คลาส แต่เราก็อยู่กับมัน (เดิมจะหนีอารมณ์ด้วยการสวนกลับ) พยายามถามและปรับ

การมีเพื่อนที่ดีที่กล้าบอกช่วยได้เยอะ เช่น มู ที่คอมเม้นว่าฉันว่าไม่ยอมอยู่กับอารมณ์เปราะบางของตัวเอง ปัดออก ฉันไม่เห็นตัวเองตามที่เพื่อนพูด แต่ก็รับมาและพยายามสังเกตตัวเองไป หรือเก๋ ที่เคยชมอะไรซักอย่าง แล้วฉันปัด เก๋บอกว่า อ.หญิงรับไปเถอะ ซึ่งเราก็เออ..จริง ทำไมไม่รับไป พยายามถ่อมตัวเพื่อดูเป็นคนดีน่ะสิ

อีกอย่างที่สำคัญคือแต่ก่อนอยากนิพพานมากๆ ตอนนี้ก็ยังอยากอยู่ แต่ไม่ได้มุ่งเป้าเหมือนปริญญาเอกเช่นแต่ก่อน




Comments