My other self


เพื่อนบอกว่าฉันเข้ากับคอร์เซ็ตสีดำมากๆ
เดิมที ฉันไม่เคยชอบส่องกระจกเพราะคิดว่าตัวเองไม่สวย สองสามปีที่ผ่านมาจนฉันอายุ 47 ปี ฉันเริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจัง (เขียนเล่าที่นี่) คล้ายว่าฉันประสบความสำเร็จทางภายนอกไปแล้ว แบบที่ฉันเรียกร้องจากตัวเองตามที่ฉันคิดว่าสังคมและครอบครัวเรียกร้องจากฉัน เช่น เรียน ได้ตำแหน่งวิชาการ เดินทางทางจิตวิญญาณ ปฏิบัติธรรม เข้าคอร์สพัฒนาตัวเองสารพัดสำนัก ไปจนสุดโต่งของหลายๆ ทางมาแล้ว

รูปลักษณ์ภายนอกเป็นด่านสุดท้ายที่ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนมาก จริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะเปลี่ยนมัน เพราะเดิมก็คิดว่าดูแลตัวเองดีแล้ว เป็นสายสุขภาพ ฝึกโยคะมาเกือบ 20 ปี ตอนอยู่อเมริกาก็วิ่ง

ฉันคิดว่าจุดเปลี่ยนจริงๆ คือ ฉันได้ทำงานที่ตอบสนองคุณค่าทางจิตวิญญาณของฉัน คือ เปิดคอร์ส Communication and Leadership มา 2 ปี สี่ครั้ง ฉันรู้สึกได้ว่างานนี้มันเปลี่ยนนิสิตหลายๆ คนได้จากภายใน ฉันรู้สึกว่าผลลัพธ์คุ้มค่ากับการทุ่มเท

ฉันได้พบเสียงเพรียก (Calling) ของฉัน

เมื่อได้พบคอลลิ่งของตัวเอง ฉันได้ปลดล็อกพลังงานภายใน ได้ใช้ศักยภาพของตัวเองจริงๆ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงจากด้านในของฉันเอง ฉันมีพลังงานที่เป็นมิตรขึ้นมากๆ ทั้งกับตัวเองและกับคนอื่น มันเป็น self esteem การนับถือตัวเองจริงๆ ชอบตัวเองแบบถ้าฉันเป็นคนอีกคนหนึ่ง ฉันก็เป็นเพื่อนกับตัวเองได้ ไม่ใช่อีโก้หรือฟูเพราะคำชมเหมือนแต่ก่อน

ไปบ้านกาญจนากับเด็กๆ รูปนี้แค่ปี 2016-7
ที่ผ่านมา ฉันใช้แต่ความเป็นชาย (Masculinity) มากๆ เรียนวิศวะ อยากทำงานเก่งๆ ฉันไม่ได้ให้ค่าความเป็นหญิง (Feminity) ของตัวเอง ไม่ชอบมันเสียด้วยซ้ำ

อีกด้านในตัวฉันคือความเป็นคนลักษณ์สาม (Performer) ที่ให้ค่ากับความสำเร็จและประสิทธิภาพ ไม่ใส่ใจอารมณ์และความรู้สึก คิดว่าคนรักเพราะผลงานของฉัน ไม่ใช่รักที่ฉันเป็นฉัน เดิมฉันรู้สึกว่าความเป็นชายนำความสำเร็จและประสิทธิภาพมากกว่าความเป็นหญิง ความเป็นหญิงมีอารมณ์เยอะไป ดราม่าเยอะทำให้ประสิทธิภาพน้อย ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันเป็นหุ่นยนต์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์นี่น่าจะดี สม่ำเสมอ (Consistent) เชื่อถือได้ คาดเดาได้ และมีประสิทธิภาพ

ในคอร์ส Leadership นี้ ฉันมีหน้าที่ Hold space เป็นพี่เลี้ยง มันทำให้ฉันต้องสวมอาคีไทป์ (Archetype) แม่ มันดึงด้านผู้หญิงของฉันออกมา

ฉันชอบคอนเส็พเชิงจิตวิทยาหรือโค้ชชิ่งที่ว่าเรามีทุกๆ ด้านในตัวเราอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะให้อาหารด้านนั้นไหม ดึงมันออกมาใช้ไหม

ฉันเปลี่ยนจากภายในสู่ภายนอก แบบจับต้องได้ขึ้นเรื่อยๆ เสียงฉันเปลี่ยนไป ฉันเคยไม่ชอบเสียงตัวเอง เวลาได้ยินในคลิปที่อัดเสียงตัวเอง ฉันรู้สึกว่ามันห้วนและกระด้าง ล่าสุด อัดเสียงตัวเองในคลิปวีดีโอให้นิสิต ก็เออ..ดีนะ ไม่โหดเหมือนเดิม

สิ่งที่เปลี่ยนจากการทำคอร์ส Leadership คือ ฉันเป็นมิตรกับตัวเอง

ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่เต็มมากขึ้น คือ มีทั้งหยินและหยาง และโอบรับสองด้านนี้ของตัวเอง

ช่วงนี้ที่อยู่บ้านมาก ฉันซื้อของแต่งบ้านมือสองใน Instagram แล้วอยู่ๆ โพสต์ขายเสื้อผ้ามือสองญี่ปุ่นชื่อเรือนเสื้อผ้าก็ขึ้นมา ขายคอร์เซ็ต กางเกง ชุดว่ายน้ำ ฉันก็เออ.. คอร์เซ็ตน่าลองดีนะ ไม่ซ้ำใครด้วย ก็ซื้อมาลองใส่

รูปแรกที่ถ่ายรายงานมู
เพื่อนฉัน มู บอกว่าให้ใส่คอร์เซ็ตแล้วถ่ายรูปมาให้ดู ฉันก็ถ่ายให้ ฮีชมว่าสวย ก็เลยเอาลง IG/Facebook story  มีคนเข้ามาดูสูงสุดตั้งแต่เล่น Facebook story มา ฉันดูตัวเองแล้วรู้สึกทรงพลังเหมือน Madonna

ฉันค้นเจอรูปตัวเองสมัยเรียนม.ปลาย เห็นแล้วขำ เลยเอามาโพสต์เทียบกับปัจจุบัน ก็เป็นโพสต์ที่มีคนไลค์และเม้นมากที่สุดตั้งแต่เล่นเฟสมาเช่นกัน มีคำวิเศษณ์ที่ไม่เคยถูกใช้กับฉัน เช่น สวย ดูเซ็กซี่ คำสุดท้ายนี้เป็นคำที่ไม่เคยถูกใช้กับฉัน ใน 47 ปีของชาติภพนี้

น่าสนใจที่คำชมมาจากเพื่อนผู้หญิง 90%   เพื่อน LGBT ของฉันบอกว่าผู้หญิงหลายคนอาจจะอยากใส่แบบนี้บ้าง 

ฉันเห็นพลังของเครื่องแต่งกาย การแต่งหน้า ทำผม ในวันที่ฉันใส่คอร์เซ็ต พลังงานของฉันจะเป็นผู้หญิงมากกว่า เป็น outside-in

บางครั้งที่ฉันใส่คอร์เซ็ต ผู้ชายบางคนจะเขินๆ หรือมีพลังงานไม่ปกติเวลาพูดคุยกับเรา

มิน่า ป้า Carolyne Myss ถึงบอกว่า ถ้าอยากปรับ Self esteem ให้เริ่มจากภายนอกก่อน มีอะไรที่เราไม่ชอบในร่างกายของเราแล้วอยากปรับบ้าง

Sexuality หรือ Feminity เป็นด้านที่ฉันไม่เคยใส่ใจ และมันน่า Explore ไม่ได้หมายความว่าจะต้องลุกขึ้นมามีคู่หรือมีเพศสัมพันธ์ แต่มันเป็นพลังชีวิตแบบที่ฉันไม่เคยใส่ใจ  ถ้าอนุญาตหรือโอบรับด้านนี้ ฉันคิดว่าเส้นทางทางจิตวิญญาณของฉันน่าจะน่าค้นหามากๆ




Comments