WFH ของฉัน

Metaphor โดยไม่ได้ตั้งใจ
ของโลกพลิก Upside down
ก่อนทุกคน WFH ฉันก็แทบไม่ Work from office อยู่แล้ว ไปมหาวิทยาลัยเพื่อสอน พบนิสิต เซ็นเอกสาร แต่ไม่ได้นั่งทำงานซักเท่าไหร่  ถ้านั่งทำงาน ก็จะนั่งที่ร้านกาแฟในมหาลัยมากกว่าออฟฟิศตัวเอง ออฟฟิศนิ่งและแคบไป ฉันต้องการพลังงานความเคลื่อนไหว

ฉันเป็นคนไฮเปอร์มากๆ แต่ละวันตารางแน่นเอี๊ยด ออกกำลังกาย ทำงาน นวดหน้า ทำเล็บ นวดตัว และใช้เวลาเยอะมากกับการเดินทาง ตั้งแต่ต้นปี บีทีเอสวิ่งถึงม. ช่วยชีวิตและทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นมาก

จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ WFH ฉันก็ยังออกจากบ้านแทบทุกวัน ไปมหาลัย ไปซุปเปอร์มาร์เก็ต ไปหาลูกน้องที่ตึกอพาร์ทเม้นท์ ขับรถได้รวดเร็วมากๆ ฉันจึงเลิกใช้บีทีเอสชั่วคราว

ถ้าไม่เปิดทีวีหรือเฟซบุ๊ค แล้วต้องรับรู้ความทุกข์ของคนอื่นๆ  ฉันชอบชีวิตช่วงนี้มากๆ ในหลายด้าน มันสงบ และฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันไม่ได้ทำมานาน เป็นช่วงสโลว์ไลฟ์ที่ได้ทบทวนชีวิต

ฉันเริ่มกลับมาทำอาหารเอง จิตใต้สำนึกของฉันคงต้องการ Comfort food ฉันทำซุป 2-3 ครั้งแล้ว เริ่มจาก Chilli soup ที่ฉันชอบกินและทำบ่อยๆ ตอนอยู่อเมริกา เป็นซุปใส่มะเขือเทศ ถั่วดำหรือถั่วแดง เนื้อสัตว์ ถั่ว กระเทียม หอมใหญ่ และเครื่องเทศ เช่น พริกไทย ยี่หร่า  ทำหนึ่งหม้อก็กินได้หลายวัน  ฉันสำรวจครัวว่ามีอะไรเหลือๆ บ้าง ก็โยนลงไป เช่น เราได้ซอสพาสต้าจากตะกร้าปีใหม่ทุกปี ซึ่งเราก็ปล่อยให้เสียเพราะไม่ได้กิน ฉันจึงเอามันมาใส่ในซุปแทน


เลกกิ้งที่เรียงสีแล้ว
นอกจากทำอาหาร ฉันก็เริ่มจัดเสื้อผ้า ฉันชอบช้อปปิ้งเครื่องแต่งกาย ได้เจอร้านขายชุดออกกำลังกายใน IG ที่ราคาไม่แพง ก็ซื้อไปเรื่อยๆ จนไม่มีที่จะเก็บและตู้เริ่มรกจนหาของไม่เจอ ฉันทยอยรื้อมันออกมาทีละหมวด เช่น เริ่มจากจัดเลกกิ้ง ไล่สี จากอ่อนไปเข้ม ไล่โทนสี เสร็จแล้วจัดสปอร์ตบรา  ฉันคิดว่าในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ จิตวิญญาณของฉันโหยหาความเป็นระเบียบ และการจัดการได้ พอทำแล้วก็มีความสุขที่เห็นมันเป็นระเบียบ และเราได้สัมผัสของที่เราชอบทุกชิ้น มันนำมาซึ่งความเบิกบานแบบที่คุณ Marie Kondo (คนเขียนหนังสือ The Life-Changing Magic of Tidying Up) มาสเตอร์เรื่องการจัดบ้านบอก (They bring me joy.)

อีกกิจกรรมที่ฉันชอบมากคือการออกกำลังกาย ช่วงนี้ฟิตเนสปิด เทรนเนอร์ขาดรายได้มากเพราะไม่มีชั่วโมงเทรน ฉันจึงให้มาเทรนที่บ้าน win-win เพราะฉันก็ได้ออกกำลังกายและเขาก็ได้ทำงาน

มันเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบจริงๆ

ที่สำคัญคือฉันได้นอนเยอะทุกวัน ได้ตื่นเองตามธรรมชาติ ไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก ฉันรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีมากๆ เห็นได้จากการถ่ายเป็นปกติตอนเช้าทุกวัน ก่อนหน้านี้จะไม่ประจำเวลาเดิม ถึงจะถ่ายทุกวันก็ตาม

เหมือนนาฬิกาชีวิตของฉันช้าลง และจูนเข้ากับโลกมากขึ้น


ชีวิตถูกลอกออกให้เหลือแต่ด้านที่สำคัญจริงๆ คือ นอน ทำงาน ออกกำลังกาย กิน พูดคุยติดต่อกับผู้คน

ตัวตนเดิมของฉันใช้เวลามากทำสิ่งที่ไม่สำคัญ เช่น นวดหน้า นวดตัว ทำเล็บ ตอนนี้ฉันก็ทำเอง เช่น ซื้อแปรงขนธรรมชาติมาทำ Dry brushing ขัดผิวเองด้วยน้ำมะขามเปียก ขมิ้น กาแฟบด ซื้อ Massage gun มานวดกล้ามเนื้อ  ขัดหน้าและมาส์กหน้าเอง มันเป็นช่วงเวลาของการพึ่งตัวเอง อยู่กับตัวเอง

นอกจากร่างกายและจิตใจของฉันจะได้พัก ฉันคิดว่าธรรมชาติก็ได้พักด้วย เราเดินทางกันน้อยลงไปมาก ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ปล่อยฝุ่นน้อยลง ท้องฟ้าจึงใส ฉันอ่านเจอบทความว่าช่วงนี้ เราอยู่เฉยๆ กันมากขึ้น แรงสั่นสะเทือนบนผิวเปลือกโลกก็ลดลง มันสะเทือนกันขนาดนั้น



ในงานสอน โชคดีที่ฉันใช้สื่อออนไลน์ เช่น Facebook group, Google classroom อยู่แล้ว ฉันจึงเคลื่อนไปสู่โหมดออนไลน์ได้ไม่ยาก  ฉันไม่ได้อัดวีดีโอสอน แต่ให้การบ้านเป็น e-book ไปอ่านแล้วใช้ซอฟท์แวร์ทำตามหนังสือ แล้วฉันจะให้ Feedback เด็กด้วยการทำ Online Quiz บน Google form น่าสนใจว่าเด็กจะอ่านหนังสือด้วยตัวเอง สอนตัวเองได้ไหม  มันเป็นการทดลอง  ถ้าเด็กทำได้นี่ก็คงไม่ต้องสอนกันละ เรามีหน้าที่หาเนื้อหา จัดกระบวนการเรียนรู้

การ WFH ทำให้ฉันไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวไปไหน ประหยัดเวลา และฉันซื้อเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอางน้อยลงมาก ตอนนี้เริ่มสนใจเฟอร์นิเจอร์ จาน ชาม มือสองแทน ไม่มีที่จะวางเฟอร์นิเจอร์ แต่มีออฟฟิศใหม่ที่เอาชุดเก้าอี้ไปวางได้ นั่งดูของพวกนี้ใน IG แล้วเพลินมาก  กำลังดูชุดโซฟาเพื่อจะเอาไปวางในออฟฟิศอยู่

Nut and Seed Bars
แทนขนมปังใส่แป้งสาลี
ช่วงแรกที่เกิดวิกฤต ฉันเซ็งมากที่มูลค่าพอร์ตหุ้นฉันต่ำเรี่ยดิน ตอนนี้ฉันเฉยๆ แล้วเพราะทำใจได้ ฉันปรับตัวจนเริ่มเป็นความปกติแบบใหม่ (new normal) ได้แล้ว ถ้ายกเลิกการ WFH ฉันก็ต้องปรับตัวอีกครั้ง

Comments