การประเมินตัวเองหลังเรียนคลาส Leadership (2/2)

ตอนแรกอยู่ที่นี่

คนที่ 11

ความคาดหวังก่อนเรียนวิชา มันเป็นการลงเพื่อเกรดล้วนๆ ไม่ได้คาดหวังอะไรนอกจากเกรด แต่พอเข้ามาเริ่มเรียนวิชานี้ทุกๆ ครั้ง อาจารย์หญิงจะบอกหัวข้อของครั้งนี้แล้วก็ครั้งต่อๆ ไปว่าเรียนเรื่องอะไรบ้าง มันกลับกลายเป็นว่าทุกหัวข้อที่เราจะต้องเรียน มันเป็นอะไรที่น่าเรียนรู้แล้วก็ค้นหาเป็นบ้าเลย มันคือสิ่งที่เรารู้สึกมาเสมอว่า ถ้าเรามีทักษะด้านนี้บ้างมันคงจะดีนะ สรุปได้เรียนเฉย ก็เลยรู้สึกสนุกและก็ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้มาเรียนวิชานี้

นอกจากนั้น ยังมีบางคาบที่เราไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มันกลับมาทำให้เราได้มองว่า ตัวเราเป็นแบบนี้นี่หว่า ซึ่งถ้าไม่ได้มาเรียนก็คงไม่ได้มองด้านนี้แบบจริงๆ เราเป็นคนลักษณ์ 3 แล้วก็กระทิง เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้นำ เราเก่ง บางครั้งด้วยความที่เราเป็นผู้นำ เราจะพูด จะทำอะไร มันไปกระทบคนอื่น แต่ในช่วงเวลาตอนนั้นเราไม่ได้สนใจอะไรเลย เราไม่ได้สนใจว่าใครจะรู้สึกยังไง แค่งานมันจบ งานมันดีก็โอเคแล้ว แต่มันก็มีบางครั้งที่มันมาสะกิดใจเราเหมือนกันว่าเค้าจะคิดยังไงกับสิ่งที่เราพูด เราทำ

พอได้มาเรียนวิชานี้เราได้กลับมามองตัวเองมากขึ้น เรารู้สึกว่าเราได้คิดก่อนพูด เราได้มองความรู้สึกของเค้าว่าถ้าเราพูดสิ่งๆ นี้ออกไป เค้าจะรู้สึกยังไง แล้วมันมีความสำคัญขนาดไหนในการพูดสิ่งนี้ เราได้รู้จักการระงับอารมณ์ เราได้ใช้ความคิดมากขึ้น

สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในเรื่องนี้คงจะเป็นการที่เราได้ไปปางสีดา ช็อตตอนที่เพื่อนเอาปลากระป๋องที่เราไม่กินใส่ลงไปในหม้อ ตอนนั้นเราเดือดมากๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงด่ามันไปแล้ว แต่เพราะมันผ่านอะไรมาหลายๆ อย่าง ทั้งการได้เรียน การได้อยู่กับเพื่อนมากขึ้น ทำให้วันนั้นจากที่เราโพล่งว่าแบบกูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่กิน แล้วมันก็อ้าวขอโทษไม่รู้ว่าแค่นี้ก็ไม่โอเค แล้วเราก็หยุดแค่นั้นเลย เราจบตรงนั้น หลังจากนั้นมาก็ได้มีการคุยกันแล้วก็ขอโทษกัน เหตุการณ์นี้มันเป็นเหตุการณ์ที่สะกิดใจเราจริงๆ อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่แจ่มชัดที่สุดในการเรียนวิชานี้มา

อาจจะเหมือนการชมตัวเอง แต่เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นจริงๆ

อีกอย่างที่รู้สึกว่าได้จากวิชานี้จริงๆ คือได้เพื่อน ได้คุยได้สนิทกับคนที่ปกติอยู่มา 4 ปี เรารับรองได้เลยว่าเราคุยกับเค้าไม่ถึง 10 ประโยค พอเรียนวิชานี้มันทำให้เรารู้จักมุมมองเค้า แล้วเค้าก็รู้จักมุมมองเรา ทำให้เราได้เรียนรู้กันและกัน แล้วเราก็ได้สนิทกันมากขึ้น

สิ่งที่อยากให้ตัวเองเปลี่ยนแต่ ยังไม่เปลี่ยน มันคือความกระตือรือร้น แล้วก็ความรับผิดชอบ มีครั้งหนึ่งที่อาจารย์หญิงตอบรีเฟลคชั่นผม ว่าผมเป็นคนเร็ว แล้วก็ทำตามอารมณ์ของตัวเอง สิ่งนั้นมันมีผลกับผมหลายอย่าง ทั้งเรื่องการคุยกับคนอื่น และอีกอย่างคือเรื่องความรับผิดชอบในชีวิต เวลาผมอยากทำอะไร ผมจะทำมันจนสำเร็จจนดี แต่ถ้าผมเกิดขี้เกียจขึ้นมา ผมก็จะโยนทิ้งสิ่งๆ นั้นไปเลย ผมตามอารมณ์มากเกินไป

มันเริ่มดีขึ้นหลังจากที่ไปปางสีดา ผมตื่นมาผมขี้เกียจมากๆ  ถ้าเป็นปกติก็คงจะนอนต่อไป แล้วแต่มันรู้สึกได้ว่า เพื่อนๆ รอกินข้าวเช้ากับเราอยู่นะ ลุกขึ้นไปทำข้าวให้เพื่อนกินสิ และเราก็ลุกขึ้น แม้มันเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ผมก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง แต่พอมันเป็นเรื่องของผมคนเดียว ไม่ได้มีปัจจัยเรื่องของคนอื่นมาบังคับผม ผมก็จะใช้อารมณ์ตัดสินอยู่ดี ตรงนี้คือสิ่งที่พยายามจะปรับปรุงต่อไป

คนที่ 12

อย่างแรกที่สัมผัสได้เลย คือผมได้เปิดเผยตัวเองมากขึ้น รู้สึกก้าวข้ามอะไรบางอย่าง ก่อนหน้าที่ผมจะไปค่าย ผมรู้สึกอึดอัดและเหนื่อยมากๆ

เดิมเมื่อผมมีเรื่องอะไรกังวลหรือหนักใจ จะไม่เล่าให้คนอื่นฟังเลยไม่แม้แต่ครอบครัวหรือเพื่อนสนิท มันเหมือนเราอยู่ในบ้าน บ้านหลังนั้นต้อนรับคนมากมาย แต่ว่ามีห้องๆหนึ่งที่ไม่เคยเปิดให้คนอื่นเข้าไป ห้องๆ นั้นไม่เคยเปิดออกมาให้คนอื่นได้เห็นว่าข้างในมันเป็นยังไง มีอะไรอยู่ด้านในบ้าง แม้ว่าจะมีคนเคยผ่านมาถามว่าข้างในนั้นมันมีอะไร ผมก็จะตอบพวกเค้าไปว่าไม่มีอะไรหรอก หรือพูดเบี่ยงเบนต่างๆ นาๆ  ผมได้ใส่สิ่งต่างที่ไม่อยากให้คนรอบตัวเห็นเข้าไปเรื่อยๆ เพราะกลัวว่าพวกเค้าจะกังวล เค้าจะเป็นห่วงเรา ผมกลัวว่าเมื่อคนอื่นเห็นแล้วเค้าจะเปลี่ยนไป

อยู่มาวันหนึ่งมันเริ่มอึดอัดขึ้นมากๆ ในห้องรู้สึกแน่นไปหมด ผมได้นั่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ได้คิดได้ใคร่ครวญว่าเราควรจะเปิดมันออกมาให้คนอื่นได้ดู ได้เห็นมันดีมั้ย สุดท้ายผมก็ได้ตัดสินใจเปิดห้องๆ นั้นออกมา ห้องที่เต็มไปด้วยความมืด ผมเปิดออกมาเพราะอยากให้คนอื่น อยากให้เพื่อนสนิทของเราได้เห็นว่าอีกด้านของเราที่ไม่เคยให้ใครได้เห็นมาก่อนมันเป็นอย่างไร

พอผมเปิดออกมา แน่นอนว่าที่ออกมามันไม่ใช่ทั้งหมด มันแค่ส่วนหนึ่งของห้องๆ นั้น สิ่งที่ผมกลัว สิ่งที่กังวล ว่าเมื่อพวกเค้าเห็นมัน พวกเค้าจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า มันเป็นสิ่งที่ผมคิดไปเอง จริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย ผมรู้สึกโล่งมากๆ ผมรู้สึกถึงกำลังใจ ความอบอุ่น ผมรู้สึกถึงการช่วยเหลือ และทุกๆ คนก็ยังเป็นเช่นเดิม พร้อมกับเสียงอีกเสียงของตัวผมพูดว่า “ขอบคุณ”

เป้าหมายในอนาคตชัดเจนขึ้นจากการทำ odyssey plan ที่ได้ลองนึกกับตัวเองมา 3 แผนว่า เราอยากจะเป็นอะไร เรียนต่อ ทำงาน ทำสวน หรือจะทำอะไรในอนาคต ตอนนั้นที่แน่ๆ คือเราอยากทำสวนผลไม้ แต่ในอนาคตน่าจะทำแน่นอน ส่วนเรื่องงาน จากการไปสัมภาษณ์คนที่ทำงานไปแล้ว ซึ่งมีแต่เพื่อนๆ ของเรา สิ่งที่เราอยากทำในอนาคตน่าจะ Consult แต่คิดว่าน่าจะมีประสบการณ์เยอะๆ ก่อน เริ่มจากการอ่านหนังสือเพื่อสอบ CFA ดูก่อน ก่อนอื่นหางานทำไปพลางๆ ก่อนเกี่ยวกับวิศวะ ด้วยสภาพ Covid แบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหางานได้มั้ย อีกอย่างก็คือ ผมยังไม่ได้เกณฑ์ทหาร ระหว่างรอจะว่างไปเต็มๆ 1 ปี คิดว่าจะกลับบ้านลองไปทำสวนปลูกผักดู วางแผนให้น้อง เพราะน้องอยากทำสวนอยู่แล้ว แล้วก็แม่ใกล้จะเกษียณแล้ว หากิจกรรมให้แม่ทำ

ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะขี้เกียจเขียน ถ้าเราเรียนในห้องแล้ว ตอนอ่านหนังสือผมจะมองและอ่านให้เข้าใจ แต่ไม่แม้แต่จะเขียนอะไรลงไป ไม่ได้ฝึกฝน มันทำให้ตอนผมเจอของจริงผมจะหลงลืมอะไรบางอย่างไป ถึงแม้ว่าผลที่ออกมามันจะออกมาจะค่อนข้างดี ทุกอย่างผ่านไปแบบง่ายๆ สบายๆ แต่ลึกๆ ในใจมันรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กๆ ว่าเราควรจะทำได้ดีกว่านี้ แล้วการที่เราต้องเขียน reflection ส่งทุกครั้งหลังเรียนมันเหมือนทำให้ผมกลับไปทบทวนสิ่งที่เรียนมา และได้เขียนมันออกไปตามความคิด ความรู้สึก หรือสามารถนำไปประยุกต์กับอะไรได้ ผมรู้สึกขยันมากขึ้นกว่าแต่ก่อนอยู่พอสมควร ผมได้ฝึกทำ ได้เขียนอะไรต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนในคลาสต่างๆ มากขึ้น ถึงตอนนี้จะไม่ได้อยู่ในจุดที่น่าพอใจก็เถอะ แต่คิดว่าในอนาคตเราจะพัฒนาได้มากขึ้นกว่าเดิม

อะไรที่อยากเปลี่ยนแปลงแต่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไร

มีสมาธิอยู่กับอะไรบางอย่างได้ไม่นาน เนื่องจากเป็นคนเบื่อง่าย ไม่ชอบอยู่กับอะไรเดิมๆ นานๆ พอทำบางอย่างไปซักพักมันเหมือนเราหมดความสนใจในสิ่งนั้น แล้วก็หยุดออกมาทำอย่างอื่น แล้วพอเรากลับไปทำมันรู้สึกเหมือนความรู้สึกมันไม่ต่อเนื่องขาดๆ หายๆ เหมือนการเขียน reflection เขียนแต่ละครั้งเขียนนานมาก เขียนไปซักพักเราก็หยุดเขียน ไปเล่นเกมส์ ออกไปเดินเล่น จนใกล้ถึงเวลาส่งค่อยกลับมาทำ อ่านหนังสือก็เหมือนกัน ใน 1 ชั่วโมง คืออ่าน 15 นาที เล่น 45 นาที หรือจริงๆ แล้วผมไม่ได้สนใจกับสิ่งๆนั้นหรือเปล่า ผมพยายามจะมีสมาธิกับอะไรบางอย่างแต่รู้สึกมันยากมาก

ผมหงุดหงิดในใจ บางทีเจอคนเรียกร้องความสนใจมากเกินไป ถามนั่นถามนี้ จู้จี้จุกจิก มันจะมีความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา แต่ว่าผมก็ไม่ได้พูดมันออกไป บางทีก็ไม่ได้พูดสิ่งที่ตัวเองต้องการ อดทนไว้ซักพักเดี๋ยวก็จบ กับการเห็นอะไรที่ขัดหูขัดตา ที่เราไม่ชอบ เช่น ผมพักอยู่หอในนอกกับรุ่นน้อง 3 คน บางอย่างเราเห็นแล้ว ทำไมเค้าทิ้งอะไรไม่ค่อยถูกที่ ไม่เคยทำความสะอาดห้อง จนเราทนไม่ไหว ลุกไปทำทุกอย่างเอง ในใจก็คิดว่ารุ่นน้องเค้าจะไม่ทำอะไรเลยเหรอ จะมีความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ประมาณว่าทำไมกูต้องทำคนเดียววะ แต่สุดท้ายก็ลุกไปทำอยู่ดี ผมไม่ค่อยอยากพูดอะไรในใจกับคนที่ไม่ค่อยสนิท

คนที่ 13

วิชานี้สอนให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ฐานกายและฐานใจภายในตัวเรา โดยร่างกายของทุกคนมีอยู่ 3 ฐาน คือหัว กาย และใจ  การที่คนเรามีฐานใดฐานหนึ่งมากเกินไปไม่ดี  การที่คนเราจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ได้นั้นทุกๆ ฐานในร่างกายต้องอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน เช่น ก่อนที่จะเรียนคลาสนี้ ผมใช้ฐานหัวเยอะมาก คิดไปเองก่อนเสมอ ก่อนที่จะรับรู้ถึงความรู้สึกของใคร เป็นคนที่ไม่ค่อยมีฐานใจเลย

สิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลงไปส่งผลดีกับตัวผมมากๆ เช่น เรื่องเพื่อน ผมใส่ใจความรู้สึกของเพื่อนรอบตัวมากขึ้น เรื่องของการพูดกับเพื่อน หลายครั้งผมก็พูดแบบคิดน้อยเกินไป แต่พอได้เรียนไป ผมก็รู้ว่าบางคนไม่เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการถ่ายทอดออกไป ทำให้เกิดความคิดด้านลบสำหรับเค้า เราต้องระวังคำพูดของตัวเองมากขึ้น ต้องใส่ใจในตัวคนอื่น และพยายาม connect กับเค้าให้ได้

เรื่องของความคิด Mindset ในการทำสิ่งต่างๆ บางครั้งผมรู้สึกได้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ผมเองคงรู้สึกอีกแบบหนึ่ง ไม่ได้คิดแบบ Positive มากขนาดนี้

ทุกสิ่งที่พูดมานั้นได้เรียนรู้จากวิทยากร ไม่ว่าจะเป็น พี่ตู่ พี่มู พี่ปั้น พี่เก๋ พี่มะขวัญ พี่ฝน ทุกๆ ความรู้ที่ได้มานั้นมีประโยชน์หมดเลย ถึงแม้ในบางเรื่อง เราเองไม่รู้ว่าจะได้ใช้มันเมื่อไรในชีวิต แต่ผมเชื่อว่ามันมีโอกาสแน่นอน ไม่งั้นคงไม่ถูกคัดเลือกมาให้พวกผมเรียนแน่นอน

คลาสนี้ทำให้ผมเองมีความสุขมาก เวลาอยู่กับเพื่อนๆ ในคลาสนี้แล้วรู้สึกสบายใจ เหมือนกับจุดประสงค์ที่อาจารย์ตั้งคลาสนี้ขึ้นมา

สิ่งที่ผมอยากให้เปลี่ยนแต่มันไม่เปลี่ยนหรือว่าเปลี่ยนไปน้อยคงเป็นเรื่องของการใช้หัวคิด ผมยังรู้สึกว่าตัวเองยังใช้หัวอยู่ตลอดเวลาด้วยความเคยชิน แต่ผมรู้สึกว่าจริงๆ ไม่ได้แย่ เรายังคงเป็นตัวเรา แต่ว่าเราเองก็เปลี่ยนไปในแบบของเรา มีหลายๆเรื่องที่เปลี่ยนแปลงไป ผมเองยังสามารถพัฒนาตัวเองได้อีกเยอะเลย ชีวิตผมคงไม่หยุดที่จะเรียนรู้หรอก สำหรับตอนนี้มันเป็นเหมือนแค่ Intro สำหรับชีวิตจริงเท่านั้นเอง

สุดท้ายอยากของคุณพี่ๆ ทุกคนมาก ไม่ว่าจะเป็นพี่ตู่ (NVC การสื่อสารอย่างสันติ และ Coaching) พี่ตู่เป็นคนที่ผมรู้สึกขอบคุณมากๆ ที่ผมเคยปรึกษาพี่เรื่องของเพื่อน มันจริงอย่างที่พี่บอกเลยว่าผมยังคงแคร์และใส่ใจคนๆ นั้นอยู่ ไม่อย่างนั้นผมจะพูดถึงมันทำไม ขอบคุณพี่มากๆ  ไว้มีโอกาสจะไปเยี่ยมที่ร้านพี่  ต่อมาเป็นพี่มู (Story Telling และ อุทยานแห่งชาติปางสีดา) พี่มูเป็นคนที่ผมรู้สึกว่าพี่เป็นคนที่ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ผ่านการเล่าเรื่องได้ดีมาก ฟังเรื่องเล่าของพี่ทุกครั้งผมรู้สึกว่ามันผ่อนคลายความคิด ความรู้สึกทุกอย่าง พี่ปั้น (กิจกรรมอาบป่า) พี่ปั้นเป็นคนแรกเลยในชีวิตที่ทำให้ผมต้องไปทำความรู้สึกกับต้นไม้ คุยกับมัน ตลกดีครับ5555 พี่เก๋ (จำชื่อคลาสไม่ได้ครับ 5555) พี่เก๋ถ้าผมจำไม่ผิดเลยพี่เป็นวิทยากรคนแรกที่ได้มาสอนพวกผมในคลาสนี้ ได้ให้พวกผมลองย้อนตัวเองกับไปเป็นเด็กอีกครั้ง มันมีหลายสิ่งที่เราเองทำตัวตลกๆ ไปเยอะมากเลยครับ สุดท้ายขอบคุณอาจารย์มากๆเลยครับ สำหรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคลาสนี้ มันเป็นความทรงจำส่วนหนึ่งที่ดีมากในชีวิตมหาลัยของผม

คนที่ 14

ในตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะลงวิชานี้หรือไม่นั้น จริงๆ ฉันอยากลงวิชานี้มากๆ ตั้งแต่เห็น reflection ของรุ่นพี่ที่เรียนปีก่อน มีหลายอย่างที่ฉันอยากปรับเปลี่ยน และอยากได้มุมมองใหม่ๆ ผ่านกิจกรรมของวิชานี้ แต่ที่มีความคิดว่าจะไม่ลง เป็นกังวลว่าจะมีเวลาไม่พอในการอ่านหนังสือและทำโปรเจค และที่สำคัญคือรู้สึกว่าไม่น่าจะเปิดใจเข้ากับคนที่มาลงในคลาสได้ดีเพราะไม่ค่อยสนิทด้วย และเพื่อนก็มากันเป็นกลุ่มใหญ่ จึงตัดสินใจที่จะไม่ลง จนถึงเวลาที่อาจารย์โพสต์ blog และให้โอกาสมาลองเรียน ประกอบกับในช่วงนั้นฉันคิดว่าปัญหาของฉันไม่สามารถแก้ได้ และฉันรู้สึกไม่มีความสุขเลย ทำให้ฉันตัดสินใจมาเข้าเรียน และหวังว่าฉันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง และมีคนช่วยและแนะนำในการจัดการปัญหาของฉันได้

ตลอดการทำกิจกรรมทั้งหมดในคลาส สิ่งแรกที่ฉันสังเกตเห็นตัวเองเปลี่ยนแปลงคือการเปิดใจในการรู้จักกับเพื่อนๆ ตั้งแต่การทำกิจกรรมแรกๆ ฉันรู้สึกอึดอัดที่ต้องแสดงท่าทาง หรือความรู้สึก ความคิดที่เปิดเผยต่อกลุ่มเพื่อนๆ แต่พอได้ลองคุยกับทุกคนและได้ทำกิจกรรมผ่านมาเรื่อยๆ ในแต่ละกิจกรรม ทำให้ฉันได้คิดและกล้าแสดงความรู้สึกออกไปมากขึ้น รวมถึงได้มีโอกาสให้ตัวเองได้ไปพูดคุยทำความรู้จักเพื่อนในคลาส ทำให้รู้จักเพื่อนในมุมมองที่ต่างออกไป ฉันรู้สึกว่าฉันได้เรียนรู้จากตรงนี้มากๆ ฉันรู้สึกเป็นตัวเองมากขึ้นและเปิดใจมากขึ้นในการทำความรู้จักคนอื่นๆ ซึ่งมันทำให้ฉันสบายใจมากขึ้น รู้สึกอึดอัดหรือกังวลน้อยลงในการเข้าไปคุยกับคนอื่นๆ 

ฉันได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการที่จะไม่นำความคิดไปตัดสินใคร และคิดอยู่เสมอว่าคนแต่ละคนผ่านเรื่องราวที่ต่างกัน มีความคิดที่ต่างกัน เราควรเข้าใจเขาก่อนจะไปตัดสินเขา ทำให้ฉันได้ลองนำสิ่งที่เรียนได้คลาสไปใช้ในการฟังผู้อื่นให้มากขึ้นและพยายามเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แล้วฉันสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ฉันเห็นความเปลี่ยนแปลงในการรับรู้และสังเกตความรู้สึกของตัวเอง พยายามเข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร แล้วต้องทำอย่างไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ฉันมีก่อนจะมาเรียนวิชานี้ 

ฉันดีใจที่ได้รับคำแนะนำและความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทำให้ฉันเห็นทิศทางในการแก้ปัญหาของตัวเอง ถึงแม้บางอย่างยังแก้ไม่ได้ แต่การได้เริ่มรับมือกับปัญหาอย่างถูกต้อง มันทำให้ฉันมีความสุขขึ้นและเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันได้ดีขึ้นมาก

สิ่งที่ฉันอยากเปลี่ยนแปลงแล้วยังเปลี่ยนไม่ได้ ตลอดการทำกิจกรรมในคลาส ฉันได้เห็นความสำคัญของการช่วยเหลือกัน แต่มันก็ยังยากกับฉันอยู่ดีที่จะขอให้ใครช่วยเหลือ และในเรื่องการเปิดใจให้คนอื่น ฉันยังคิดว่าฉันยังทำได้ไม่ดีพอ มีบางช่วงที่รู้สึกว่าไม่สามารถทำได้ 

ในเรื่องของความคิดของตัวเอง ฉันไม่สามารถจัดการความคิดลบต่อตัวเองได้ รวมถึงการเลือกนิ่งเงียบใส่คนอื่น และปล่อยให้เรื่องราวที่ไม่เข้าใจกันผ่านไปเฉยๆ  

อีกอย่างหนึ่งที่ฉันชอบและจำไว้ตลอดคือที่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบัน ฉันอยากทำให้ได้ แต่แทบทุกครั้งในการทำอะไรบางอย่าง ฉันมักหลุดไปคิดถึงอย่างอื่น กังวลกับอนาคต คิดถึงเรื่องในอดีต และจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งยากที่จะกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ทำให้ฉันอยากจะฝึกตรงนี้ต่อแล้วทำให้ได้

ทั้งหมดที่ได้เรียนรู้ผ่านกิจกรรมทั้งหมดในวิชานี้ ฉันรู้สึกขอบคุณจากใจ ทั้งความรู้ที่ได้จากการสอนและการแนะนำของอาจารย์ พี่ผู้สอนทุกๆคลาส พี่ๆนำกิจกรรมที่ปางสีดา และเรื่องราวจากเพื่อนในคลาส ทุกๆ อย่างที่ฉันได้รับทำให้การมองโลกของฉันเปิดกว้างมากขึ้นทั้งภายนอกคือภาพที่เห็นได้ด้วยตา และสัมผัสอื่นๆ และเปิดกว้างในด้านของภายใน คือจิตใจ ความคิด 

โดยรวมฉันรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูก อย่างที่ฉันอยากจะเป็น และรวมถึงการวางแผนอนาคตเรื่องการทำงานของฉันที่เห็นภาพมากขึ้นทุกครั้งที่ได้ทำแพลนและวิดีโอ ก่อนหน้าที่มาเรียนนั้น เหมือนทุกอย่างที่ฉันคิดอยากจะทำ สิ่งที่กังวล ความรู้สึกต่างๆ มันลอยปนๆ กัน ทำให้ฉันไม่สามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ หลังจากเรียนวิชานี้ สิ่งที่ฉันคิดและความรู้สึกทั้งหมด ค่อยๆ ถูกมอง ถูกหยิบเลือกมาแก้ไข และนำกลับไปวางไว้ในที่ที่มันควรจะเป็น และทำให้ฉันมั่นคงขึ้นและพร้อมที่จะพัฒนาต่อไป

คนที่ 15

Reflection คือการบันทึกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ เพื่อให้เราได้มานั่งนึกคิด ตกตะกอนว่า เราได้เรียนรู้อะไร มันจะทำให้การเรียนรู้นั้นสมบูรณ์แบบ เป็นการเติมเต็มวงจรการเรียนรู้ให้เป็นวงกลมที่สวยงาม

การเขียน Reflection เป็นเหมือนการเขียนบันทึกของตัวเอง ไม่ใช่การเขียนเพื่อให้คนอื่นอ่าน เป็นการเขียนเพื่อให้ตัวเราได้คุยกับตัวเรา เพื่อให้เราสามารถมาย้อนดูได้ว่า เราเคยผ่านอะไรมา เราเคยได้เรียนรู้อะไรกับมัน เราเคยได้รู้สึกอะไรกับมัน มันเป็นแค่การทำให้เราอ่านแล้วแบบ เออ เนี่ยแหละ เรา

วิชานี้เป็นหนึ่งในวิชาที่ตอนแรกเรามีความลังเลที่จะเรียนเพราะเหตุผลบางอย่าง ซึ่งตอนนี้เรามองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าเรางี่เง่ามากๆ ที่เกือบจะไม่ลงวิชานี้เพราะเหตุผลนั้น มันคือการตัดโอกาสบางอย่างทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ลองที่จะเผชิญหน้ากับมัน เรารู้สึกขอบคุณตัวเองที่เราเลือกลงวิชานี้ มันเป็นการปลดล๊อคบางอย่างที่ค้างคา มันเป็นการขุดหินใหญ่ที่ขวางทางเดินของเรา มันเป็นการที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้แม้เราจะเคยคิดว่ามันถึงทางตันแล้ว มันเป็นการทำให้เราได้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น

สิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไป คือ เราเข้าใจคำว่าความรู้สึกกับความต้องการมากขึ้น มันเป็นสิ่งที่เป็นลูกโซ่ต่อๆ กันมา เมื่อก่อน เราไม่ได้เข้าใจสองคำนี้ขนาดนั้น ในบางครั้งเราก็ยังใช้มันผิดๆ ทำให้เราไม่เข้าใจว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร แต่ในตอนนี้ เราเข้าใจมันมากขึ้น ทำให้เราสามารถตอบสนองความต้องการนั้นได้อย่างถูกเป้า สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เรามีความสุขมากขึ้น เรามีความสุขกับเรื่องเล็กๆ ที่เกิดขึ้น ความสุขมันไม่จำเป็นต้องใหญ่โตขนาดนั้น แค่เราตื่นขึ้นมาในหนึ่งวัน ได้กินอาหารในตอนเช้าที่คุณแม่เตรียมให้ เนี่ย เป็นความสุขที่เกิดขึ้นได้ทุกๆ วัน มันเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราไมเคยมองเห็นมัน 

เรามองเห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม เราได้ฝึกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คนอื่นเข้าใจมากขึ้น มันเป็นทักษะในการใช้ชีวิตแบบหนึ่ง เราชอบการเล่าเรื่องให้คนอื่นฟัง มันเป็นการฝึกลำดับความคิดไปในตัวด้วย เพื่อให้เราสามารถถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการได้อย่างเต็มที่ การเขียนแบบนี้ก็เป็นการฝึกแบบหนึ่งไปในตัว 

อีกสิ่งหนึ่งที่เราได้คือคำว่า Empathy มันเป็นคำที่น่ารัก อาจจะเพราะมีคำว่าเอ็มอยู่ในนั้นด้วยล่ะมั้งเลยน่ารัก มันคือการเข้าใจคนอื่น บอกความรู้สึกในคำๆ นี้ไม่ถูกเหมือนกัน แต่มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า เราเป็นคนหนึ่งที่ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์มากๆ มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นภายในพริบตา ไม่มีอะไรที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ขึ้นได้ทันที มันต้องใช้เวลา ใช้ความผูกพัน ค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยให้มันเป็นไปเรื่อยๆไม่ต้องไปเร่งเร้าหรือขัดขวางมัน เราชอบการที่เราได้เชื่อมต่อกับคนอื่นๆ  การใส่ใจในคนอื่นสามารถทำให้เราเชื่อมต่อกับเขาได้ 

เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นด้วย คือเราเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยได้คุยกับตัวเอง ไม่ค่อยได้ใส่ใจตัวเองสักเท่าไหร่ มัวแต่ใส่ใจคนอื่น จนทำให้เราไม่ได้เข้าใจในตัวเราขนาดนั้น เป็นข้อเสียที่ใหญ่มากๆ 

การได้เรียนวิชานี้มันทำให้เราได้สำรวจตัวเองบ่อยขึ้น ได้มีโอกาสถามคำถามกับตัวเองมากขึ้น ทำให้เราได้รู้จักตัวเองในแบบที่เราละเลยมาตลอด มันทำให้เราเป็นตัวเองมากขึ้น สิ่งนี้คือสิ่งสำคัญมากๆ ที่ทำให้เราสามารถพัฒนาตัวเองต่อไปได้ มันเหมือนเป็นการที่เราได้ทะลวงหินที่ปิดทางเรามาตลอด เหมือนเราไม่เคยรู้ว่าเราเป็นนกที่พยายามเดินบนบก เราเป็นนกที่พยายามว่ายน้ำ เราไม่ได้ใช้ศักยภาพของเราอย่างเต็มที่เพราะเราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร แต่ตอนนี้เรากำลังเป็นนกที่กลับไปบินบนฟ้า

สิ่งที่เรายังไม่เปลี่ยนแปลง คือ เรายังมีอคติอยู่ เรายังตัดสินอยู่ ถ้าเราคิดไปแล้วว่า คนนี้เป็นแบบนี้ เรื่องราวเกิดจากสิ่งนี้ เราจะเชื่อมั่นในสิ่งนั้นมากๆ เราแทบจะไม่ฟังคนอื่นเลยถ้าเขาไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นมากพอที่จะเปลี่ยนใจเรา แต่เรามองว่าเป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 

อีกเรื่องหนึ่งคือ เรายังมีเสียงหมาป่าในตัวอยู่ คือการเงียบใส่ บางครั้งเรายังคิดว่าการเงียบใส่กันดีกว่าการคุยกัน ณ ตอนนั้น เราก็ยังคิดว่ามันแล้วแต่สถานการณ์ คือ เราคิดว่าทุกเรื่องราวเป็นไปได้หมด สิ่งที่เราเคยคิดว่าดีมันอาจจะไม่ดี สิ่งที่เราเคยคิดว่าไม่ดีมันอาจจะดีก็ได้ อยู่ที่การประยุกต์มากกว่า ว่าเราจะสามารถใช้สิ่งที่เรามีให้เข้ากับสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร

ขอบคุณทุกๆ ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในนี้ ขอบคุณวิทยากรทุกๆ ท่านที่ได้มาหาและถ่ายทอดให้กับพวกเรา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากๆ ขอบคุณอาจารย์จุฑาสำหรับคลาสนี้มากๆ ครับ เป็นวิชาเดียวในชีวิตการเรียนในระบบอันยาวนานที่รู้สึกว่า อยากเรียนวิชานี้จริงๆ เฝ้ารอให้ถึงวันศุกร์บ่ายในทุกๆ สัปดาห์ เหมือนเป็นการเจอโอเอซิสกลางทะเลทราย และสุดท้าย ขอบคุณตัวเองมากๆเช่นกัน เก่งมากเจ้าเอ็ม

คนที่ 16

ตัวผมมีการเปลี่ยนแปลงคือการเข้าสังคม การคุยกับคนอื่นง่ายขึ้น ก่อนที่จะเรียนวิชานี้นั้น บางทีผมจะไม่พูดอะไรมากกับคนที่เราไม่รู้จักหรือไม่สนิท เพราะผมรู้สึกว่าผมมีเพื่อนกลุ่มที่สนิทอยู่แค่นี้ก็พอแล้ว แต่เพื่อนสนิทอยู่คนละภาคกันเกือบหมด ทำให้ในภาคผมไม่ค่อยสนิทกับใครจริงๆ สักคน จริงๆ ตอนปี 1 ผมรู้สึกสนิทกับเพื่อนภาคมากกว่านี้ แต่พอหลังๆ มาผมกลับเก็บตัว คบแต่เพื่อนเก่า ส่งผลกับการเรียนด้วย ผมจะตามคนอื่นไม่ค่อยทัน ตามงานไม่ทัน เวลาอ่านหนังสือสอบก็มักจะอ่านกับเพื่อนกลุ่มที่สนิท ผลการสอบก็ไม่ดีตามมา

ถามว่าตอนนี้ผมสนิทกับเพื่อนๆ ในภาคมั้ย ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ก็ดีขึ้น เพราะว่าเราก็ไม่ได้ทำกิจกรรมหรือผ่านอะไรต่างๆ ด้วยกันมาเยอะเท่าคนอื่นๆ ที่เขาสนิทกันแล้ว แต่มันทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเวลาที่จะคุยหรือขอความช่วยเหลือเขา ทำให้ผมกล้าที่จะพูดคุยหรือมีส่วนร่วมในการทำอะไรต่างๆ มากขึ้น และมันก็รู้สึกว่าทุกคนก็ไม่ได้ใจดำกับเราถึงจะไม่ได้ซี้กัน การมองโลกมองสังคมของผมเลยเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังดีที่มีจิวคนหนึ่งที่รู้สึกว่าสนิทกันมากขึ้นจริงๆ มันเป็นคนที่นิสัยดี มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่อง เพิ่งมาคิดได้ว่าที่เราสนิทกันนี่มันก็เริ่มมากจากการที่เราทั้งคู่ต่างก็เก็บตัวเหมือนกัน เลยคุยกันได้ง่าย

อีกอย่างทำให้ผมคุยกับคนที่ไม่รู้จักง่ายขึ้นมาก ในคาบแรกๆ ที่เรียนวิชานี้ เราต้องมาทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ที่ไม่รู้จักอยู่บ้าง เช่น พี่อั๋น แอ้มป์ แรกๆ ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา แต่พอผ่านไปเรื่อยๆ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ได้คุยกันเยอะขึ้นแล้วก็รู้สึกว่าพวกเพื่อนใหม่นี้นิสัยดี พี่อั๋นก็เป็นพี่ที่ดีมาก ใจเย็นอ่อนโยนกับน้องๆ ทำให้รู้ว่าเราไม่ควรจะปิดกั้นที่จะทำความรู้จักกับคนใหม่ๆ เพราะจะทำให้เราตัดโอกาสที่จะรู้จักกับคนดีๆ อีกเยอะ

อย่างที่สองทำให้ผมเปลี่ยนความคิดว่าการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในคลาสนี้ดูติงต๊อง ไร้สาระ ยกตัวอย่างง่ายๆ การคุยกับต้นไม้ จริงๆ จะว่ามันดูติงต๊องก็ได้ แต่ไม่ใช่ไม่มีความหมาย ทุกๆ อย่างที่เรียนในคลาสนี้ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทุกอย่างมีเหตุและผล อาจารย์และพี่ๆ ทุกคนได้เลือกสิ่งที่คิดว่าดีและจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้มาให้พวกผมแล้ว

แรกๆ ยอมรับว่าก็ต้องจำใจทำๆ ไปตามกิจกรรม แต่มาตอนนี้ไม่มีข้อสงสัยแล้ว ผมมีความเชื่อในเรื่องแบบนี้ขึ้นมาบ้าง เวลาว่างๆ ที่นั่งกักตัวอยู่บ้าน ผมเบื่อ ช่วงเย็นผมออกมาวิ่ง ออกกำลังกายเกือบทุกวัน และผมก็ได้มองท้องฟ้า มองต้นไม้ ฟังเสียงนก ลองอยู่กับธรรมชาติและตัวเอง ตอนดึกออกมาสูบบุหรี่ผมก็มองพระจันทร์แล้วทำใจให้สงบ คิดอะไรบ้างนิดหน่อยในหัว มันทำให้เรารู้สึกไม่ฟุ้งซ่าน และสบายใจขึ้นจริงๆ ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงอยู่แต่ในบ้านทั้งวัน เล่นมือถือ นอน กินแค่นี้

อย่างต่อมา ผมรู้สึกนึกถึงใจคนอื่นมากขึ้น เพราะคลาสที่เรียนมาสอนให้เราจับความรู้สึกตัวเองและเพื่อนๆ ทำให้เวลาเราคุยกับใคร เราจะไม่พูดเอาแต่ใจเราคนเดียว ไม่ยึดความคิดเราเป็นหลัก ถึงจะยังทำได้ไม่ดีมากเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้เรารู้จักระวังคำพูดมากขึ้น หัดสังเกตเพื่อนมากขึ้นเวลาที่เถียงกัน รู้ว่าเพื่อนอารมณ์ไม่ดี ผมเองก็อารมณ์ไม่ดีเหมือนกัน แต่ในใจก็พยามมองโลกในแง่ดีว่าคนเรานิสัยไม่เหมือนกัน เพื่อนแต่ละคนก็อาจจะมีปมในใจต่างๆ นาๆ แบบที่ได้ฟังๆ มาในคลาส ทำให้ผมปล่อยผ่านเรื่องเถียงกันไปได้กับคู่โปรเจคผม เถียงกันนิดหน่อยแล้วจบคือจบ และมาทำโปรเจคกันต่อดีกว่า เพราะในใจเราทั้งคู่ก็ต้องการเหมือนกันคือ ให้โปรเจคออกมาดีที่สุด

ผมรับฟังปัญหาของเพื่อนได้ดีขึ้น ไม่ด่วนสรุปแทนเขา ฟังก็คือฟัง ให้เขาเล่าไปก่อน แต่ยังไม่ได้เจอเพื่อนมาเล่าปัญหาให้ฟังเยอะ ก็จะพยายามนำสิ่งที่ได้เรียนมาไปใช้ต่อไป

อย่างสุดท้ายคือการได้ใช้ชีวิตในป่าได้แบบมีความสุข จากปกติแล้วผมเป็นคนติดสบาย นอนร้อนๆ ไม่เป็น ไม่มีความสุข แต่ในวันที่ได้ไปปางสีดานั้นมันก็ทำให้ได้รับอะไรหลายๆ อย่าง มันก็ร้อน มันก็ไม่สบายแหละ แต่พอมีเพื่อนอยู่ด้วยแล้ว พอได้ทำกับข้าวด้วยกัน ร้อนไปด้วยกัน เดินป่าไปด้วยกัน มันก็ทำให้เราอยู่ได้ง่ายขึ้น สามารถห่างโทรศัพท์ได้ สนิทกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น เพราะตอนทำอาหารก็ต้องสามัคคีกัน เป็นความทรงจำที่ดีมากๆ ในช่วงสุดท้ายของการเป็นนิสิตปี 4

มองภาพรวมแล้วการเรียนวิชานี้ช่วยยกระดับจิตใจได้ขึ้นมาประมาณหนึ่ง ทำให้รู้สึกจิตใจสะอาดขึ้น มองโลกในแง่บวกมากขึ้น มีสติ มีการใช้คำพูดที่ดีขึ้น เข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น

มีอะไรที่อยากให้ตัวเองเปลี่ยน แต่ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไร

บางครั้งผมยังอารมณ์ร้อนกับคนในครอบครัว เช่น พ่อ ด้วยเหตุที่พ่อก็เยอะเกินไปบางที

อีกอย่างคือการเรื่อยเปื่อย ตีมึนอย่างที่อาจารย์บอก ไม่ใช่ว่าผมไม่พยายามพัฒนาให้ดีขึ้นเลย ในช่วงแรกๆ ที่อาจารย์เรียกผมไปคุย และแนะนำให้ผมเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น ผมก็ตั้งใจทำ แต่พอทำมาสักพัก แล้วมาเจอโปรเจคที่เลื่อนส่งเร็วขึ้น ทำให้ผมทำงานดึกเกือบทุกคืนทำให้ตอนเช้าไม่ตื่นไปเรียนอยู่ช่วงหนึ่งเลย และก็ดองงานวิชาอื่นไปด้วยเพราะรู้สึกเหนื่อย ผมคิดว่าผมควรจะจัดแจงเวลาให้ดีกว่านี้ และไม่ใช่ไฟหมดง่ายๆ แค่นี้ ยังไงก็จะพยายามต่อไป

คนที่ 17

ความคาดหวังการเรียนวิชานี้จะช่วยให้ผมได้ค้นพบตนเอง และรู้จักตัวเองมากขึ้น จะช่วยให้เห็นแนวทางที่จะเดินต่อไป ก่อนการเรียนผมก็ได้เริ่มศึกษาจิตวิทยา และแนวคิด แต่หลายอย่างยังคงขาดการฝึกฝนและนำไปประยุกต์ใช้อย่างจริงจัง  เมื่อได้เข้าเรียนได้เรียนรู้และมีการฝึกฝนมากขึ้นทำให้ได้เข้าใจมากขึ้น แล้วก็พยายามนำมาใช้อยู่เป็นประจำ จับสังเกตอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองมากขึ้นและมองหาเหตุผลว่าทำไมมันถึงได้เกิดขึ้น หรือจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร อยากให้ไปในทิศทางไหน สิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่คนอื่นๆ คิดแตกต่างกันยังไง หาจุดตรงกลางปรับความเข้าใจมากขึ้น หาทางออกที่ทั้งสองฝ่ายโอเค

มีการพูดคุยและแลกเปลี่ยนกันอย่างจริงจังมากขึ้น ความชัดเจนในการทำสิ่งต่างๆ ผลลัพธ์ที่ต้องการ และมีความใส่ใจในการทำสิ่งต่างๆ

ในคลาสยังได้เรียนรู้ทั้งการรับฟัง ความเข้าใจถึงอารมณ์และการจัดการกับมัน รับรู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง และอีกสิ่งที่สำคัญคือเพื่อนๆที่อยู่ในคลาสแต่ละคนมีความแตกต่าง แต่ทุกคนต่างยอมรับและมีความเข้ากันได้ เนื่องจากสิ่งที่เรียนรู้ประสบการณ์ช่วยสั่งสอนกันมา แต่ละคนต่างมีความน่าสนใจเอกลักษณ์ส่วนตัว มีความเฮฮา ช่วยเหลือและพร้อมจะแบ่งปันสิ่งต่างๆ ซึ่งกันและกัน เราได้แชร์เรื่องราวกันมากมาย สร้างความผูกพัน และมีความอบอุ่นที่เกิดขึ้น หลายอย่างทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ลงตัว

อีกอย่างที่ได้เรียนรู้หลังจากวิชานี้คือ ได้ย้อนอดีตอย่างจริงจัง ผมอยู่ตัวคนเดียวบ่อยมากแต่ไม่ค่อยได้เข้าไปถึงจิตใจและเหตุการณ์ของตัวเองจริงๆ พูดง่ายๆ คือ อยู่ตัวคนเดียวแต่ไม่ได้อยู่กับตัวเอง จะหาสิ่งมาทำเรื่อยๆ ทั้งการเล่นเกม ดูหนัง ฟังเพลง จนได้เริ่มเข้าถึงตัวเองมากขึ้น มองหาสิ่งที่เราชอบจริงๆ สิ่งที่อยากทำ เราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร ทั้งที่เราลืมไปแล้วว่าเคยชอบทำสิ่งนี้ เช่น เรื่องเพลง คนทั่วไปใครๆก็ชอบฟังเพลง แต่ว่าผมชอบการแต่งภาษา การใช้คำ และเคยลองเขียนเพลงด้วย โดยต้องเท้าความกลับไปถึงอดีต

คนที่ 18

การลงเรียนวิชานี้ของผมเป็นการบังคับให้ผมต้องเข้าเรียน ต้องออกจากห้องมาที่มหาลัย เป็นการเปิดตัวเองเข้ามาสู่สังคมกลุ่มเล็กๆ แต่เป็นสังคมกลุ่มที่ผมรู้สึกสบายใจที่ได้เข้าไปอยู่ด้วย กิจกรรมของแต่ละคลาสมีการแบ่งกลุ่มย่อย มานั่งแลกเปลี่ยน ทำกิจกรรมร่วมกัน ในส่วนนี้ทำให้ผมได้ความเป็นมนุษย์กลับมา

ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนที่เก็บตัวมาก อาจารย์หญิงได้บอกกับผมในชั่วโมง odyssey plans ว่า ในระหว่างที่ทุกคนถามคำถามในแผนของผม ผมดีใจและรีบตอบคำถามพวกเขา โดยที่พวกเขายังถามไม่เสร็จด้วยซ้ำ อาจารย์บอกว่าให้จำความรู้สึกที่อยากจะคุยกับคนอื่นแบบนี้เข้าไว้ ผมเองจะจำครับ

ขอเล่าภาพรวมชีวิตของผมก่อน ก่อนหน้านี้ ผมใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดหมาย ผมเรียนไม่จบก็ไม่เป็นไร ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากคุยกับใคร อยากอยู่ในห้องของผม คนเดียวเงียบๆแบบนี้ตลอดไป ไม่มีความฝัน ทุกคืนก่อนนอนในหัวคิดแต่ว่าวันพรุ่งนี้เราจะเล่นเกมอะไรต่อไป จะดูการ์ตูนเรื่องไหนต่อ จะเก็บเงินซื้ออะไรดี เหมือนเป็นชีวิตที่อยู่ในความมืดจริงๆ แต่ผมก็พอใจ และมีความสุขกับช่วงเวลานั้นมาก รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ไม่มีใครมาพูดจาทำร้ายเรา ไม่มีใครแกล้งเราได้ ไม่มีวันที่จะต้องเสียใจ ผิดหวังกับเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต ไม่ต้องรู้สึกเฟล

แต่วิชานี้ดึงผมออกมาจากจุดนั้น ทำให้ผมเริ่มที่จะจำความรู้สึกเก่าๆ ได้ ไม่ว่าความสนุกเวลาได้ออกไปคุยกับเพื่อนๆ การได้ฟังเรื่องราวชีวิต แนวความคิดจากอาจารย์ผู้สอนแต่ละชั่วโมง ทำให้ผมคิดตาม ผมเองก็เคยมีความฝัน เคยมีไฟ มีแรงบันดาลใจ อยากจะทำตัวให้ดี และกลับมามองชีวิตของผมในตอนนี้ มันไม่ใช่ชีวิตในแบบที่ผมอยากจะมี พอได้มาอยู่ในกลุ่มผมได้ฟังความฝันของเพื่อน  เริ่มรู้สึกว่าเราแตกต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันมาก ผมรู้สึกอายที่ตัวเองเป็นแบบนี้ อยากจะให้พวกเขาเห็นภาพของผมดีกว่านี้ เริ่มกลับมาในห้อง อยู่คนเดียวแล้วรู้สึกเหงา อยากมีเพื่อนสักคนเอาไว้คุยเรื่องราวต่างๆ

พอคิดได้แบบนี้ ผมได้ทำการติดสินใจที่ epic มากเลย สาบานกับตัวเองว่า จะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว จะกลับมาทำให้ชีวิตของผมดีกว่านี้

กิจกรรมคลาสเรียนของวิชานี้ ผมชอบและรู้สึกผ่อนคลายทุกๆ ชั่วโมง แต่ที่ผมรู้สึกว่ามันทำให้ตัวผมเปลี่ยนแปลงจริงๆ และผมได้แนวคิด ความรู้ ประโยชน์ ที่สามารถกลับไปใช้ในชีวิตจริงๆ ก็อาจจะยกมาไม่เยอะมาก กิจกรรมแรกคือกิจกรรมเดินป่าของพี่ปั้น พูดเรื่องของการอยู่กับปัจจุบันก่อนที่พี่วิชัยจะพูดถึงอีก  พี่ปั้นได้บอกว่า เวลาที่เรากำลังจมอยู่กับปัญหา มีความเครียด ลองเข้าไปอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ยืนเท้าเปล่าบนดิน หลับตา ฟังเสียงของป่า เสียงของนก ชื่นชมเสียงเหล่านั้น อยู่กับมัน ฟังแล้วเราจะเกิดความรู้สึกที่สบาย ปล่อยวางเรื่อยราวที่อยู่ในหัวของเรา ผมมองว่าไม่ใช่แค่จากการที่เราต้องอยู่ในป่าเท่านั้น เราสามารถฟังเสียงของน้ำพุ เสียงของลม เสียงฝีเท้า เสียงรอบตัวเรา ถ้าเราตั้งใจฟังมันจริงๆ มันมีหลายเสียงที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้

คาบเรียนของพี่มู พี่มูเป็นคนที่ผมให้ความเคารพมากๆ ผมดีใจจริงๆ ที่ได้ฟังสิ่งที่พี่มูเล่า แนวคิดของพี่มูน่าสนใจมากจริงๆ พี่มูบอกว่าเรามีความสุขได้ทุกช่วงเวลา พี่มูเล่าช่วงชีวิตที่เจอกับปัญหาของพี่มู พร้อมรอยยิ้ม แต่ก็มีหลายเรื่องที่ฟังแล้วรู้สึกตลกตาม ตอนเล่า ผมสัมผัสถึงเจตนาร้ายไม่ออกเลย

พี่ตู่เป็นคนอายุหลักพ่อผมแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าพี่ตู่เขายังเป็นวัยรุ่น ความรู้สึกที่ผมมีต่อคนอายุลุงแบบนี้ ผมกลับรู้สึกว่าเขาเป็นพี่ชาย สิ่งที่พี่เขาสอนผมมา ตลอด 4 คาบ คือความรู้ที่มีค่ามากๆ ที่ผมคิดไม่ออกว่าผมจะมีโอกาสได้รับความรู้แบบนี้จากที่อื่นอีกไหม "ความเงียบก็สามารถทำร้ายคนอื่นได้ การพูดจาที่จริงใจทำไมมันถึงยังเป็นการทำร้ายกัน" "ความขัดแย้งกันระหว่างคนรักกัน มันเกิดจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นการที่ผู้พูด ไม่สามารถส่งความรู้สึกที่แท้จริงลงไป มีการตัดสิน และใช้คำพูดที่อาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อกัน"

ผมได้เรียนรู้เรื่อง กล้อง กับวีดีโอ และในส่วนของผู้ฟัง ผมได้เห็นการสรุปเรื่องของภูเขาน้ำแข็ง บางครั้งในชีวิต เราสามารถเปลี่ยนตัวเองในการเลือกใช้คำพูดให้มีความระมัดระวังกับความรู้สึกคนอื่นได้ แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนคำพูดของคนอื่นได้ อย่างไรก็ตาม เราสามารถที่เราทำความเข้าใจกับเขาแทนได้ ผมค่อนข้างชอบมากๆ ที่พี่ตู่ สอนในมุมมองของผู้พูดและผู้ฟังในเวลาเดียวกัน

ในเรื่องของการตั้งคำถาม ผมได้ประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับเรื่องนี้มาก ตอนที่ผมได้ไปสัมภาษณ์เฮียเอิร์ธ ใน prototype ในตอนแรกเฮียค่อนข้างยุ่ง และไม่ค่อยเต็มใจเท่าไรนัก แต่พอผมเริ่มจะตั้งคำถามเฮียไป ถึงบางจุด เฮียตอบมาเยอะกว่าที่ผมถามเสียอีก มันเพิ่มความมั่นใจในการไปคุยกับคนอื่นให้ผมขึ้นเยอะเลย

ตอนไปคลองเคย ผมได้เรียนรู้จักการเป็นผู้ให้ แล้วมันให้ความรู้สึกยังไงกลับมา ตลอดจนช่วงเวลาที่ผมได้ไปทำจิตอาสา ชดเชยการมาเรียนสาย ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้จริงๆ และพอได้ทำมัน ผมก็ค่อนข้างชอบมันด้วย

ชั่วโมง Odyssey plans ทำให้ผมรู้ว่า ทุกคนก็มีปัญหาเข้ามาในชีวิตเช่นกัน ทุกคนต้องมาทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแบบไม่เต็มใจ ไม่ใช่ชีวิตที่พวกเขาอยากจะมี ทุกคนมีภาระที่ต้องแบกรับ ต้องเจอกับเรื่องราวแย่ๆ ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผล ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ จนมีคำถามกันว่า ทำไมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นกับเรา ผมได้ฟังแล้วผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมกำลังเผชิญ กำลังตรมกับมัน ผมคิดว่าผมกำลังโชคร้าย จริงๆแล้วทุกคนก็มีเรื่องแบบนี้ทั้งนั้น แต่พวกเขาแบกรับมัน และก้าวไปข้าวหน้า บางทีอาจจะเพราะพวกเขามีคนข้างๆ อยู่ด้วย ผมอาจจะอยู่ตัวคนเดียว ถ้าผมมีเพื่อนที่อยู่ข้างๆ ผม ผมอาจจะรับมือกับมันได้ดีกว่านี้ก็ได้

การไปค่ายปางสีดาทำให้ผมรู้ว่าผมแตกต่างกับคนอื่นขนาดไหน ผมต้องพัฒนาทักษะด้านไหนบ้าง มีโจทย์อะไรที่ผมต้องกลับไปทำหลังจากนี้ ได้ทบทวนตัวเอง แล้วก็ทำให้ผมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

ในส่วนที่ผมอยากจะแก้คือเรื่องของความมั่นใจในตัวเอง ยิ่งกว่าเดิมหลังจากเรียนวิชานี้ ผมได้เห็นความแตกต่างระหว่างผมกับคนอื่น ถ้าไม่หลอกตัวเองยังไงก็พูดได้เต็มปากเลยว่าผมขาดอะไรอีกเยอะ อาจารย์หญิงบอกว่าผมแตกต่างจากคนอื่นในคลาสอย่างเห็นได้ชัด พี่มูบอกว่าผมเหมือนเด็กม. 3 ที่มาเรียนกับเด็กปี 4 ซึ่งเป็นคำพูดที่ผมไม่มีวันอยากได้ยิน ทำลายความมั่นใจในการเข้าสังคมผมมากๆ แต่ผมก็ดีใจอยู่ดีที่ได้ยินอะไรแบบนี้ เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ใครๆ ก็เอามาบอกกับผมได้ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนรอบตัวผมก็น่าจะคิดกันอยู่แล้ว แต่พวกเขาไม่ได้พูดมันออกมาตามมารยาท

ผมสัมผัสได้ชัดว่าผมไม่มีความมั่นใจยิ่งกว่าเดิมมากๆ แต่ผลกระทบกับเรื่องนี้ มันไม่ได้แย่เลยครับ มันยิ่งทำให้ผมพยายามที่จะเข้าหาคนอื่นยิ่งขึ้น พยายามจนรู้สึกเหนื่อย พยายามจนตัวเองดูแปลก กลายเป็นตัวอะไรไม่รู้ พยายามจะลองทำอะไรใหม่ๆ การออกไปทำจิตอาสาคนเดียวก็เพราะอยากจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง

บางทีเพราะผมอาจจะได้ความกล้ากลับมาจากวิชานี้ ผมกล้าที่จะออกไปข้างนอก กล้าที่จะเข้าสังคม กล้าที่จะพยายามเข้าหาคนอื่น เพราะผมไม่กล้าที่จะต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว

เรื่องต่อมา คงเป็นความเป็นผู้ใหญ่ ผมไม่มีความรับผิดชอบ ไม่ตรงต่อเวลา บางเวลาก็ขี้เกียจ ไม่มีการวางแผนล่วงหน้า ไม่มีระเบียบ

ส่วนสุดท้าย ผมอยากจะไม่แตกต่างกับคนอื่น คาดหวังไว้ว่าถ้าเราเรียนวิชานี้แล้ว ผ่านไปเรื่อยๆ เราน่าจะดูกลมกลืนมากขึ้น แต่ก็ยังหยาบอยู่ดี ผมก็จะพยายามปรับมันมากขึ้นหลังจากนี้

คนที่ 19

เหตุผลที่ผมลงวิชานี้จริงๆ ไม่ใช่เพราะเกรดหรือว่าเรียนง่าย ผมได้ยินว่าเป็นวิชาที่สอนเกี่ยวกับซอฟต์สกิล การพัฒนาตัวเอง ผมก็รู้สึกอยากเรียน เพราะลึกๆ เเล้วผมมองตัวเองด้อยมาตลอด ไม่พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ทำให้ขาดความมั่นใจ พอได้ยินเกี่ยวกับวิชานี้ผมก็อยากลองเข้าไปเรียนดู อยากรู้ว่าจะเจอกับอะไร 

ในคาบแรกที่เรียนกับพี่เก๋ มีกิจกรรมหนึ่งที่ชอบมากๆ คือกิจกรรมที่พี่เก๋ให้นอนจินตนาการความรู้สึกเเละความทรงจำย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเป็นทารกเติบโตจนถึงปัจจุบันนี้ มันทำให้ผมได้ทบทวนตัวเอง มันมีบ่อยครั้งที่ผมรู้สึกสับสนว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เป้าหมายในตอนนี้คืออะไรวะ ผมใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนที่หลากหลาย มองแต่คนอื่น เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มันทำให้ผมหลุดโฟกัสชีวิตตัวเอง ในกิจกรรมนี้เมื่อผมหลับตานึกย้อนกลับไปเห็นตัวเองตอนเด็ก ผมเห็นเด็กที่ติดแม่มาก เห็นเด็กขี้ร้อง เห็นเด็กที่รักพ่อกับแม่มากๆ ผมคิดในใจกับตัวเองว่าตอนเด็กเราอยู่กันอย่างนี้หรอ เรากินข้าวกันแบบนี้หรอ ถ้าไม่ตั้งใจนึกถึงมันก็คือลืมไปเเล้วจริงๆ ผมคิดถึงพ่อแม่ตอนที่ยังไม่เเก่ยังเเข็งเเรง ผมเห็นตัวเองที่ค่อยๆเติบโตขึ้น ความคิดเริ่มเปลี่ยน เริ่มเที่ยวกับเพื่อน เริ่มไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้ เริ่มมีความฝัน พอนึกย้อนไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า เห้ยเราเคยมีความฝันแบบนี้ด้วยหรอ เราเคยตั้งใจจะทำสิ่งนี้ด้วยและตอนนั้นก็ตั้งใจมากๆ ทำได้ไงวะ ในระหว่างที่หลับตาคิด ผมสัมผัสได้ถึงความสงบในหัวเเละความรู้สึกมีความสุขกับตัวเองมากๆ ผมคิดได้ว่าเราก็เป็นตัวเองของขีวิตตัวเองนี่หว่า เราก็มีเรื่องราวในแบบของเรา เหมือนผมได้กลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง กลับมารักตัวเองมากขึ้น โทรหาพ่อแม่บ่อยขึ้น รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ นี่ก็เป็นหนึ่งในความประทับใจสุดๆในคลาสแรกของผม ที่ยังจำมาจนถึงตอนนี้
อีกกิจกรรมที่ผมรู้สึกชอบมากคือ good time moment เป็นกิจกรรมที่ทำให้ผมอยากออกไปทำสิ่งที่มีคามสุข ผมรู้สึกว่ามันเปลี่ยนชีวิตผมให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้นนะครับ เช่น ผมมีความอยากออกกำลังกายมากๆ ทุกครั้งที่ได้ไปออกกำลังกาย หลังออกเสร็จผมจะรู้สึกดีกับตัวเองแบบสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้น ช่วงเวลาที่นอนอยู่บนเตียงหรือนั่งเล่นเกมหน้าคอม ก็เป็นช่วงที่ขี้เกียจไปออกกำลังกายแบบสุดๆ ย้อนแย้งไหมครับ ออกกำลังกายเเล้วจะทำให้ตัวเองรู้สึกดี แต่ขี้เกียจไปออกอย่างอย่ตรงนี้ อยากเล่นเกม อยากนอน กิจกรรม good time moment ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ทำให้ผมบังคับตัวเองให้ไปทำอะไรแบบนี้ มันจะมี good time อันนึงที่ผมไปว่ายน้ำ ผมอยากว่ายน้ำอยู่นานละ แบบได้แต่คิดอ่ะ อยากไปว่ายน้ำจัง ชวนเพื่อนดีกว่า เพื่อนก็ไม่ไป สุดท้ายวันนั้นเลยคิดว่า เออวันนี้จะไปว่ายน้ำให้ได้เเล้วจะเขียน good time moment ซึ่งก็ทำได้จริงๆเเละมีความสุขมากๆ ผมอยากให้มีกิจกรรม good time moment ต่อไปเรื่อย ซึ่งพอมาเขียน reflection อันนี้ มันก็ทำให้ผมได้ไอเดียเรื่องจะทำ good time moment ของตัวเองไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้จะทำได้ถึงขนาดไหน แต่จะเริ่มจากพรุ่งนี้นี่แหละ
อีกเรื่องที่เปลี่ยนแปลงก็คือการได้เรียนการรับรู้ความรู้สึก การempathy และการโค้ชชิ่ง ในเรื่องของการรับรู้ความรู้สึกมันทำให้ผมซื่อตรงกับความรู้สึกและความต้องการของตัวเองมากขึ้นก่อนหน้านี้บ่อยครั้งที่ผมไม่ชอบที่จะยอมรับความจริงว่าผมกำลังรู้สึกลบๆอยู่เช่น รู้สึกอิจฉา น้อยใจ ผมมักจะพยายามเก็บมันไว้เเละมองข้ามไป แต่เมื่อได้เรียนกับพี่ตู่มันทำให้จัดการกับความรู้สึกและความต้องการภายในของตัวเองได้ดีขึ้น
ในด้านของการสนธนากับผู้อื่นนั้น โดยปกติผมไม่ค่อยมีโอกาสจะคุยกับคนอื่นแบบจริงจังเท่าไหร่ ถามเรื่องของเขา ถามความรู้สึกและความต้องการของเขา ผมรู้สึกเขินๆเเละไม่รู้ว่าการถามพวกนี้มันจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นจริงไหม หลังจากการเรียน coaching กับ พี่ตู่เเละได้นำไปใช้กับเพื่อนร่วมคลาสผมก็รู้สึกว่ามันใช้ได้ดีขึ้น ผมสามารถสนธนากับเพื่อนได้แบบจริงใจ รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฟังเเละให้คำปรึกษาคำแนะนำผู้อื่นได้ดีขึ้น รู้สึก connect กับผู้อื่นมากขึ้น
สุดท้ายผมขอขอบคุณอาจารย์จุฑาที่จัดคลาสนี้ ทำให้พวกเราทุกๆได้มาเรียนวิชานี้และได้รู้จักกันมากขึ้น ขอบคุณพี่ๆทุกๆคนที่ให้ได้ให้ความรู้กับพวกเรา ผมคิดว่าเวลาที่พวกเราได้ใช้ร่วมกันในวิชานี้มันมีค่ามากๆ 

คนที่ 20

สำหรับ self reflection หลังจากที่ได้เรียนวิชา select topic นั้น ก่อนอื่นต้องขอเล่าก่อนว่าที่หนูเลือกลงวิชานี้หนูก็แอบคาดหวังไว้ว่าเรียนวิชานี้แล้วหนูจะได้เห็นแง่มุมอะไรใหม่ๆ ที่หนูไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน ได้แง่คิดที่สามารถนำมาปรับใช้ในการใช้ชีวิตได้ และได้พัฒนาตัวเองและรู้จักตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม ค้นพบในสิ่งที่ตัวเองชอบแล้วสามารถมาเป็นจุดยืนหลังจากที่เรียนจบได้เพราะรู้สึกว่าหลังจากเรียนจบแล้วมันจะต้องเคว้งคว้างมากแน่ๆ ซึ่งในแต่ละคาบที่เรียนนั้นหนูก็ได้รับแง่คิดต่างๆ ที่สามารถมาปรับใช้ในชีวิตมากมาย หนูรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิดเลยที่เลือกลงวิชานี้ มันค่อนข้างตอบโจทย์กับสิ่งที่เราต้องการมาโดยตลอด และโดยรวมแล้วหนูรู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นระดับนึงเลย

เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงอย่างแรกที่เห็นได้ชัดเลย คือ การที่ได้มาเรียนวิชานี้มันทำให้หนูมาถึงจุด turning point ของตัวเอง หนูสามารถก้าวข้ามเรื่องราวที่เศร้าที่สุดในชีวิตของหนูได้ นั่นก็คือเรื่องแม่ของหนูค่ะ การก้าวข้ามนี้มันไม่ได้เป็นการที่หนูแค่หลอกตัวเองเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนูสามารถปล่อยวางได้ จากที่แต่ก่อนรู้สึกว่าตัวเองยังปล่อยวางเรื่องแม่ไม่ได้ หนูรู้สึกเหมือนกับว่ากิจกรรมร่างทรงในคืนนั้นจะได้เรียกสติหนูให้หนูอยู่กับปัจจุบันมากขึ้นและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความโศกเศร้านี้ให้ได้ ไม่พยายามคิดฟุ้งถึงอดีตที่เราโศกเศร้าและเรื่องย้อนเวลากลับไปแก้ไขไม่ได้ รวมถึงได้กลับมาโฟกัสในเรื่องการดูแลตัวเองมากขึ้น เพราะเชื่อว่าลึกๆแล้วแม่ก็ยังคอยเฝ้าดูเราอยู่และการดูแลตัวเองนั้นก็สามารถทดแทนบุญคุณของแม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นตอนนี้เลยพยายามดูแลตัวเองเพิ่มเข้าไปอีก พยายามทำแต่ในสิ่งที่ส่งผลดีกับตัวเรา ซึ่งพอหนูทำแบบนี้มันเลยทำให้หนูรักตัวเองมากขึ้นกว่าเดิมค่ะ

ถัดมาที่รู้สึกว่าเปลี่ยนไปก็คือ วิชานี้ทำให้หนูได้เรียนรู้เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากขึ้น รู้สึกได้ว่าตัวเองอยู่กับผู้อื่นได้มีความสุขมากกว่าเมื่อก่อน ด้วยความที่คลาสนี้เป็นเหมือนการจำลองสังคมเล็กๆสังคมหนึ่งขึ้นมา ตอนแรกที่เริ่มเรียนก็รู้สึกเกร็งๆ ไม่ได้กล้าเข้าหาหรือคุยกับเพื่อนบางคนที่ไม่ได้สนิทมากนัก แต่พอผ่านไปแต่ละคาบมันเหมือนได้รู้จักเพื่อนบางคนมากขึ้น ได้ร่วมวงแลกเปลี่ยนความคิดกัน พอทำอย่างนี้บ่อยๆ มันก็ทำให้เรากล้ามากขึ้น กล้าคุยกับเพื่อน กล้าเปิดใจกับเพื่อน กล้าแสดงออกในความคิด จากที่แต่ก่อนหนูแย่กว่านี้มากๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออกทางความคิดสักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าความคิดตัวเองมันไม่ได้ดีขนาดนั้น อีกเรื่องหนึ่งที่เหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปหน่อยๆแต่ไม่ได้เปลี่ยนไปเยอะขนาดนั้น หนูรู้สึกว่าเมื่อก่อนตัวเองก็เป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นในระดับนึง มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นในระดับนึงอยู่แล้ว พอได้เรียนคลาสนี้มันก็ได้พัฒนาในส่วนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกนิดนึงค่ะ แล้วก็เวลาที่มีคนมาปรึกษาปัญหาต่างๆกับหนู เมื่อก่อนที่ให้คำปรึกษาไปเหมือนเราเข้าใจคนอื่นเพียงแค่ผิวเผินไม่ได้มองลึกลงไปถึงความรู้สึกของคนคนนั้น พอได้เรียนวิชานี้หนูก็ได้นำทริคที่พี่ตู่สอนมาปรับใช้ ทำให้หนูสามารถ connect กับเพื่อนได้มากขึ้น เข้าใจในความรู้สึกของเพื่อนมากขึ้น แล้วก็ทำให้หนูสามารถให้คำปรึกษากับเพื่อนได้ดีมากขึ้นไม่พยายามชี้นำเพื่อนเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงแม้จะยังทำได้ไม่ดีมากขนาดขั้นโปรแล้วก็ตาม แต่ก็แอบรู้สึกภูมิใจตรงนี้หน่อยๆค่ะ

อย่างต่อมาที่หนูรู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไป คือ หลังจากที่ได้ทำ good time moment ค่ะ การที่ได้ทำ good time moment มันเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้หนูได้หัดคุยกับตัวเองมากขึ้น คอยสังเกตตัวเองมากขึ้นจากที่เมื่อก่อนปล่อยผ่านไปไม่ค่อยสนใจตัวเองเท่าที่ควร พอคอยสังเกตตัวเองมากขึ้น มันก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้เรารู้สึกอะไรอยู่ แล้วเรามีความสุขมั้ย อะไรบ้างที่ทำให้เรามีความสุข และการที่ได้ทำ goodtime moment มันทำให้หนูสามารถมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้าได้ง่ายมากขึ้น ช่วยให้หนูมองโลกในแง่ที่มันมีสีสันมากขึ้นและบวกขึ้นจากแต่ก่อนค่ะ

และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดท้าย คือ หนูกลายเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น เมื่อก่อนหนูเป็นคนที่ไม่ค่อยได้วางแผนชีวิตอย่างชัดเจน พอคิดถึงเรื่องอนาคตแล้วมันก็รู้สึกปวดหัวแล้วก็เลิกคิดไปทุกที แต่การที่ได้มาเรียนวิชานี้ก็ทำให้หนูได้ฝึกวางแผนชีวิตอย่างจริงๆจังๆ เนื่องจากจะต้องทำ odyssey plan ตอนที่ทำ plan มันเหมือนได้ถามตัวเองว่าลึกๆแล้วเราชอบและอยากทำอะไรกันแน่ แล้วยิ่งทำ prototype ที่จะต้องไปสัมภาษณ์พี่ๆ ที่เขาทำในแต่ละอาชีพที่เราสนใจ มันทำให้เราเห็นภาพการทำงานมากขึ้น สร้าง passion ในการอยากทำอาชีพนั้นๆ มากเข้าไปอีก ซึ่งอาชีพ air hostess ก็เป็นอาชีพที่หนูอินมากๆ หลังจากที่ได้สัมภาษณ์พี่เขาก็เริ่มมีความรู้สึกชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นและตอนนี้ถือได้ว่ามีเป้าหมายที่แน่นอนแล้วค่ะ อยากลองสมัครดูสักตั้ง ถ้าได้คงแฮปปี้มากๆ

สำหรับสิ่งที่อยากให้ตัวเองเปลี่ยนแต่ยังเปลี่ยนไม่ได้ เห็นจะเป็นเรื่องของความมั่นใจในตัวเองค่ะ การที่หนูยังไม่มั่นใจในตัวเองมากพอมันทำให้หนูยังเป็นคนขี้ล่ก ขี้กังวลง่าย แต่เอาจริงๆ หนูก็รู้สึกว่ามันดีขึ้นจากแต่ก่อนมาระดับนึงแล้วนะคะแต่มันยังไม่ถึงขนาดที่เรียกได้ว่ามั่นใจในตัวเองมากพอ หนูคิดว่าจากนี้คงต้องพาตัวเองไปเจอขอบที่พิสูจน์ความมั่นใจบ่อยๆ รู้สึกต้องเชื่อมั่นในตัวเองเยอะๆ ว่าเราเก่งอยู่แล้ว เราทำได้ ถ้าทำไปแล้วมันทำไม่ได้ก็ค่อยหาวิธีแก้ปัญหากันต่อไป มันไม่เสียหายอะไรถ้าเราจะมั่นใจและเชื่อว่าเราทำได้ไปก่อน การเรียนวิชานี้ทำให้หนูได้ซึมซับแง่คิดของเพื่อนๆบางคนที่เขามีความมั่นใจในตัวเองมากๆ หนูคิดว่าหลังจากนี้ก็คงนำไปรับใช้กับตัวเองค่ะ เชื่อว่าในวันนึงหนูจะสามารถหลุดจากกรอบของความไม่มั่นใจในตัวเองได้ค่ะ

และสำหรับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้อย่างสุดท้ายก็คือ การที่หนูไม่กล้าปฏิเสธคนแม้ว่าเรื่องนั้นที่ถูกขอให้ทำมันจะเป็นเรื่องที่หนูไม่ค่อยอยากทำก็ตาม รู้สึกว่าข้อนี้มันแก้ยากมากๆเลยค่ะ มันเป็นเพราะว่าหนูเป็นคนที่ค่อนข้างขี้เกรงใจแล้วก็แคร์ความรู้สึกเพื่อนๆ มันเลยทำให้หนูไม่กล้าปฏิเสธคน แล้วทีนี้พอไม่ปฏิเสธมันเลยเหมือนเป็นการทำร้ายความรู้สึกของตัวเองหน่อยๆ แต่ตอนนี้หนูก็พยายามปรับอยู่ พยายามที่จะหาคำพูดที่มันฟังแล้วดูมีเหตุผลและไม่ทำให้เพื่อนคิดมากมาปฏิเสธเพื่อนค่ะ

สุดท้ายนี้หนูอยากขอบคุณอาจารย์ ขอบคุณพี่มู ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคน แล้วก็ขอบคุณวิชานี้มากๆค่ะ ที่ทำให้หนูสามารถเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่มีเป้าหมายและดีขึ้นได้ในระดับนึงเลย ขอบคุณจากใจจริงๆค่า


Comments