การประเมินตัวเองหลังเรียนคลาส Leadership (1/2)

นิสิตปี 4 จำนวน 20 คน จากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ และวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ลงทะเบียนเรียนวิชา Communication and Leadership ซึ่งเป็นวิชาเลือกของคณะวิศวฯ  (คลิกเพื่อดูประมวลการสอน)

การประเมินมี 2 ส่วน คือ เชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ ในด้านเชิงปริมาณ ฉันใช้แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient) ของกรมสุขภาพจิต ตามคำแนะนำของมู ชัยฤทธิ์ ที่ได้เห็นบทความ "การจัดการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาคุณลักษณะชีวิตนิสิตแพทย์" โดยนพ. เทอดศักดิ์ ผลจันทร์ และดร. ไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ ที่ม.นเรศวร   แบบประเมินนี้วัด 9 ด้าน ดังนี้ ควบคุมตนเอง เห็นใจผู้อื่น รับผิดชอบ มีแรงจูงใจ ตัดสินและแก้ปัญหา สัมพันธภาพ ภูมิใจตนเอง พอใจชีวิต สุขสงบทางใจ คำอธิบายเพิ่มเติมของด้านต่างๆ อยู่ที่นี่

การประเมินในเชิงคุณภาพ ฉันขอให้นิสิตเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Reflections) ว่ามีอะไรบ้างที่เปลี่ยนแปลง และอย่างไร และมีอะไรบ้างที่ไม่เปลี่ยน

การเปรียบเทียบคะแนน EQ ก่อนและหลังเรียน

ฉันให้นิสิตทำแบบสอบถามนี้หลังจากเรียนไปแล้ว 2 คาบ (เพิ่งคิดได้ว่าจะทำ) และทำอีกครั้งจบคลาส คะแนน EQ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ความเชื่อมั่น 95% โดยมี p-value = 0.0004 ดังนี้

คะแนน EQ ก่อนและหลังเรียน


การประเมินตนเองของนิสิต

เรียงตามลำดับการอ่านของฉันหรือการส่งของนิสิต

คนที่ 1

ผมมาเรียนเป็นเพื่อนเพื่อน ผมเปิด course syllabus ไล่ดูหัวข้อก็เดาไม่ค่อยถูกว่าอ่านจากหัวข้อแล้วจริงๆ มันเรียนเกี่ยวกับอะไร แต่พอเรียนคาบแรกไปก็รู้สึกน่าสนใจดี ก็เลยลงเองเลย ก็คาดหวังว่าจะได้ลองเจออะไรใหม่ๆ ที่มันจะเป็นประโยชน์กับชีวิตตลอดทั้งคอร์ส

การเรียนรู้ที่ผ่านแต่ละคาบ ผมได้เรียนอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ จากการทำกิจกรรมที่ไม่เคยทำ และไม่คิดที่จะทำมาก่อน ได้ลองฝึกคิดในมุมมองใหม่ๆ จากการสอนของวิทยากรผ่านกิจกรรมต่างๆ
  • แผนที่ชีวิตของพี่เก๋ ทำให้ผมกลับบ้านมาคิดถึงตัวเองในอดีตว่าตัวเองผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งตอนในคาบที่ให้เขียน ผมเขียนไม่ออกเลย ผมลืมไปหมดว่าชีวิตที่ผ่านมามีไรมั่ง นอกจากเรียนๆ
  • ถัดมาเป็น Design Your Life กับอาจารย์ได้เรียนความรู้ใหม่ๆ ศาสตร์การออกแบบที่แปลกดี ได้เจอ Work View ,Life View เป็นการคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยงที่ไม่เคยคิดถึงเลย รู้สึกชอบโคตร
  • แล้วก็กิจกรรมของพี่ปั้นกิจกรรมอินโทรเข้าป่าชอบที่ได้รู้สึกเปิดอายตนะดี ปกติวันๆมีแต่เรียนเปิดแต่ตา สมอง หู ขยับมืออย่างเดียว
  • กิจกรรมคาบพี่มูเป็นกิจกรรมที่พีคมากสำหรับ สคส.กาชาปอง คนลักษณ์ ๕ เจอให้ทำกิจกรรมอย่างงี้ยังไงก็หน้าสั่น ตัวสั่นหมดแหล่ะครับ เจออะไรที่ไม่ได้คาดเดา วางแผนไว้555 แต่รู้สึกดีมากที่ทำได้เหมือนได้หลุดจากกรอบที่ตัวเองเคยตั้งว่าไม่ควรทำอะไรอย่างนี้ แต่พอทำมันก็ไม่เห็นจะแย่อย่างที่คิด กิจกรรมที่ได้กอดกับเพื่อนภาคหลายคน ปกติเท่าที่จำได้เคยกอดกับแค่เคี้ยง(กอดบ่อย) กับกอดวินเคยกอดกันตอนเมาๆ ทีนึงพอจำได้ตอนนั้นผมยังกรึ่มๆ555
  • กิจกรรมเท่าทันสื่อของพี่ฝนช่วยให้ผมได้คิดให้ที่ถ้วนมากขึ้น สงสารปอมที่ต้องมาอยู่กลุ่มชายฉกรรจ์ล้วนแล้วต้องมานั่งวิเคราะห์ เพลง บักแตงโม ต้องมาฟังบทสนทนา การวิเคราะห์แบบลูกผู้ชาย555 แต่การมีปอมทำให้ได้มุมมองของผู้หญิงก็ดีเหมือนกัน
  • ได้เข้าไปสลัมคลองเตยที่เคยเห็นแต่แค่จากมุมมองจากบนทางด่วน สถานที่ที่ถ้าให้ไปกันเองก็คงไม่ไป แต่การได้ไปนั่นวิเศษมากจริงๆ ได้เห็นมุมมองภายในสลัม สภาพความเป็นอยู่ ได้รู้ว่าเราโชคดีแค่ไหน ดีใจที่ทุกคนปลอดภัยกลับมา ขอบคุณอาจารย์หญิง พี่ตู่ และพี่ๆที่mercy centerมากๆครับ สำหรับประสบการณ์ที่ล้ำค่าจริงๆ
  • Super Series Course by พี่ตู่ ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้คิดอะไรที่ผมเป็นประโยชน์กับผมหลังจากเรียนจบมากๆ พี่ตู่ใช้คำไม่กี่คำเป็นหัวข้อในการสอน แล้วพี่ตู่ขยายคำเหล่านั้น สร้างความเชื่อมโยงของคำที่สอนในคาบปัจจุบันกับคำที่สอนในคาบก่อนๆออกมาได้อย่างสวยงาม ขอบคุณสำหรับความทุ่มเท และตั้งใจของพี่ทุกๆ คาบที่มาสอนครับ รวมทั้งขอบคุณอีกครั้งสำหรับหนังสือนะครับ
  • Odyssey Plan ชอบที่ได้รับรู้เรื่องราว ความเป็นมาของเพื่อนแต่ละคนผ่านแผนของเพื่อน ทำให้ได้เห็นชีวิตจริงของใครหลายคน ได้เข้าใจเพื่อนมากขึ้น
  • The Best Camp การเข้าป่าครั้งแรก นอนเต้นท์(ที่สภาพดีๆ)ครั้งแรก อาบน้ำท่ามกลางไฟฉายครั้งแรก ก่อไฟด้วยถ่านเองครั้งแรก การได้ฟังเรื่องราวของเพื่อนๆ ท่ามกลางแสงจันทร์ ได้กอดกับเพื่อนภาคอีกครั้งแต่ครั้งนี้รู้สึกดีมากกว่าครั้งก่อนจริงๆ และที่สำคัญคือการได้รู้จักตัวเองมากขึ้น
  • สุดท้ายคือเรียนกับพี่มะขวัญ รู้สึกมึนๆ ฮาๆดี เป็นคาบเรียนสุดท้ายและวิชาสุดท้ายที่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัย โควิดทำให้การเรียนแบบเจอหน้ากันจบลงแบบไม่ทันตั้งตัว แบบงงๆ นี่หรือคาบเรียนในห้องสุดท้ายในชีวิตป.ตรี 55555
อ่างเก็บน้ำพระปรง อช.ปางสีดา
 การเรียนตอนแรกก็รู้สึกไม่ได้เชื่อมโยงกับความรู้เดิมๆเท่าไหร่เพราะผมนึกไรไม่ค่อยออก แต่พอเรียนๆไปก็พอจะดึงความทรงจำตัวเองออกมาได้ทีละเล็กทีละน้อย เริ่มเห็นสภาพอนาถๆ ของตัวเอง แล้วก็อยากจะปรับตัวเองให้ดีขึ้นคิดให้กว้างขึ้น ใช้กาย และใจเข้าร่วมด้วย เพราะที่ผ่านมาก่อนมาเรียนรู้สึกว่าเป็นคนที่คิดตัดสินอะไรใช้หัวมากๆ ผมจะตัดความรู้สึกออกจากการคิด และการตัดสินใจทุกอย่าง แต่พอได้เรียนก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่ Only Solution เราควรต้องหา Connection ก่อน Solution น่าจะดีกว่าในการคิดหรือตัดสินใจแต่ละครั้งควรทำอย่างไร มันไม่มีทางถูกหมดแต่ก็ลดข้อผิดพลาดลงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นให้ได้ การได้คิดแล้วเชื่อมโยงนี้ลดความเครียด ความกลัวความผิดพลาดน้อยลงไปเยอะ

สิ่งใหม่ๆ ที่ได้เรียนรู้ก็มีมากมายอย่างที่เขียนไปก่อนหน้า แต่สิ่งที่ผมว่าสำคัญที่สุดที่ได้จากการเรียนวิชานี้ คือ การได้รู้จักตนเอง ก่อนมาเรียนผมว่าผมรู้ตัวเองดีแล้ว แต่พอได้มาเรียนก็ได้เข้าใจว่าผมเข้าใจได้ไม่สุด ได้คิดว่าการจะเข้าใจตัวเองได้จริงๆ มันจะต้องใช้คนอื่นมองเข้ามาด้วย ให้คนอื่นเป็นกระจกส่องมาด้วย ผมได้ฟังความเป็นผมจากมุมมองคนอื่นที่ผมไม่เคยได้ฟังเท่าไหร่ ปกติจะฟังแค่ว่าเป็นคนเงียบๆ ทรามๆ ไม่ทำกิจกรรมๆ Logic Man เป็นมนุษย์จำพวกแรกที่ไม่น่าจะลงวิชานี้5555 (พอเพื่อนๆรู้ว่าผมลงนี่คือหน้าเหวอกันหมด)

ในวิชานี้ผมได้ฟังจากพี่ตู่ว่าผมเป็นคนมี Empathy ซึ่งผมตอนได้ยินครั้งแรกก็แบบคือหยังวะ 555 อาจารย์บอกว่าผมมีนิสัยเป๊ะตามนิสัยพ่อ พี่มูบอกผมว่าผมเป็นคนลักษณ์ ๕ ทุกคำพูดทุกคำตอบคือลักษณ์ ๕ ได้เห็นว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่เปิด google map หาตำแหน่ง ที่ตั้ง เวลาที่จะใช้ในการเดินทางก่อนไปปางสีดาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆที่ผมเข้าใจคิดเองเออเองว่าใครๆ ก็น่าจะทำกัน จะไปไหนหรือจะทำอะไรก็ควรจะต้องรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ ทำไปทำไม ที่เขียนมาก็เป็นสิ่งที่สะท้อนมาทำให้ผมได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งผมรู้สึกพิเศษกับการเรียนรู้ของวิชานี้มาก

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผมได้รู้สึกเห็นคุณค่าของการใช้หัว กาย ใจมาร่วมด้วยช่วยกันในการใช้ชีวิตมากขึ้น การทำกิจกรรมเช่นเดินป่าฝ่ามะนาวผีจะทำไม่ได้เลยถ้าไม่ได้มี กาย และใจร่วมด้วย ถ้าเป็นผมแต่ก่อนก็ใช้แต่หัวคิดว่าจะเข้าไปทำไม เข้าไปเพื่ออะไร จุดหมายปลางทาง เส้นทางที่จะเข้าไปเป็นอย่างไร จะเข้าไปนานเท่าไหร่ ใช้เวลาเดินทางกี่นาที และอื่นๆ แต่พอโดนบังคับมาให้ทำ พอทำเสร็จได้เดินเข้ามาตรงริมลำธาร ใต้ร่มไม้ใหญ่มาก ได้อยู่กับปัจจุบัน ก็ได้คิดกับตัวเองว่าช่างแม่งบ้างก็ได้ในหลายๆ อย่างในหัว ได้เห็นว่าที่ผ่านๆมาในชีวิตหัว มันโดนกายตัด ขาดจากใจไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ชีวิตยังหาความสุขไม่ค่อยเจอ แม้จะประสบความสำเร็จอะไรหลายๆอย่างแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแฮปปี้ไรเท่าไหร่ เพราะตัวเองเอาแต่คิดมุ่งมั่นมากกับงานหน้าที่ตัวเองแบบสุดโต่ง เรื่องนี้อาจารย์ก็บอกผมตอน Odyssey Plan ว่าบางทีผมโฟกัสกับอะไรตรงหน้ามากไป มองลึก มองละเอียดมาก แต่ไม่ได้มองกว้าง ซึ่งผมก็จะมองให้กว้างขึ้นให้ได้ครับ จะพยายามเปลี่ยนตัวเองให้ได้ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรียนรู้ข้อเสียของลักษณ์ ๕ แล้วแก้ไข อย่างที่พี่มูบอกว่า เราเรียนลักษณ์เพื่อลืมลักษณ์ให้ได้ครับ
Forest Bathing ในมก.เราเอง

คนที่ 2

ชอบคลาสนี้ตรงที่ทำให้ผมได้ลองคุยกับเพื่อนใหม่ๆที่ปกติแล้วไม่ค่อยได้คุยกันในเวลาปกติ ซึ่งบางคนผมก็เสียดายที่น่าจะได้คุยกันเร็วกว่านี้

1. มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
1.1 ทำให้ผมคุยกับหม่าม๊ารู้เรื่องขึ้น ตั้งแต่คาบแรกที่พี่เก๋มาเป็นวิทยากรแล้วทำให้ผมได้รู้ว่าคนเรามีอยู่ด้วยกัน 3 ฐาน คือ หัว ใจ และกาย ซึ่งเวลาที่ผมคุยกับหม่าม๊าทีไร ผมก็จะทะเลาะกับแกอยู่ตลอด ซึ่งเจก็งงว่าทำไมม๊าไม่เข้าใจมันก็แค่ 1+1 = 2

หลังจากได้เรียนกับพี่เก๋ ผมก็ได้รู็ว่าเออผมแม่งใช้ฐานหัวเยอะเกินไป ซึ่งผมรู็สึกได้ว่าม๊าเป็นคนที่ใช้ฐานหัวใจค่อนข้างเยอะ มันเลยทำให้เราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วทะเลาะกันอยู่เรื่อย หลังๆ มานี้ผมเลยพยายามใช้ฐานหัวน้อยลง และพัฒนาให้ตัวเองพยายามใช้ฐานใจบ้างก็เลยค่อยๆ คุยกันรู้เรื่องขึ้นมาบ้าง

1.2 ผมใจเย็นลงมากๆ คือ ปกติผมเป็นคนที่เวลามีปัญหาอะไรกับใคร ถ้าคนนั้นร้อนใส่ผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ผิด หรือไม่ก็ผมผิดก็ตาม ผมก็จะอารมณ์ร้อนใส่เค้าเหมือนกัน แล้วมันก็จะจบที่ว่าทะเลาะกันไม่เข้าใจกัน แต่ถ้าเทียบกับหลังเรียนเสร็จ ผมก็รู็สึกได้เลยว่าเวลาที่ผมมีปัญหากับใครหรือทะเลาะกับใคร ผมจะคิดก่อนว่าเค้าต้องการอะไร ทำไมเค้าถึงเป็นอย่างนั้น เราเผลอพูดอะไรที่เค้าไม่ชอบไป ไม่ก็จะแยกกันก่อนแล้วรอให้เค้าอารมณ์เย็นแล้วค่อยมาคุยกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นยังไง คือผมจะไม่ร้อนกลับ แต่ผมจะบอกให้ไปทำใจเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ไม่ก็ถ้าผมอารมณ์เสียก่อน ผมก็จะเอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น ทำให้ตัวเองใจเย็น แล้วหลังจากนั้นค่อยกลับไปเคลียกัน

1.3 ผมเป็นคนที่เปิดใจมากขึ้น กล้าเล่าเรื่องที่เราเจอมาหรือปัญหาที่เจอมาให้คนอื่นฟัง มันยากมากสำหรับผมที่จะเล่าเรื่องทุกข์ใจที่ตัวเองมีอยู่ให้คนอื่นฟัง เพราะผมรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาของเรา เราก็ควรจะเก็บไว้อยู่แค่เราสิ จะบอกคนอื่นไปเพื่ออะไร แต่หลังจากเรียนวิชานี้ไปแล้วได้ลองพูดปัญหาที่เราเจอออกไปให้เพื่อนฟัง มันรู้สึกสบายใจขึ้นพอสมควร คือบางทีเราแค่อยากให้มีคนฟังปัญหาที่เราเจอ มีคนคอยรับฟังเรามันก็ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก

รูปจากแอม


2. มีอะไรที่อยากให้ตัวเองเปลี่ยน แต่ไม่เปลี่ยนแปลง
2.1 น่าจะเป็นเรื่อง judge คนตั้งแต่แรกเจอ คือที่ผมเคยพูดว่าถ้าเจอหน้าใครในทีแรก แล้วรู้สึกว่าคนนี้จะต้องมีประเด็นอะไรกับผม ผมก็จะไม่ชอบขี้หน้าคนนั้นไปเลย แม้กระทั่งเรียนวิชานี้จบไป คุยกับอาจารย์ก็แล้ว ก็ยังรู้สึกว่าผมก็ยัง judge คนเหมือนเดิม

คนที่ 3

พอตัดสินใจลงก็ได้ยินเสียงเล่าลือมาว่าการตัดเกรดวิชานี้อยู่ที่เรามีส่วนร่วมสนใจ เปลี่ยนแปลงตัวเองไปมากแค่ไหน ตอนแรกก็กังวลว่าเราต้องทำอะไรเยอะแยะมากมายเลยเหรอ จนมาคาบแรกของพี่เก๋ เป็นจุดเริ่มต้นทุกอย่างเลย พี่ให้ทำท่าต่างๆ หนูกังวลมากๆๆๆ ต้องทำท่าซึ่งเราไม่เคยทำให้คนอื่นเห็น มีแต่คำว่าจะทำไง ทำไง ทำไง วนเวียนไป แต่ท่องไว้ว่าเพื่อเกรดก็เลยทำเลย มีอะไรสั่งให้ทำอะไรหนูจะทำให้หมด เพื่อเกรด 5555 จนจบชั่วโมง หนูว่าสนุกนะ ดีกับตัวหนูด้วย เริ่มแรกกับวิชานี้ด้วยความประทับใจ ได้คุยกับเพื่อนที่ไม่มีโอกาสจะได้คุย

หลังจากนั้นมาก็ตั้งใจว่าจะทำทุกอย่างที่ให้ทำเลย ทั้งแสดงความเห็นต่อหน้าคนอื่นๆ พูดคุยกับเพื่อนๆ หลายๆ อย่างที่ได้เรียนผ่านมาก็มีบ้างที่ลืมไป แต่หนูรู้ว่าสิ่งต่างๆที่ได้เรียนไปมันอยู่กับตัวหนูแล้ว หนูรู้สึกได้ว่าหนูเปลี่ยนไปจากเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ หนูมีความกล้ามากขึ้น กล้าที่จะทำสิ่งต่างๆ ที่อยากทำ กล้าที่จะออกความคิดเห็น กล้าที่จะคุยกับคนอื่น กล้าที่จะพูดเล่นกับเพื่อน กล้าที่จะทำในสิ่งที่เราอยากทำ กล้าที่จะออกไปเต้น กล้าที่แสดงว่าเรามีตัวตน (อย่างการเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ มันมีผลต่อหนูมากจริงๆ มันเป็นการก้าวข้ามตัวเองอย่างหนึ่ง อย่างที่อาจารย์บอกเลย) และสิ่งที่ทำให้หนูตระหนักมากสุดก็คือคลาสของพี่มู คำพูดของพี่มูที่บอกกับหนู ที่บอกให้ร้องขอได้ หนูทำสิ่งต่างๆ ด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะไม่ชอบหนูจนหนูไม่มีความสุข และส่วนใหญ่เลยที่หนูทุกข์จนไปลงกับคนอื่น แล้วหนูก็โทษตัวเองจนวนไปเรื่อยๆ มันง่ายขึ้นเยอะเลยกับการที่หนูบอกออกไป เขาจะให้หรือไม่ก็เป็นสิทธิของเขา แต่หนูได้บอกไปแล้วไม่มีไรติดค้าง
คาบก่อน Midterm กับมู

สรุปภาพรวมแต่ละคลาส (ตามความรู้สึก) คลาสพี่เก๋ทำให้ได้ลองทำอะไรออกไปเลย คลาสของพี่ปั้นทำให้หนูรู้สึกผ่อนคลาย จากการใช้ชีวิตกับเทคโนโลยี (มือถือ) มาทางธรรมชาติ คลาสพี่มูทำให้รู้สึกอบอุ่นใจและได้รับกำลังใจมาด้วย คลาสพี่ฝนทำให้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ อย่างการเสพข่าวมากขึ้น คลาสที่ไปศูนย์เด็กเล็กที่สลัมคลองเตยทำให้ได้มองอะไรกว้างขึ้น ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ตัวเองมี และสิ่งที่อยากกระตุ้นให้เราดีขึ้นต่อไป คลาสพี่ตู่ทำให้ได้เข้าใจกับสิ่งที่ตัวเราต้องการกับคนอื่นต้องการ จนเราแสดงออกมาเป็นประโยค ทำให้เข้าใจความรู้สึกของเรามากขึ้น คลาสของพี่มะขวัญก็ให้ความผ่อนคลาย สบายๆ สนุก มีความสุขตอนเรียนตามชื่อหัวข้อเลย

การนำเสนอ odyssey plan ได้ทำให้กลับมาทบทวนตัวเอง อาจารย์ได้ให้คำแนะนำมาด้วย บางคำถามหนูก็รู้สึกตรงจนไม่ยอมรับ แต่พอคิดดีๆ แล้วหนูก็เป็นอย่างนั้นแหละ แค่ยอมรับมันก็ไม่เห็นจะเป็นไร พอได้ฟังเรื่องเพื่อนทำให้รู้ว่าชีวิตเขามีเรื่องมากมาย มีปัญหามีอะไรที่ต้องผ่านมามากกว่าหนู ทำให้หนูรู้สึกอ่อนไปเลย แต่หนูก็ไม่อยากยอมแพ้ เพราะฉะนั้นหนูก็จะผ่านให้ได้เหมือนเขา และการไปค่ายเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เหมือนรวมหลายๆ คลาสมาไว้ในค่ายเลยด้วย ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ได้ลองเปิดใจ ได้ลองปล่อยวาง ได้แก้ไขปัญหาที่ค้างคาไว้

สิ่งที่หนูเปลี่ยนไปคือหนูมีความกล้ามากขึ้น เห็นความต้องการของตัวเองมากขึ้น เข้าใจความต้องการของตัวเองมากขึ้น เข้าใจว่าสุดท้ายเราก็รักตัวเองมากกว่ารักสิ่งที่คนมองเรา ทำให้หนูได้สนใจความรู้สึกตัวเองก่อนคนอื่นมากขึ้น หนูกล้าที่จะอยากได้แล้วบอกเขาไป จริงๆ ก็ไม่ทั้งหมด เหมือนพึ่งแค่เริ่มต้นที่จะไม่สนใจสิ่งที่เขามองมา หนูยังคิดมาก ยังรู้สึกมากอยู่ แต่หนูก็รู้สึกได้ว่ามันดีขึ้นจริงๆ

สิ่งที่หนูยังเปลี่ยนไม่ได้คือหนูยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองมากพอ หนูมีความกล้ามากขึ้นแต่ก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะทำออกมาได้ดี หนูรู้สึกว่าตัวเองยังดีไม่พอแต่ก็ไม่ใช้แรงมาเปลี่ยนแปลงมัน หนูไม่มีความพยายาม อะไรที่ได้มายากๆ ก็จะไม่เอาแล้ว ปลอบใจว่าแค่นี้ก็พอใจแล้ว ไม่ได้ต้องการอะไร อะไรยากๆหรือต้องใช้การฝึกฝน การพยายาม พอทำได้สักพักก็จะทิ้งมันไป ซึ่งหนูไม่ชอบมันเลย

วิชานี้เป็นเหมือนพื้นที่ที่ให้หนูได้มาลองเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างที่หนูได้คิดไว้ตั้งแต่แรกว่า ต่อให้ไปเรียนหรือได้ฟังมามากเท่าไร ถ้าหนูไม่ทำอะไรเลยมันก็ไม่เปลี่ยน แต่วิชานี้ได้ให้โอกาสหนูได้ลองทำ โดยที่ไม่ได้ตัดสินว่าถูกหรือผิด ถ้าไม่ชอบก็คิดว่ามันคือการฝึกฝนอยู่  การมีเกรดที่ได้ยินมาก็เหมือนเป็นแรกผลักดันหนู ตอนแรกหนูใช้คะแนนเป็นตัวผลักดัน แต่สุดท้ายที่ทำให้หนูอยากทำต่อไปก็คือตัวหนูที่ได้ลองทำออกมาแล้วแล้วอยากทำต่อไป และอีกอันคือความเสียดาย หนูเสียดายที่จะจบแล้วแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย หนูไม่สามารถกลับมาเป็นนิสิตได้อีกครั้ง หนูอยากมีส่วนร่วม อยากลองทำ อยากจะคุยกับเพื่อนมากกว่านี้ มันก็เลยเป็นสิ่งที่ทำให้หนูพยายามอยากมีส่วนร่วมตลอดคลาส

พอหนูได้กล้าทำมากขึ้น หนูรู้สึกว่าหนูสนิทกับเพื่อนมากขึ้น โดยเฉพาะเพื่อนที่เรียนในคลาส ได้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ให้กำลังใจกัน ได้ปลอบใจกัน ได้เรียนด้วยกัน และยังคอยช่วยเหลือหนูและสนับสนุนให้หนูได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ทำให้หนูมีความสุขและสนุก เสียดายที่น่าจะได้ทำอะไรร่วมกันมากกว่านี้ หนูเรียนมาสี่ปี เทอมนี้แค่เทอมเดียวก็คุ้มค่ามากๆ เลย แอบรู้สึกว่าถ้าได้เรียนวิชานี้เร็วกว่านี้ หนูคงไม่ต้องเสียเวลาไปสองสามปีอย่างไม่ได้อะไร และต้องมานั่งเสียดาย แต่คิดอีกทีเพราะหนูผ่านช่วงเวลานั้นๆ มาทำให้ได้คิด ได้รู้ตัวว่ามันน่าเสียดายแค่ไหน เลยพยายามที่จะทำสิ่งที่เหลือให้คุ้มค่ามากที่สุด

คนที่ 4

ถ้าถามถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวเองหลังจากเรียนคลาสนี้ ตอบเลยว่ามีหลายสิ่งเลย และเป็นผลดีกับการดำเนินชีวิตของเรามาก ซึ่งขอเกริ่นก่อนว่า เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองมีความฉลาดด้านอารมณ์ระดับหนึ่งเเล้ว เพราะเราสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ เเล้วจะเป็นคนค่อยเเนะนำเพื่อน หรือชี้แนะเพื่อนเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์เสมอ บอกให้เพื่อนปล่อยวาง คิดเอาเองว่ามันคือทางดีทางที่ถูก เเล้วพื้นฐานก็เป็นคนชอบอ่านหรือฟังคลิปเกี่ยวกับการเเนะนำสั่งสอนทางการคิด ทำ พูด เพื่อให้ไม่ทุกข์ และสามารถดำเนินชีวิตได้ถูกทาง ต่างๆ นานา เพราะเราชอบเเละอินมาก และเราจะคิดเสมอว่าอยาก “นิพพาน” ซึ่งก็ตีความเองว่าน่าจะเป็นเป้าหมายนึงในชีวิต เพราะมันน่าจะเบาสบาย ไม่คิดมาก ไม่ทุกข์จนเเย่ ไม่สุขจนพองตัว ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง หรืออะไรก็เเล้วเเต่ที่ยังไม่เเน่ใจเหมือนกัน เเต่มันคงเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ

หลังจากเรียนคลาสนี้ก็รู้สึกว่าเราหมกมุ่นกับการนิพพานน้อยลง รู้สึกว่าได้หันมาใส่ใจ โฟกัสที่ตัวเอง และแคร์ความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนจะปล่อยผ่านมองข้ามไปเลย คิดว่าถ้ามีเหตุการณ์หรือสถานการณ์อะไรมากระทบแล้วเรานิ่งได้ ไม่รู้สึกอะไรไปกับสิ่งนั้นคือ ทางนิพพาน แต่พอเมื่อเรียนในหลายๆคลาส พี่ๆกระบวนกรหลายๆคนก็สอนให้ลองพินิจความรู้สึกและความต้องการของตัวเองว่าคืออะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเรานิดนึง เพราะเมื่อก่อนไม่เคยใส่ใจอะไรเรื่องนี้จริงจังเลย แต่พอได้รู้ความต้องการตัวเองมันก็ดีตรงที่เรารู้ว่าเราควรทำอะไร มันทำให้ตัดสินใจอะไรหลายๆอย่างง่ายขึ้น เพราะเมื่อก่อนจะยึดความต้องการของคนอื่นเป็นหลัก ไม่ค่อยรู้ความต้องการของตัวเอง
เล่นกับเด็กที่ศูนย์เด็กเล็ก
ในความดูแลของ Mercy Center ในสลัมคลองเตย

เราก็กลับมาคิดว่า ทางนิพพาน ของเรานั้นมันอาจจะผิด ถ้ามีอะไรมากระทบเรา เราก็ควรรู้ก่อนว่ามันคืออะไร ทำความเข้าใจมัน แล้วค่อยทำให้มันดับไป คือควรรู้ก่อนดับ ไม่ใช่ข้าม step รู้และเข้าใจไป มันเลยกลายเป็นเราไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องรอบตัวเท่าไรนัก เราเป็นคนที่ชอบพูดคำว่า ”ไม่รู้” บ่อยมาก เช่น อิ่มรึยัง? อยากกินอะไร? ไปเที่ยวไหนดี? ฯลฯ คิดว่าเมื่อก่อนเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจเรื่องใกล้ตัว หรือเรื่องตัวเอง คิดว่าเรื่องกิจวัตรประจำวัน เรื่องการใส่ใจตัวเองไม่ได้สำคัญขนาดนั้นก็เลยชอบมองข้ามว่าไม่ต้องทำก็ได้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องแบบนั้นก็ได้ จนมาตอนนี้รู้สึกว่าเราละเลยตัวเองมากเกินไป ตอนนี้ก็เลยพยายามดูแลความรู้สึก และความต้องการของตัวเองมากขึ้น

อีกหนึ่งสิ่งที่เราเรียนรู้มาจากคลาสนี้คือ เราให้นิยามนิสัยหนึ่งของตัวเองผิดมาตลอด เรามักบอกคนอื่นว่า เราชอบความสงบ แต่จริงๆคือไม่ใช่ เราไม่ได้ชอบความสงบ เราสามารถอยู่ในสังคมวุ่นวายได้ ไม่มีปัญหา แต่จริงๆที่ไม่ชอบ คือ ”ความขัดแย้ง” เราไม่ชอบความขัดแย้งแต่เราไม่รู้ตัวว่าเราไม่ชอบมัน เราให้คำนิยามผิด ทำให้เราแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เราคิดว่าที่เราวิ่งหาหนทางนิพพานตอนนั้น เพราะเราคิดว่าเราชอบความสงบ เอ่อแต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่นะ เพราะจริงๆคือพอเราอยู่ที่ไหนที่มีความขัดแย้ง เราจะรู้สึกอึดอัด และจะพยายามไม่ขัดแย้งกับใคร จนกลายเป็นคนยอม จะกลัวว่าจะต้องขัดแย้งกับคนโน้นนี่รึป่าว จนรู้สึกว่าตัวเองอ่อนเเอจัง ต้องยอมคนอื่นตลอดเเละรู้สึกตัวเองไม่มีจุดยืนที่เเน่ชัด หรือบางอย่างอยากทำมาก ๆ เลย แต่ดันอาจไปกระทบความรู้สึกหรือความต้องการที่ต่างกับของคนอื่นก็ต้องยอมไม่ทำเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เราเลือกที่จะเก็บเงียบไว้ รู้สึกไม่ดีข้างในเเล้วเก็บมาคิดมากคนเดียว เศร้าคนเดียว เมื่อก่อนรู้สึกเหนื่อยมาก และรู้สึกพลาดมากที่หลายๆอย่างไม่ได้ทำ รู้เสียดาย แต่ตอนนี้พอรู้ว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนแบบนี้นะ เราก็แก้มันได้ถูกจุดมากขึ้น

ตอนนี้กลัวความขัดแย้งน้อยลง เรากล้าพูดสิ่งที่เราคิดออกไปมากขึ้น ซึ่งก็ไม่แย่ เราไม่ได้ปะทะกัน เราสามารถเลือกคำที่ใช้ตอบโต้คนอื่นได้ เหมือนง่ายๆเลยสมมติมี 2 ทางแยก คือเลือกพูดทำให้ขัดแย้งมากขึ้น กับ เลือกพูดให้คลายความขัดแย้ง แต่ทั้งสองคือมีปลายทางเดียวกัน เราก็เลือกทางที่ 2 ได้นิ ไม่ได้ทำให้เกิดความขัดแย้ง แถมได้พูดสิ่งที่เราคิดได้ด้วย ซึ่งปกติเมื่อก่อนจะไม่ค่อยเลือกทางไหนเลย จะเลือกยืนอยู่นิ่งๆ ไม่พูดมากกว่า เพราะคิดว่าพูดไปก็ขัดแย้ง แต่ตอนนี้เราเหมือนมีทางเลือกเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อน ที่ไม่สนใจความรู้สึกตัวเองเลย และคิดว่าอนาคตคงมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นจากตอนนี้ได้

ตอนนี้รู้สึกเห็นตัวเองชัดขึ้นว่าจริงๆเเล้วตัวเองเป็นยังไง ถึงยังเห็นไม่ครบทุกด้านเเต่อย่างน้อยก็เห็นบ้างเเล้ว มันเป็นเพราะเราใส่ใจตัวเองมากขึ้น ซึ่งมันก็เป็นผลดีกับตัวเรามาก ๆ เราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น เรากล้าที่จะพุ่งเข้าหาปัญหาได้เยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน เราได้ยินเสียงรอบข้างมากขึ้น เช่น เสียงนก ซึ่งอันนี้แปลกมากแต่มันจริงนะ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ยินเสียงนกร้องมานานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ยินคือเมื่อไร กระทั่งว่าลืมไปเลยว่าโลกนี้มีนกจนได้มาเรียนคลาสอาบป่า ได้อยู่กับธรรมชาติ มันทำให้ตัวเราที่ความคิดวิ่งอยู่ตลอดเวลามันนิ่งได้ เหมือนภายนอกจะดูใจเย็น ดูเชื่องช้า เเต่เป็นคนที่ในหัวคือไม่ค่อยว่างเลย เเต่หลังจากได้เข้าป่าครั้งนั้นก็รู้สึกมันสบายมาก ๆ เเล้วหลังจากไปค่ายปางสีดายิ่งรู้สึกนิ่งมากขึ้น รู้สึกได้ว่าเราไม่จำเป็นที่จะคิดถึงเเต่อดีตเเล้วตอกย้ำตัวเองว่าทำพลาดอะไร หยุดกังวลอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปล่อยวางได้ดีขึ้น เเต่ก็ยังมีเเว้ปไปอดีตกับอนาคตบ้าง ซึ่งตรงนี้รู้สึกว่าต้องฝึกและพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ น่าจะดีมากขึ้น

สุดท้ายสิ่งที่คิดว่ายังไม่เปลี่ยน หรือยังปล่อยวางไม่ค่อยได้ คือ เรื่องความผิดพลาดของผู้อื่น ชอบคิดว่าถ้าเธอรู้ว่าสิ่งนั้นผิดหรือเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วจะทำสิ่งนั้นทำไม สุดท้ายแล้วต้องมาแก้ไขทีหลัง ซึ่งจะค่อนข้างหงุดหงิดกับเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยค่ะ ซึ่งจริง ๆ ก็บอกเพื่อนอยู่ตลอดว่าคนเราทุกคนผิดพลาดกันได้ ชีวิตนี้ไม่เคยไม่มีใครทำผิดหรอก แต่พอเอาเข้าจริง ตัวเราเองนี่แหละ ไม่เข้าใจธรรมชาติของการผิดพลาดเอง ก็เลยต้องพยายามฝึกเข้าใจคนอื่นให้เยอะขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้จัดการกับเรื่องนี้ได้ดีขึ้น

Feelings and Needs Cards กับพี่ตู่
คนที่ 5

สำหรับผมสิ่งแรกที่เปลี่ยนแปลงคือการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างในอนาคต สิ่งที่ต้องทำ และสิ่งที่ควรจะทำและต้องทำให้สำเร็จให้ได้ เลิกคิดเยอะ เลิกกังวล ลงมือทำเลยจะดีกว่า ที่สำคัญที่สุดต้องทำให้พ่อและแม่สบายใจที่ผมสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว ทำให้ผมได้ทบทวนตัวเองเยอะ

ผมรู้สึกว่าตัวเองกล้าแสดงความคิดเห็นมากขึ้น กล้าที่จะพูดมากขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง  เวลาพูดกับใครส่วนใหญ่ผมจะหลบตา พยายามไม่สบตาเพราะกลัวและมีความประหม่า จึงไม่ค่อยชอบการทำอะไรคนเดียว ชอบที่จะคอยสนับสนุนคนอื่นมากกว่า

สิ่งที่ผมอยากทำให้มันดีขึ้นไปอีกคือพัฒนาทักษะการพูดของผม ผมอยากถือไมค์แล้วสามารถพูดดึงดูดความสนใจให้คนอื่นมาฟังผมได้ ผมเคยลองทำดูแล้วแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองยังควบคุมคนฟังไม่ได้ มันยังไม่ดีพอยังไม่ลื่นไหลไม่เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าให้ผมเป็นไมค์รองหรือคนคอยสนับสนุน มันจะออกมาดีกว่าผมยืนถือไมค์พูดคนเดียว ความรู้สึกเหมือนผมยังไม่มีภาวะผู้นำมากพอ ผมทำได้ดีสุดก็คือการสนับสนุน อาจจะเพราะว่าผมยังทำไม่มากพอ มันเลยยังไม่ชินกับการดึงดูดความสนใจคนฟัง หลังจากนี้ผมก็จะพยายามทำเท่าที่ผมทำได้ จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่ล้มเลิกความตั้งใจเหมือนเมื่อก่อน ผมรู้สึกว่าผมมีความมั่นใจมากขึ้น การพูดหรือการนำเสนองานก็พัฒนาขึ้นด้วย ผมกล้าที่จะสบตาผู้ฟังและพยายามโฟกัสไปที่ผู้ฟังมากขึ้น

ผมชอบเรื่องนพลักษณ์มาก ผมรู้สึกว่ามันทำให้เราได้รู้วิธีการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น จะได้วางตัวถูกรู้ว่าต้องเข้าหาคนอื่นยังไง อะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ อะไรคือข้อเสียของเราที่ต้องปรับเพื่อให้เข้ากับคนอื่นได้ ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันสำคัญมากกับการทำงานร่วมกับคนอื่นในอนาคต ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมเป็นลักษณ์ 9 มันก็จะมีแนวทางการพัฒนาตัวเองจากพี่มู ทำให้เราสามารถเข้ากับคนอื่นได้ง่ายขึ้น

ผมรู้สึกว่าผมชอบที่จะรู้จักคน อยากรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง อะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้ พอได้มาทำกิจกรรมกับทุกคนได้เห็นมุมมองที่ต่างออกไปของแต่ละคน บางคนก็ดูเท่ บางคนก็เข็มแข็งมาก บางคนก็มีมุมที่อ่อนไหว บางคนก็ใส่ใจเพื่อนมาก ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเอง และพวกเขาก็ผ่านมันมาได้ มันทำให้ผมอยากก้าวผ่านปัญหาในชีวิตได้เหมือนเพื่อนบ้าง ทุกคนทำได้ผมก็ทำได้เหมือนกัน อย่ามองปัญหาว่ามันเป็นปัญหา ให้มองว่าปัญหามีไว้แก้ไข ผมรู้สึกว่าผมมีสติมากขึ้นเวลาเผชิญหน้ากับปัญหา ใจเย็นมากขึ้นและไม่หงุดหงิดเวลาเจอปัญหาเล็กน้อย ๆ ก็จะพยายามให้มันดีขึ้นไปอีก

เมื่อก่อนผมกลัวปัญหา ผมหนีปัญหาโดยการเลี่ยงไม่ให้มันเกิดหรือปล่อยผ่าน ไม่สนใจแม้ว่าผมจะถูกคนอื่นเอาเปรียบผมก็ยอม อย่างงานกลุ่ม ถ้าไม่มีใครทำ ผมก็จะพยายามทำให้มากที่สุด ผมไม่อยากไปตามงานใคร ไม่อยากไปเร่งใคร ไม่อยากมีปัญหากับใคร รู้สึกว่าทำคนเดียวมันก็สะดวกดี มันเลยทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยกับการทำงานกลุ่มที่แบบต้องทำอีกแล้วเหรอวะ ช่วงหลังมานี้ผมก็พยายามแบ่งงานให้เพื่อนมากขึ้น กล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อน ถ้าแบ่งงานกันทำอย่างน้อยมันต้องดีกว่าทำคนเดียวแน่นอน

ตอนนี้ผมรู้สึกอะไร ก็จะพูดออกไป ไม่อยากเก็บคำพูดหรือความคิดเหล่านั้นให้เป็นเสียงหมาป่าที่ทำร้ายตัวเอง รีบพูดรีบคุยรีบจบปัญหา พอผมได้เห็นตัวอย่างจริง ๆ ก็รู้สึกว่ามันดีมากเลยที่เรารีบเคลียร์ปัญหากัน ถ้าปล่อยไว้มันจะยิ่งอึดอัดข้างในใจ ระบายออกมาให้หมดมันดีกว่า ผมเริ่มที่จะระบายสิ่งที่คิดอยู่ในใจให้เพื่อนพี่น้องพ่อแม่ฟังมากขึ้น พอได้ระบายออกมามันก็รู้สึกดี ระบายทั้งการพูดคุยและการเขียนลงกระดาษทำให้ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมากขึ้น

ที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าผมไวต่อความรู้สึกต่อคนอื่นมาก แต่ผมไม่รู้จะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร พอได้มาเรียนคลาส NVC (non-violent communication) และการถามคำถามที่ชาญฉลาด ก็ทำให้ผมนำมาปรับใช้ในชีวิตได้ ถึงจะช่วยไม่ได้มากแต่ก็สามารถทำให้เค้ารู้สึกดีได้ระดับหนึ่ง ผมจะรู้สึกดีมากถ้าทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้ รู้ว่าเขารู้สึกอะไร ถามคำถามที่ไม่เคยมีใครถามเขาทำให้เขารู้สึกว่าควรทำอะไรต่อไปและเขาต้องการอะไรในตอนนี้ ความช่วยเหลือหรือแค่ต้องการหาคนที่คอยรับฟังปัญหาของเขา ผมว่าผมถนัดสิ่งนี้ที่สุด

ผมรู้สึกว่าผมมีมุมมองที่กว้างขึ้น ผมชอบ Odyssey plans มากมันทำให้ผมได้เล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังและได้ฟังเรื่องของคนอื่นไปพร้อม ๆ กัน มันทำให้ผมเข้าใจพวกเขาได้มากขึ้นว่าอะไรทำให้เขาเป็นแบบนี้ ที่ทำให้เขาน่านับถือขนาดนี้ และทำให้ผมได้เข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้ อะไรที่มันติดอยู่ในใจมาตลอด ได้รู้จักตัวเองมากขึ้นและควรเริ่มแก้ไขที่ตรงไหนเป็นอันดับแรก เพื่อทำให้มันดีขึ้น ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับอาจารย์ ตอนนี้ก็คุยกับที่บ้านมากขึ้น จะพยายามโทรหาทุกวันถ้าไม่ลืม

ผมอยากแก้ไขเรื่องที่ว่าผมดูง่วงตลอดเวลา ดูไม่ค่อยตื่นตัว เสียงก็โมโนโทน แบบที่เพื่อนบอก ผมก็อยากที่จะพัฒนาตรงส่วนนี้ อาจจะต้องพัฒนาด้านการสื่อสารให้มีอารมณ์มากขึ้น มีน้ำเสียงที่ไม่โมโทน มีจังหวะการพูดที่น่าสนใจ ให้มันชัดเจนทั้งภาษากายและภาษาพูด แต่ผมก็ไม่รู้ทำไงให้ผมดูไม่ง่วงอาจจะเพราะว่าผมดูนิ่งและเฉื่อยมันเลยทำให้ออกมาดูง่วงและไม่ค่อยมีพลัง รวมไปถึงเรื่องแบ่งเวลาวางแผนในแต่ละวันด้วย ที่ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเพราะทำไม่ได้ตามแผนที่วางไว้ ต้องเลิกเฉื่อยและตื่นตัวมากกว่านี้

วิชัยนำศึกษาธรรมชาติที่อช.ปางสีดา
คนที่ 6

ตอนแรกหนูไม่ได้ตั้งใจที่จะลงคลาสนี้ เพราะหนูลงวิชาเลือกครบตั้งแต่เทอมที่แล้ว แต่สุดท้ายหนูก็ลงเพราะหนูอินกับการขายตรงคลาสเรียนนี้ของอ.จุฑา ซึ่งหนูตัดสินใจไม่ผิดเลย เพราะคลาสนี้แทบจะเปลี่ยนชีวิตของหนูเลย สิ่งแรกที่หนูคิดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลง คือ ความคิดของหนู หนูเข้าใจและเห็นค่าของคำว่า “ความสัมพันธ์” มากขึ้น เมื่อก่อนหนูมองว่าเราอยู่คนเดียวได้ ไม่เห็นต้องไปสัมพันธ์กับคนอื่นเลย เพราะปกติหนูก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองอยู่แล้ว การที่จะมีความสัมพันธ์หรือไม่มีก็ไม่เห็นส่งผลอะไรต่อชีวิตเรา แต่พอมาเรียนคลาสนี้มันทำให้หนูเห็นว่าการมีคนอยู่รอบๆ ตัวเรามันมีค่าแค่ไหน หนูได้สัมผัสและเรียนรู้ความสัมพันธ์ดีๆ จากอาจารย์ พี่ๆ กระบวนกร และเพื่อนๆ ทุกคน ซึ่งมันทำให้หนูอยากที่จะไปเรียนคลาสนี้ทุกๆ ครั้งเลย

สิ่งที่สองที่เปลี่ยนไป คือ การกระทำ เมื่อก่อนหนูคิดว่าหนูเข้าใจคนอื่น หนูให้คำปรึกษาเพื่อนได้ดี แต่ความจริงที่หนูพบระหว่างที่เรียนคลาสนี้ คือ หนูไม่ได้เข้าใจคนอื่นจริงๆ เลย หนูพยายามยัดเยียดทางออกที่ตัวเองคิดให้เพื่อน พอเพื่อนไม่ทำตามหนูก็จะรู้สึกแย่ แต่พอมาเรียนคลาสนี้ทำให้หนูรู้ว่าเพื่อนอาจจะแค่ต้องการคนเข้าใจ ต้องการที่ระบาย ส่วนทางออกเพื่อนอาจมีคำตอบอยู่แล้ว ตอนนี้พอเพื่อนมาปรึกษาหนู หนูก็พบว่าเพื่อนต้องการแค่นั้นจริงๆ ค่ะ เพื่อนไม่ได้ต้องการทางออกเลย

การเปลี่ยนแปลงสิ่งสุดท้ายที่สำคัญมาก คือ หนูเข้าใจและรู้จักตัวเองมากขึ้น หนูจัดการกับความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นข้างในได้ดีขึ้น หนูเพิ่งรู้ว่าความทุกข์ส่วนใหญ่ของหนูเกิดขึ้นเมื่อหนูทำอะไรสักอย่างผิดพลาด หนูวนคิดถึงแต่ความผิดพลาดนั้นและจมอยู่กับมันไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อก่อนหนูมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่จากคลาสนี้ทำให้หนูเปลี่ยนมุมมองไปเลย ตอนนี้หนูมองว่าความผิดพลาดมันก็เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งในชีวิตที่เราต้องเจอและอยู่กับมันให้ได้ ความผิดพลาดมันไม่ได้ทำให้ชีวิตเราพัง มันเป็นสิ่งธรรมดา เพราะทุกคนต้องเคยผิดพลาดอยู่แล้วไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน พอหนูเข้าใจแล้วปล่อยวางความสมบูรณ์แบบลงได้บ้าง หนูก็มีความสุขมากขึ้น

สิ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงหลักๆ คือ การพูดภาษาหมาป่าของหนู หนูคิดว่ามันเป็นความเคยชินไปแล้วก็คงต้องใช้เวลาสักพักในการเปลี่ยน แต่หนูก็พยายามตั้งสติให้ได้ แต่มันก็ยากพอตัวเลย อีกอย่าง คือ หนูยังยึดติดกับความสมบูรณ์แบบค่อนข้างเยอะซึ่งมันทำให้เราชอบตัดสินคนอื่น ตอนนี้หนูก็พยายามเปิดใจรับฟังคนอื่นให้มากขึ้น

ข้ามอ่างเก็บน้ำห้วยพระปรง
คนที่ 7

ก่อนการเรียนวิชานี้ เราเป็นบุคคลหนึ่งที่มีอารมณ์ร้อนอยู่ภายในมากๆ เมื่อใครทำไม่ถูกใจหรือขัดใจตัวเรา เราชอบเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ จนเมื่อทุกอย่างมันถึงจุดสูงสุดของความโกรธ เรามักจะปะทุมันออกมา เราไม่ชอบตัวเองที่เป็นแบบนั้น เราไม่ชอบตัวเองที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ตอนโกรธ

การที่เราชอบปิดน่าจะเกิดจากการที่เรามักจะเห็นค่าความสัมพันธ์ของคนอื่น จนบางทีก็หลงลืมความรู้สึกตัวเอง มีอารมณ์โกรธแต่พยายามไม่สื่อให้คนอื่นรู้ พยายามที่จะให้เค้ารู้ตัวเองมากกว่าการที่เราต้องมาบอก อาจจะเรียกว่าการเข้าข้างตัวเอง และเอาตัวเองเป็นที่ตั้งในทุกๆ อย่าง แต่เราจะเป็นคนที่โกรธใครไม่ได้ง่ายๆ แต่เวลาโกรธคือโกรธจริง และมักจะไม่บอกคนคนนั้นตรงๆ อาจจะออกมาทางอารมณ์ หรือสีหน้าท่าทางต่างๆ ที่เราจะสื่อให้เค้ารู้ให้ได้

เราเป็นคนที่ถ้าไม่มีใครที่ไม่รับผิดชอบ เราจะกระโดดเข้าไปรับผิดชอบตรงส่วนนั้นให้ บางทีมันอาจเกิดจากความสัมพันธ์ของเรามากกว่าความอยากทำงานหรืออยากได้ภาพลักษณ์ต่อคนอื่น เรามักจะสื่อสารให้คนอื่นไม่รู้เรื่อง เราอาจจะเรียบเรียงประโยคไม่ถูกหรือคิดว่ามันไม่ถูก และเราจะเป็นคนที่ไม่มีความั่นใจ การตัดสินใจบางอย่างจึงทำให้เราอาจลังเลก่อนที่จะลงมือทำเรื่องบางอย่าง แต่เราคิดว่ามันก็คือข้อดีของเราเหมือนกันที่ทำให้เราตัดสินใจได้มั่นคงมากกว่ามากกว่ารับความเสี่ยงที่ไม่รู้แน่นอน

เรามีฐานใจในการทำงาน เราเป็นคนที่รับความรู้สึกได้ดี อ่านความรู้สึกเป็น จึงทำให้เรากลายเป็นคนที่เซนซิทีฟต่อความรู้สึกของความเศร้า ความสุข หรือความเบื่อได้ไว แต่ไม่สามารถจัดการความรู้สึกเหล่านั้นได้ เพราะเราคงได้เจอเรื่องต่างๆ มาพอสมควร จนบางทีมันก็เป็นเหมือนดาบ 2 คมที่ทั้งทำร้ายเราและทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้ไว และการตัดสินใจบางอย่าง ถ้าเราคิดว่ามีคนที่ร่วมเดินทางไปกับเรา เราจะไม่ปฏิเสธโอกาสนั้น เมื่อโอกาสได้ลองมาถึง เราเป็นคนชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ มันทำให้เรารับรู้ว่าโลกมันกว้างที่กว่าเราที่จะจำกัดตัวเองลงไป

หลังจากการเรียน เรื่องที่คิดว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดการเรียนคือเรื่องการรับรู้ความรู้สึกตนเองเวลาโกรธ กับคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อเราได้ปฏิบัติและลองใช้จริงกับเหตุการณ์ที่มีการทะเลาะกับน้อง เราได้ถามตัวเองลงไปลึกๆ ว่าเราต้องการอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้น เรารับรู้ว่าทำไมต้องโกรธ และเราเคลียร์มันกับคนที่เรามีความรู้สึกด้วยอย่างไร มันทำให้เรารับรู้ได้ว่า บางทีมันทำให้เราสุขใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เราเคยกระทำรุนแรงกว่านี้ ตอนที่เราไม่ยอมใคร เราได้แต่คิดเสียใจกับมัน ทำไมเราต้องทำอย่างงั้น ทำไมเราคิดจะเอาชนะ เพียงแค่ความต้องการของเราไม่เท่ากัน เราแค่ต้องปรับมันให้ทั้ง 2 ฝ่ายรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

การผ่อนคลายจิตใจก็เป็นอีกเรื่องที่เรามองมันเป็นจุดเปลี่ยน เราพยายามคลายความกังวลของเราก่อนนอนหรือการนั่งสมาธิก่อนนอนเพื่อให้ตัวเองรับรู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กๆ ที่เราเริ่มสังเกตความสุขของตัวเอง และเริ่มเข้าใจความทุกข์มากขึ้น เราเริ่มเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองในการตั้งคำถามต่อคนที่เข้ามาให้เราตอบ กลายเป็นคนที่ทำให้เค้ารับรู้ตนเองมากกว่าการเป็นคนตั้งคำถาม และเริ่มรู้สึกว่าเราเริ่มที่จะกลับมาหาความสัมพันธ์ต่างๆ ที่เราได้ละเลยไป และพยายามหาเรื่องราวของตนเอง เพื่อเล่าให้คนอื่นฟังเพื่อให้เราได้สนิทกันมากขึ้นจากที่เป็นอยู่

กับเพื่อนที่เรารู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่ไม่เอาไหน เราก็เริ่มมองเค้าเปลี่ยนไป จากการที่ด่าเค้าในใจว่าทำไมเค้าทำตัวอย่างงั้น เราก็มีความคิดที่มองมันในมุมที่ต่างออกไป เราไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย เราไปตัดสินเค้าได้อย่างไร หลังจากโควิด เราก็เริ่มตั้งคำถามต่อตัวเองในแต่ละวัน ว่าความสุขของเราวันนี้มันคืออะไร การหาของกินอร่อยในแต่ละวันการได้เลือก หรือการแค่ดูอาจารย์โพสต์ในแต่ละวันที่ขึ้น เราก็รับรู้ถึงสิ่งที่เรียกว่าความสุขได้
กินน้ำจากไม้น้ำ

เรื่องที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือ การที่เรายังมีความคิดในการห่วงความสัมพันธ์มากกว่าความรู้สึกของตนเอง ที่ยังไม่สามารถเปลี่ยนไปได้ จนบางทีมันก็กลายเป็นแง่ลบที่ทำให้รู้สึกว่า มันทำให้เราคิดลบต่อคนที่เรารู้สึกด้วยว่า เค้าไม่ห่วงความรู้สึกของเราบ้างหรือ ทำไมเราต้องไปห่วงความสัมพันธ์นี้ด้วยทั้งๆ ทีการกระทำของเค้ายังไม่เคยได้ห่วงความรู้สึกของเราเลย และมันเป็นเพียงความคิดในตัวเราที่เราไม่บอกให้เค้ารู้ จนเราเป็นทุกข์ ไม่กล้าพูดความจริง และเราชอบจัดการคนของเราให้เป็นตามทางที่เรารู้สึกว่ามันคือทางที่เหมาะสมกับเค้า แต่เมื่อไม่ปฏิบัติตาม เรากลายเป็นคนที่ไม่สามารถที่จะบังคับเค้าให้อยู่ในหลักการของเราได้ จนไปสู่การทะเลาะ เราคงแค่อยากมีพลังมากขึ้นในการทำให้เค้ารับรู้ถึงความต้องการของเราได้ และปฏิบัติในสิ่งที่เหมาะสมที่เค้าและเราเห็นว่ามันดี

ต่อมาก็เป็นเรื่องของการเห็นค่าหรือความภูมิใจในตัวเองการกระทำต่างๆ เรามักจะให้ค่าของตัวเราด้อยค่ากว่าที่เราคาดไว้เสมอ จะมีคำขอโทษต่อการกระทำทุกครั้ง เมื่อเราคิดว่ามันยังไม่ถึงจุด เช่น งานกลุ่มที่เราได้ทำ เรามักจะขอโทษคนอื่นเสมอ เมื่อเราคิดว่าตัวเราทำงานจำนวนน้อยกว่าคนอื่น คนอื่นทำงานเยอะกว่าเราตั้งมากมาย และมันทำให้เรารู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่คิดอย่างงั้น

เราอยากขอเซฟโมเม้นของการไปศูนย์เด็กเล็ก ที่สลัมคลองเตย ไว้ในการเขียน Reflection รอบนี้ด้วยเพราะเราคิดว่า มันคือประสบการณ์ใหม่ของเราในสถานที่ใหม่ๆ ที่ทำให้เรามองมุมมองของสลัมตลองเตยเปลี่ยนแปลงไป เราอาจคิดว่ามันไม่ได้ดีขึ้นจากแต่ก่อนเลย แต่มาในจุดนี้จริงๆ เราเห็นหลายๆ คนในนั้นเป็นเด็กที่มีคุณค่าในอนาคตอย่างมาก เราเห็นคุณครูที่ถวายกายเพื่อนำตัวเองในอยู่ที่แห่งนี้ ทุกคนในนั้นไม่ได้กำลังพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นสิ่งที่ดีให้สังคม ทุกคนร่วมกันทำอาหารเพื่องานวันเด็กที่จะจัดขึ้นในชุมชน ทุกคนรักกันเหมือนมาในครอบครัวเดียวกัน ใครที่จบไปก็ต่างกลับมาไหว้อาจารย์ที่ท่านได้สั่งสอนจนเติบโต ความแตกต่างที่เห็นคือสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเรากับคนในสลัมมันแตกต่าง แต่สิ่งนึงที่เราคิดว่ามันเหมือนกัน คือ ความผูกพันของสิ่งแวดล้อมกับตัวเราต่างหากที่ทำให้เรารู้ว่า เราไม่สามารถหาแบบนี้ได้ ถ้าไม่ได้อยู่ในภาวะกดดันแบบนี้ ทุกๆ อย่างมีตัวตนของมัน

แม้ว่าวันนึงเราจะกลับมาอ่านสิ่งนี้ เราก็ขอให้ความรู้สึกของเราในวันนั้นว่าเราเคยได้ไปสถานที่ดูแลเด็กเล็กในสลัมคลองเตย ได้เดินรอบสลัมส่วนนึง และยังได้กินอาหารของครอบครัวของลูกหลายในโรงเรียน ที่ทำก๋วยเตี๋ยวน้ำใส ส้มตำไทย หมูทอด พร้อมข้าวเหนียวให้เรากิน พร้อมกับการแสดงของเด็กๆ ที่ 3 คนหน้าได้เต้นอย่างสุดเหวี่ยงพร้อมหางเครื่องอย่างพวกเราที่คอยเต้นตามน้องๆ สร้างเสียงตลกกันทั้งครอบครัวเด็ก ครู อาจารย์ ต่างๆ มากมาย

การไปป่าเป็นสถานที่ที่เราคิดว่าให้เราได้อะไรหลายๆ อย่าง เพราะความถูกจัดวางของเราทำให้เราได้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่ว่ารุ่นไหน หรือรุ่นก่อนก็ไม่ได้ประสบการณ์อย่างที่เราเคยได้ ประสบการณ์ที่สอนให้เรารับรู้ทุกขณะ ขณะเดินป่า ควมระมัดระวังทุกอย่าง ทำให้เราก้าวช้าลง ความอดทนต่อความร้อนที่ทำให้เรารู้ว่ามันร้อน และการต้องประหยัดน้ำเพื่อนำน้ำไปประทังชีวิตในป่า การได้รับบรรยากาศที่เราไม่เคยได้จากการไปนั่งใกล้อ่างเก็บน้ำในตอนเย็น กับเสียงลมและกลิ่นต่างๆ ประสบการณ์ตอนกลางคืนที่ทำให้เราหวนกลับไปคิด ก็ขอขอบคุณทุกสิ่งที่ทำให้เรากล้าพูดในสิ่งที่ควรพูดต่อหน้าทุกคน เราได้รับรู้เรื่องของกันและกัน มันทำให้เราสนิทกันมากขึ้น บางคนที่เราไม่ค่อยสนิทและเรายังมีอคติกับเค้า เราก็ได้รู้ตัวตนของเค้ามากขึ้น หลายๆ คนที่ทำให้เรามองมุมต่างออกไป ประสบการณ์ใหม่ของการกางเต๊นท์ที่ออกแบบไม่เหมือนปกติที่เคยได้ทำ การอาบน้ำโดยใช้ไฟฉายแค่ดวงเดียวตอนอาบ หรือการนอนเต๊นท์เพียงคนเดียวด้วยความกลัวจะมองเห็นใครอยู่ไกลๆ แล้วตามมาหลอนเรา ในยามดึก หรือการนั่งเล่นกีต้าร์ท่ามกลางลมเย็นของบรรยากาศ พร้อมเพื่อนที่ล้อมวงเข้ามาร่วมร้องเพลง มีพี่อั๋นดีดกีต้าร์ในทุกๆ เพลง มีเพลงที่เพื่อนชอบบ้างไม่ชอบบ้าง ก็เรื่อยๆ กันไป และประสบการณ์ได้อยู่กับธรรมชาติที่ทำให้เราได้รับรู้และซึมซับพลังด้านบวกของตัวเราได้มากขึ้น ได้ออกจากโลกของความเป็นจริงๆ สู่โลกที่ทำให้เราผ่อนตลายกับทุกสิ่ง

เราอยากที่จะขอขอบคุณพี่ๆ อาจารย์ทุกคนที่ทำให้ตัวเรามาถึงจุดนี้ เราได้เรียนรู้อะไรมากมายกับสิ่งที่เรียน และหวังว่าในโอกาสหน้าที่เราได้มาเจอกันจะทำให้เราได้กลายเป็นคนที่มีพลังงานด้านบวกต่อคนอื่นและต่อตัวเองมากขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดหมดกับสิ่งที่เรียนไป เราขอขอบคุณอาจารย์หญิงอย่างมาก ที่ทำให้เรารู้ตัวเองถึงเรื่องของครอบครัวที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมีผลต่อตัวเรามากขนาดนี้ ซักวันที่เราใจกล้าพร้อมที่จะขอโทษหรือขอบคุณคนอื่นที่นอกจากแม่ เราจะปฏิบัติมันให้ทุกคนได้รู้

คนที่ 8

หนูจำไม่ค่อยได้ว่าหนูได้เรียนอะไรไปบ้างแต่จะขอนำการเขียน Reflection และกิจกรรม ที่ได้เรียนมาในแต่ละครั้งมาอ่านและขอสรุปเป็นแต่ละครั้งๆไป

ครั้งที่ 1 โดยพี่เก๋ สอนใช้คนเรารู้จักใช้ใจคิดมากกว่าที่จะใช้หัวคิด ในช่วงแรกๆ หลังจากที่เรียนหนูว่ามันก็เป็นการยากที่คนเราใช้หัวคิดว่าตลอดจะเปลี่ยนให้ใช้ใจคิดบ้างในบางเรื่อง แต่ในบางครั้งที่มันเป็นเรื่องเร่งด่วนหรือต้องรีบตัดสินใจ หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองใช้ใจคิดหรือใช้หัวคิดส่งๆ ไปเพื่อให้มันผ่านๆ ไปได้

ครั้งที่ 2 โดยพี่ปั้น กิจกรรมอาบต้นไม้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการใช้ประสาทสัมผัสหนูว่ามันแค่ได้เรียนรู้ระหว่างการเรียนในคาบเพียงแค่นั้น ในชีวิตปกติที่ได้ใช้จริงหนูไม่ค่อยได้มาค่อยๆ ลองใช้แต่ละประสาทสัมผัสมาใช้งาน เพราะรู้สึกว่าไม่ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากเท่าไหร่

ครั้งที่ 3 โดยพี่มู สิ่งที่ได้เรียนรู้ในคาบนั้นที่จดจำได้แม่นที่สุดคือการกอด และการกอดนี้มันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้จริงๆ การเปลี่ยนแปลงสำหรับหนูคือ สัมผัสการกอดของคนที่เรากอด และสิ่งที่เราอยากส่งไปให้คนที่เรากอด มันรู้สึกสัมผัสความรู้สึกของคนๆนั้นได้จริงๆหรือจิตหนูมโนปรุงแต่งขึ้นมาก็ไม่รู้ แต่มันเหมือนกับว่าเราสัมผัสถึงกันได้ ในคนที่เราเปิดใจรับเขาเข้ามา ยังมีบางครั้งที่รู้สึกว่าใจเราปิดกั้นคนที่เรารู้สึกอคติกับเขาอยู่ มันเลยเป็นอุปสรรคอยู่ ถ้าหากใจเรายังไม่ยอมเปิดรับ

ครั้งที่ 4 โดยพี่ฝน การเสพติดสื่อเป็นอะไรที่ทุกวันนี้หนูเป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงจะเป็นกับแค่กับบางสื่อ ยกตัวอย่างเช่น ข่าวจำนวนคนติดโควิด อันนี้หนูจะยังไม่เชื่อเต็ม 100% แต่พวกสื่อขายของออนไลน์ แอปซื้อของ shopee พวกนี้หนูจะหาแค่ร้านที่ราคาโอเค รีวิวโอเค ไม่หาอะไรมากและสั่งซื้อได้ทันที

ครั้งที่ 5 ศูนย์เด็กเล็ก การมองมุมมองสลัม การมีมุมมองกับเด็กเล็ก สำหรับหนูมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งสลัมไม่ได้น่ากลัวที่มีแต่คนติดยา มีขโมยวิ่งราวอย่างที่คิด เด็กไม่ได้มีแต่จะร้องไห้งอแง ฉี่ราด ทำอะไรไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ แต่มันอาจจะเป็นแค่กับที่สลัมคลองเตยทีได้เจอมาแค่นั้นก็ได้ ที่อื่นก็อาจจะยังน่ากลัวอยู่

ครั้งที่ 6 – 9 โดยพี่ตู่ การเรียน 4 ครั้งกับพี่ตู่ ทุกคลาสมันสามารถนำไปใช้ประโยชน์ชีวิตประจำวัน ชีวิตการทำงานได้หมด สำหรับหนูชอบคลายสุดท้ายมากที่สุด การโค้ช การเปลี่ยนแปลงในตัวหนูคือ แต่ก่อนเวลาที่หนูอยากช่วยเพื่อนหนูมักจะให้คำตอบกับเพื่อนไปเลย มันเหมือนเป็นการสั่งให้เพื่อนทำมากกว่า มันเป็นความหวังดีอย่างหนึ่ง แต่เหมือนเรากลับลืมมองความรู้สึกของเพื่อนที่แท้จริง ลืมมองอะไรหลายๆอย่าง ทั้งความรู้สึกของเพื่อน ความต้องการที่แท้จริงของเพื่อนที่ไม่ใช้ของตัวเราเอง แต่ก็ยอมรับว่ายังมีบางทีที่เราใส่ความรู้สึกของเราปรุงแต่งเรื่องที่เราคิดเพิ่มเติมเข้าไป จนบางทีมันอาจจะผิดประเด็นไปบ้าง แต่หนูว่ามันก็มีบางทีที่หนูให้คำตอบเพื่อนไปเลยอยู่ มันถือเป็นสิ่งที่หนูยังแก้ไขไม่ได้

ครั้งที่ 10 ค่ายปางสีดา ค่ายนี้สอนหนูอะไรหลายอย่าง ทั้งได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น เพื่อนที่ไม่ค่อยได้คุยก็ได้คุยเยอะขึ้น กิจกรรมที่ไม่เคยทำก็ได้ทำเช่น การกางเต็นท์ การจุดเตาถ่าน การเดินป่า หนูว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีมากก่อนที่หนูจะเรียนจบไป กิจกรรมทั้งสองคืนก็ทำให้หนูได้คลายเรื่องที่ติดค้าง รู้สึกดีที่ได้ระบายมันออกมา ถ้าไม่มีกิจกรรมพวกนี้หนูก็คงยังเก็บมันไว้กับตัวเองอยู่ การเปลี่ยนแปลงสำหรับครั้งนี้คงจะเป็นการที่เราได้รู้จักตนเองมากขึ้น จากกการพี่มูได้เห็นจุดที่ไม่โอเคของตัวหนูและได้ให้คำแนะนำกับหนู ซึ่งจุดนั้นคือการที่เราใช้คำพูดที่มันเหมือนจะเป็นคำแนะนำแต่มันเหมือนกับเป็นออกแนวคำสั่งเพื่อนมากกว่า ซึ่งหลายๆ ครั้งที่หนูพูดคำพูดแนวๆ นี้ออกไป โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวมากก่อน เพราะจุดประสงค์ที่หนูต้องการจริงๆ ไม่ได้จะไปสั่งเพื่อน ตอนนี้หนูกำลังปรับปรุงมันอยู่แต่บางครั้งมันยังเผลอที่จะพูดมันออกไปก่อนที่จะไตร่ตรองเรียบเรียงคำพูดใหม่

คลาสพี่มะขวัญ เป็นคลาสที่สบายๆ และชิวที่สุดที่ได้เรียนมา เพราะมันไม่ต้องเขียน Reflection ด้วย การเรียนในคลาสเป็นเกี่ยวกับความสุข หนูว่ามันเป็นการสอนที่ยากมาก เพราะมันจับต้องไม่ได้และมันเป็นความรู้สึกความสุขของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ยากที่จะเข้าใจความสุขของคนอื่น และยังยากที่จะค้นพบความสุขที่แท้จริงของตัวเองอีก ชอบที่พี่เค้าให้เขียนโพสอิดเขียนแสดงความรู้สึกค่ะ

กิจกรรม Good–time moments เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้ใช้เวลาคิดย้อนทบทวนถึงสิ่งที่ทำมาในแต่ละสัปดาห์ว่าเรารู้สึกทำสิ่งไหนในช่วงเวลาไหนแล้วเรามีความสุข หนูไม่ค่อยเห็นว่าตัวหนูได้เปลี่ยนแปลงกับกิจกรรมนี้มากเท่าไหร่ แต่มันเหมือนกับว่าเราได้ใช้เวลากับตัวเองมากกว่า ว่าเราได้ทำสิ่งไหนและชอบมัน
ห้วยปะตง ถึงจะเป็นหน้าแล้ง แต่ก็ชุ่มฉ่ำ

กิจกรรม User Manual มันถือเป็นการเขียนที่ทำให้เราเห็นข้อดี ข้อเสีย จุดแข็ง จุดอ่อน ของตัวเอง อย่างมาก ทำให้เราได้เข้าใจว่าตัวเองเป็นอย่างไรเพิ่มขึ้นอีกด้วย ได้รู้จักนิสัยใจคอของเพื่อนมากขึ้นอีกด้วย การที่เราได้เห็นตัวเราเองเป็นแบบนี้ สามารถทำให้เราปรับปรุงพัฒนาตัวเองได้ แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น หนูชอบที่จะเป็นผู้ตามมากกว่าการเป็นผู้นำ เพราะภายในตัวเองมันมีความขี้กลัว ขี้กังวล คิดมากอยู่ จึงยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านมันได้

กิจกรรม Odyssey plan เป็นการวางแผนในอนาคต ตอนวางแผนมันมีอะไรหลายๆอย่างให้คิดถึง ไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่เป็นครอบครัว สัตว์เลี้ยง คู่ครอง การใช้ชีวิตในอนาคต แผนสำรองต่างๆ ตอนวางแผนก็ทำให้ได้คิดแล้ว แต่ตอนพรีเซนต์ ตอบคำถาม ได้แง่มุมอื่นมากกว่าที่เราคิด ได้นึกย้อนทบทวนเรื่องต่างๆที่ผ่านมา ถือเป็นกิจกรรมที่ดีอย่างหนึ่งที่ทำให้ได้เข้าใจอนาคตตนเอง ว่าบางครั้งมันก็มีอุปสรรคด้านทุนทรัพย์ที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมายได้ มันอาจจะต้องใช้เวลาถึงจะไปสู่เป้าหมายได้

ช่วงหลังจากที่เลิกคลาสพี่มะขวัญ ในวันนั้นหนูได้คุยกับพี่มู ปอม และได้กอดกับอาจารย์ก่อนที่อาจารย์จะไปสกล พี่มูได้บอกกกับหนูว่าให้คิดว่าสิ่งที่พี่จะพูดไปมันเป็นของขวัญ ซึ่งมันมีค่าต่อการเปลี่ยนแปลงและการใช้ชีวิตในอนาคตกับหนูมากๆ มากกว่าคลาสอื่นๆ ที่ผ่านมา หนูพอใจแล้วสำหรับคลาสนี้ที่ได้เรียนมา และหนูจะจดจำของขวัญชิ้นนั้นไปตลอด 

ของขวัญชิ้นนั้นคือการที่หนูได้รู้ข้อเสียของตนเอง ถามว่าหนูรู้ตัวมั้ย หนูยอมรับว่าบางครั้งก็รู้ตัวบางครั้งก็ไม่รู้ตัว ตัวหนูเองเป็นคนชอบโมโห อารมณ์ร้อน พูดคำพูดออกไปโดยไม่ได้คิดจนบางทีคำพูดนั้นมันกลับไปทำร้ายความรู้สึกของผู้ฟัง บางทีการที่หนูหวังดีกับเพื่อน มันอาจจะแสดงออกมาผิดวิธี หนูไม่อยากเสียเพื่อนหรือเสียใครไปเพราะการกระทำของหนูเอง เพราะหนูเคยเสียเพื่อนสนิทไปเพราะตัวเอง หนูก็ไม่อยากที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกในอนาคต หนูก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมบางที่คนที่เรารักเราแคร์อย่างพ่อแม่ ทำไมเรากลับที่จะไม่รักษาน้ำใจของท่านไว้ หนูว่าหนูก็คงทำนิสัยแย่ๆใส่ท่านไปบ้าง แต่ท่านก็ยังยอมทนกับเราและให้อภัยกับเราเสมอมา แต่กับคนอื่น ที่เราอยากรักษาไว้มันก็คงถึงจุดๆหนึ่งที่เขาทนกับนิสัยของเราไม่ได้ จึงเลือกที่จะเดินจากไป หนูอยากจะเปลี่ยนแปลงข้อเสียของตัวเองนี้ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก หนูกำลังพยายามอยู่ ค่อยๆใช้ชีวิต ค่อยๆ คิดทบทวนก่อนที่จะพูดอะไร จะทำอะไรลงไป มันรู้สึกฝืนตัวเองอยู่นิดหน่อยค่ะ แต่หนูยอมที่จะฝืนตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน

คนที่ 9

ก่อนที่ผมจะได้เรียนคลาสนี้ ผมไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าพูดกับคนที่ไม่สนิทหรือไม่รู้จัก แต่วิชาได้เปลี่ยนวิธีคิดของผมไปเลย ในคลาสแรกที่ได้เรียนกับพี่เก๋ จากกิจกรรมที่พี่เก๋ได้พาทำในคลาสนั้น ทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น รู้สึกเขินน้อยลงเวลาคุยกับเพื่อนที่ไม่สนิท เปลี่ยนความคิดผมจากคำว่าจะชวนเค้าคุยดีมั้ย กลายเป็นจะชวนเค้าคุยเรื่องอะไรดี และสิ่งที่ชอบในคลาสแรกก็คือการแนะนำตัวของเพื่อนๆ รู้สึกสนุกแล้วก็ตลกดี และได้รู้จักธรรมชาติมากขึ้น ผมชอบตอนที่นั่งฟังเสียง รู้สึกสงบสุขดี คลาสของพี่ปั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากไปค่ายเดินป่ามาก ได้รู้วิธีการเข้าหาคนที่ไม่รู้จักจากคลาสของพี่มู แล้วก็ชอบตอนที่กอดกับเพื่อนด้วย เพราะรู้สึกได้รับความอบอุ่นจากเพื่อนๆ 

อีกอย่างที่ผมเปลี่ยนแปลงคือ การตัดสินจากอะไรที่ได้ยินมาง่ายๆ เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ชอบตัดสินอะไรจากที่ได้ยินมาก่อนเสมอ เพราะเมื่อก่อนผมคิดว่าสิ่งที่คนอื่นได้เห็นหรือได้ยินมาแล้วมาเล่าให้เราฟังก็คงเป็นเรื่องจริง ไม่น่าใช่เรื่องแต่งหรอก แต่พอได้ไปที่สลัมมา ได้เห็นความพยายามของพี่ๆ ที่mercy center ได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นั่น ได้เห็นเด็กๆ ทำให้ผมคิดผิด ทำให้ผมไม่อยากตัดสินอะไรจากที่ได้ยินมา จนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตัวเองเท่านั้น ฟังหูไว้หู 

สิ่งเปลี่ยนแปลงผมต่อมาก็คือ เมื่อก่อนเวลาใครมาปรึกษาผมหรือมาเล่าเรื่องอะไรให้ผมฟัง ผมก็มักจะเอาความคิดของตัวผมเองใส่ให้เค้า แล้วก็คิดว่าเค้าคงจะคิดแบบเดียวกับผม แต่จริงๆ แล้วการให้คำปรึกษาใครมันไม่ใช่แบบนี้ จากที่ได้เรียนคลาสของพี่ตู่มาทำให้ผมรู้ว่า บางทีเพื่อนอาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากเรา เค้าอาจจะมีคำตอบอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องการหาที่ระบายเพื่อให้ตัวเองสบายใจขึ้นเท่านั้นเอง ทำให้เวลามีใครมาปรึกษากับผม ผมก็พยายามไม่ยัดเยียดความคิดของผมอีกแล้ว แต่จะเป็นค่อยๆทำให้เค้ารู้คำตอบด้วยตัวเค้าเองแทน
ถึงจะเป็นหน้าแล้ง และมีจนท. ช่วย
แต่ไม่ง่ายที่จะจุดไฟ

สิ่งที่เปลี่ยนสิ่งสุดท้ายของผมก็คือ ได้มุมมองของผมที่มีต่อครอบครัวผมในทางที่ดีขึ้น เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่ชอบครอบครัวผมเลย เวลาอยู่ด้วยกันแล้วรู้สึกอึดอัด ทะเลาะกันบ่อยมาก แต่ได้มาเรียนคลาสนี้ ได้ระบายเรื่องราวของผมทั้งในตอน Odyssey plan และตอนไปค่ายเดินป่า ช่วงกลางคืนที่ทำกิจกรรมทั้ง กิจกรรมด้านมืด ที่ผมเล่าเรื่องที่ผมเคยแกล้งเพื่อนในสมัยประถม และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ผมรู้สึกผิดมากๆเช่นกัน และกิจกรรมร่างทรง ที่ผมเล่าเรื่องว่าผมเคยไม่สนิทกับพ่อของผม เคยทะเลาะกันรุนแรงหลายๆครั้ง ทำให้ผมคิดถึงพ่อของผมมาก และถึงแม้ผมจะเคยขอโทษพ่อผมไปแล้ว แต่ผมก็อยากไปขอโทษพ่อผมอีกครั้ง และจากเรื่องทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดได้ว่าหลายๆสิ่งที่เค้าทำกับเรา ก็คงเป็นเพราะเค้ารักเราแต่แค่วิธีแสดงความรักของเค้าไม่ถูกเท่านั้น และในตอนที่พวกเค้าทะเลาะกันมันก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ผมต้องผ่านเรื่องพวกนี้ไปให้ได้ กลายเป็นคนที่เข้มแข็งมากขึ้น

สิ่งที่ผมอยากเปลี่ยนแปลง แต่ไม่เปลี่ยน ก็คือ ความใจร้อนของผม ผมยังควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ไม่ดีพอ ยังคงเหวี่ยงอารมณ์ใส่เวลาที่มีคนที่ทำให้ผมไม่พอใจอยู่ในบางครั้ง ซึ่งผมก็พยายามห้ามตัวเองแล้วแต่ก็ยังมีหลุดๆ อยู่ดี อีกอย่างนึงก็คือ ยังคงเป็นคนที่ขี้กังวลอยู่ ยังเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยอยู่ เวลาทำอะไรก็จะคิดอยู่ตลอดว่า "ทำแบบนี้ดีแล้วเหรอ? ถ้าเกิดว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดล่ะจะทำยังไง?" "หรือควรจะทำแบบอื่นดี?" "ถ้าทำแบบนี้แล้ว คนอื่นจะคิดยังไง?" "ถ้าทำออกมาไม่ดี แล้วเราจะทำยังไง?" ซึ่งเวลาจะทำอะไรผมก็ยังเป็นคนที่ต้องใช้เวลาในการคิดนานก่อนจะทำอยู่

คนที่ 10











Comments