Relax. Nothing is under control.

บันทีกค่าย Mini Quest สำหรับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ มก. ปี 4 จำนวน 20 คน ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม 2563 ที่อ่างเก็บน้ำพระปรง อุทยานแห่งชาติปางสีดา จ.สระแก้ว โดยมีวิทยากรหลักคือมู ชัยฤทธิ์ ศรีโรจน์ฤทธิ์ และวิชัย นาพัว

รูปส่วนใหญ่ถ่ายโดยวิชัย ปอน และฉันถ่ายเองบ้าง

ตอนเช้าก่อนออกจากบ้าน ฉันเช็คเฟซบุ๊คแล้วรู้สึกสะดุดกับโพสต์นี้ที่มีคำว่า "Relax.  Nothing is under control." ของนิ้วกลม ถึงขึ้นแชร์ให้เด็กๆ ในคลาสเห็น ปรากฏว่ามันเป็นพรจากจักรวาลถึงสิ่งที่ฉันจะได้เผชิญในวันนี้

ฉันทำคลาส Communication and Leadership เป็นครั้งที่สี่ คราวนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันให้เด็กๆ นำเสนอ Odyssey Plans ก่อนแล้วถึงไปค่าย พบว่าการได้พูดคุยกันในกลุ่มเล็กก่อนสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ทำให้เด็กมากันครบทุกคน ไม่มีอิดออดหรือต่อรอง และพลังงานเรากับเด็กก็ดีกว่าค่ายอื่นๆ มูบอก  Sequence มันสำคัญจริงๆ

วันแรก

เรานัดกัน 8.30 น. เด็กมาก่อนเวลา กระทั่งเด็กที่มักจะมาสายก็มาตรง รถตู้คณะมาตรง ส่วนเพื่อนฉัน มู เลท!!  ฉันโมโหมากที่ผิดแผนในประเด็นที่ไม่คาดคิดและคิดว่าเสียคำพูดที่เคยบอกเด็กว่าเราไม่รอ ถึงเวลาแล้วออกเลย แต่นี่ต้องรอเพราะเป็นเพื่อนเรา รู้สึกว่าไม่แฟร์ แต่ก็ให้ทุกคนขึ้นรถแล้วออก แล้วไปอัดมูทางโทรศัพท์เพราะนั่งกันคนละคัน มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีที่จะระเบิดให้เด็กทุกคนในรถฉันฟัง แต่ฉันก็ตามใจตัวเองและทำอยู่ดี ข้อดีคือพลังงานถูกระบายไปและฉันก็ move on

ตอนพักที่ปั๊ม พี่อาทิตย์ คนขับรถคณะ ถามฉันว่าอ.กลับวันจันทร์เหรอ ฉันบอกไม่นะ กลับวันอาทิตย์  ฉันถือใบจองรถอยู่พอดี เปิดดู พบว่าฉันเขียนวันที่จองรถผิดจริงๆ  โชคดีมากที่พี่อาทิตย์ถาม และคุณตี๋และพี่อาทิตย์ก็ว่างมารับเราวันอาทิตย์พอดี  โชคดีที่รอดตัวไป!!

พี่แก้วคือคนด้านหน้า
ก่อนถึงอุทยาน ฉันโทรหาวิชัย ซึ่งไปถึงก่อนและได้ติดต่อรถหกล้อที่จะไปส่งเราบนเขาไว้แล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะเรียบร้อยดีกว่าทุกที วิชัยแนะนำให้รู้จักพี่แก้ว จนท.อุทยาน ที่เคยทำค่ายกับวิชัยมาก่อน ฉันก็แบบ..โห ดีจัง มีคนในพื้นที่รู้จักเรา

เมื่อไปถึง ถ่ายของขึ้นรถหกล้อ คนขึ้นรถครบ รถออก รถกระบะของวิชัยที่เป็นรถเสบียงออกไปก่อน

ขึ้นรถปุ๊บ มีสายเข้ามาที่คนขับรถ บอกว่าให้อ.คุยกับสำนักงานก่อน ลงมาก็เจอเจ้าหน้าที่หน้าหงิกๆ ถามว่าติดต่อใครมา เนี่ย หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ (ที่เราจะไปพัก) บอกว่าไม่มีน้ำเลยนะ ไม่มีพอกระทั่งจะราดส้วม  ลึกๆ ฉันไม่เชื่อ ก็ตื๊อบอกว่าขอขึ้นไปดูก่อนได้ไหม หัวหน้าบอก ไปขอห้วหน้าอุทยานฯ ละกัน

หัวหน้าอุทยานฯ หน้าตาใจดี กำลังคุยเรื่องติดตั้งไฟฟ้าอยู่ หันมาดูแลเรา คนที่มานำเสนอเรื่องติดตั้งไฟเสนอให้เราไปอ่างเก็บน้ำพระปรง  ฉันและมูตัดสินใจจะไปลองที่ใหม่ๆ เราเลยไปที่นั่นแทน ช่วงที่คุยกับหัวหน้า มีดราม่าว่าผู้หญิงที่มาเสนองานกับหัวหน้าอช. ถามแบบตัดสินเราเมื่อได้ยินว่าฉันอยากได้ที่ไม่มีไฟฟ้า คลื่นโทรศัพท์ เพราะอยากให้เด็กได้สัมผัสกับที่ๆ ไม่เคย เจ๊ถามว่า "มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ"  ฉันสัมผัสได้ว่าถูกตัดสิน แต่ไม่สนใจ เพราะว่ามีเรื่องที่กังวลมากกว่าคือหาที่ตั้งแคมป์ให้ได้ และมูก็วีนกลับไปแล้ว

รถวิชัยขึ้นเขาไป เราติดต่อไม่ได้เพราะไม่มีคลื่นโทรศัพท์ ฉันโทษตัวเองว่าน่าจะรีบโทรหาวิชัยเลย จะได้อยู่ด้วยกัน

วาดโดยวิชัย
รถหกล้อเดินทางไปอีก 30 กม. ถึงอ่างเก็บน้ำ ฟ้าครึ้มและฝนตกตั้งแต่อยู่บนรถตู้ ฝนตกปรอยๆ เด็กและของอยู่ท้ายรถบรรทุกที่ไม่มีหลังคา ฉันโคตรเป็นห่วงและรู้สึกผิดที่ฉันนั่งหน้า ไม่เปียกอยู่คนเดียว

เมื่อไปถึงอ่างเก็บน้ำ มันเป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง เหมือนมาทะเลน้ำจืด จุดที่เรากางเต็นท์ไม่มีไฟฟ้า แต่มีคลื่นโทรศัพท์ยกเว้นดีแทค เราให้เด็กเลือกจุดกางเต็นท์ เค้าเลือกตรงลานโล่งๆ แทนที่จะใกล้ๆ ต้นไม้ แล้วก็กางใกล้ๆ กัน เหมือนสลัมน้อยๆ

เจ้าหน้าที่น่ารักมาก ต่างจากคนก่อนหน้าราวกับฟ้ากับเหว ทำความสะอาดห้องน้ำให้เราก่อน อนุญาตให้เราใช้สำนักงานทำกิจกรรม

ระหว่างนี้ก็ติดต่อวิชัยไม่ได้เพราะบนเขาไม่มีคลื่น ฉันลุ้นจนเหนื่อยว่าเย็นนี้ เราจะมีรถเสบียงเพื่อทำอาหารไหม ฉันได้แต่ส่งกระแสจิตไปให้วิชัย โทรหาคนขับรถหกล้อ เขาบอกว่าส่งคนขึ้นไปตามอยู่

มูทำกิจกรรมเช็คอินกับเด็ก ผ่อนพักตระหนักรู้เพราะเด็กเหนื่อย เล่นเกมให้ตื่นตัว และให้เด็กวางแผนการทำอาหารว่าใครจะทำหน้าที่อะไร และเมนูอะไร และเดินไปไหว้ศาลเจ้าแม่ตะเคียนและไปดูริมน้ำ

ในที่สุดวิชัยก็มาถึง บอกว่าข้างบนเขา (ที่ๆ เราจะไปแล้วเค้าไม่ให้ไปบอกว่าไม่มีน้ำ) น้ำเยอะมากเลย คิดว่าพวกเราไม่ตามไปเพราะหลบฝน แต่มันนานจัดจนเริ่มเอะใจก็เลยลงมา

ใหม่ ทีมงานวิชัย จุดเตาถ่านให้เด็กและหุงข้าวให้ เด็กๆ ทำอาหาร เด็กๆ เตรียมอาหารกันมาเองเยอะมากเพราะกลัวอด มีผักมาด้วย ฉันสุ่มจัดกลุ่มทำอาหารให้ กลุ่มละห้าคนตามขนาดหม้อสนามที่หุงข้าวแล้วพอดีคนห้าคน ฉันสุ่มให้เพราะอยากให้เด็กได้เจอขอบของตัวเองเวลาที่ทำงานกับคนที่ไม่คุ้นเคย

ในที่สุดก็ได้กินและทำกิจกรรมตอนกลางคืนของมู ชื่อ "ด้านมืดของฉัน"  ให้ทุกคนมาแชร์ด้านมืดของตัวเอง รวมถึงฉันและมู หลายเรื่องที่เด็กๆ เอามาแชร์เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขาจริงๆ  หลายคนก็เอาเรื่องผิวๆ มาแชร์ ซึ่งทำให้มูต้องถามถึงรายละเอียดเพิ่ม ฉันคิดว่าความสามารถในการยอมรับด้านมืดของเราเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราพัฒนาตัวเองได้  ถ้าเราไม่ยอมรับด้านมืดของเรา เช่น ด้วยการเอ่ยถึงมัน ด้านมืดนั้นก็เหมือนเป็นผีมาหลอกเราอยู่เรื่อยไป จะมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

คลาสฉันมีผู้หญิง 6 คน  มีแต่ผู้ชายพูดด้านมืด ผู้หญิงพูดแค่คนเดียวจนจะสี่ทุ่มอยู่แล้วและหลายคนยังไม่อาบน้ำ ฉันเลยเลิกวง เดากันว่าเด็กผู้หญิงถูกครอบด้วยความคาดหวังของสังคมว่าจะต้องเรียบร้อย เป็นคนดี เลยไม่กล้าพูดด้านมืดออกมา

เด็กคนหนึ่งพูดว่าด้านมืดของเค้าคือเค้าทะเลาะกับพ่อตั้งแต่เด็กๆ ระดับบอกตัดพ่อตัดลูก พอมาเรียนคลาสนี้แล้วรู้สึกว่าควรจะพูดกับพ่อดีๆ ฉันปลื้มใจที่เด็กคิดได้เอง เพราะฉันไม่เคยสอนเรื่องศีลธรรมตรงๆ ในคลาส มีแต่เรื่องการฟัง Empathy การรู้จักตัวเอง เอาเข้าจริง มนุษย์ทุกคนมีความดีอยู่ในตัวเองหรือรู้จักความดีอยู่แล้ว คือ เวลาทำเรื่องไม่ดี มันจะมีความรู้สึกตุ่ยๆ ขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด  ถ้าไม่ติดที่ความคิดเข้าข้างตัวเองหรือเป็นโรคจิต (Sociopath) ศีลธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้เองเมื่อเราเป็นปกติ คือ ไม่เศร้าจัด เครียดจัด ป่วยหนัก

กลางคืนไม่ร้อนมาก ฉันเหนื่อยเพราะลุ้นมาทั้งวัน และประจำเดือนมา เลยยิ่งเพลีย  มูบอกมันเป็นเควสของพี่หญิงด้วย ฉันเป็น control freak ชอบควบคุม ต้องการให้สำเร็จอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีคนอื่นมาเกี่ยวข้อง นึกถึงข้อความตอนเช้าว่า Relax.  Nothing is under your control.  จักรวาลก็เมตตาฉันจริงๆ ที่ส่งข้อความมาให้แต่เช้า ฉันได้ใช้ประโยคนี้เตือนตัวเองทั้งวัน

ฉันบอกมูว่า ค่ายไหนที่เด็กมีปัญหา ด้านอื่นของค่ายจะราบรื่น แต่ถ้าค่ายใด เด็กราบรี่น การติดต่อจะมีประเด็น  งวดนี้มีปัญหาเยอะจนฉันท้อและคิดว่าไม่ทำแล้ว

เที่ยงคืนครึ่ง ได้ยินเสียงกีต้าร์ของเด็กๆ ทั้งๆ ที่บอกแล้วก่อนเลิกวง จะลุกไปเตือนก็ขี้เกียจ ก็ปล่อยและค่อยไปเตือนตอนเช้าอีกรอบหนึ่ง

วันที่สอง

เมื่อวิชัยมาถึงเมื่อวาน ก็รีบติดต่อกับเจ้าหน้าที่ว่ามีจุดไหนที่เราไปเดินป่าได้บ้าง เพราะจุดที่เราอยู่เป้นป่าเสื่อมโทรม มีแต่ต้นไม้เตี้ยๆ และร้อนมากๆ ตอนกลางวัน  พี่แก้ว เจ้าหน้าที่อุทยาน ที่เป็นเพื่อนวิชัย โทรมาช่วยประสาน เช้านี้เราจะนั่งเรือไปอีกฟากหนึ่งของป่า เจ้าหน้าที่จะไปกับเราด้วย 4 คนรวมพี่แก้ว

ฉันตื่นมา ก็คว้ากระบอกน้ำและกาแฟดริป ออกแสวงหาน้ำร้อน ปอ เจ้าหน้าที่ที่นี่เห็นฉันถือกระบอก ถามว่า "ครูจะเอาน้ำร้อนไหมครับ ผมต้มให้"  ฉันรู้สึกได้เลยว่าชีวิตกำลังเริ่มดีขึ้นแล้ว ความเมตตาทำให้โลกหมุนไปจริงๆ

นอนเต็นท์มีข้อดีคือร้อน นอนตื่นสายไม่ได้ เด็กๆ ทยอยกันตื่น บางคนจัดการกับตัวเองก่อนแล้วค่อยไปปลุกเพื่อน ฉันให้ทุกคนนอนแยกเต็นท์ เพื่อจะได้ฝึกอยู่คนเดียวและจะได้ไม่คุยกันมาก

นัดกัน 9.30 น. แบบกินข้าวเช้าแล้ว วิชัยเลคเชอร์เรื่องป่า สัมปทานป่า และพื้นที่บริเวณนี้  วิชัยพาทำกิจกรรมฝึกสติ (แต่เราไม่เรียกว่าฝึกสติ เราเรียกว่าอยู่กับปัจจุบัน) ด้วยการลากเส้นแบบไม่ยกดินสอ วาดหน้าเพื่อนโดยไม่ยกดินสอหรือดูกระดาษ  แล้วก็คลึงนิ้ว  งวดนี้วิชัยมีสมุดมาให้เด็กๆ คนละเล่มด้วย  คาดว่าน่าจะเป็นนิ่ม แฟนวิชัย เตรียมให้

เป็นครั้งแรกของค่ายที่เรานั่งเรือ เห็นชาวบ้านมาตกปลา เห็นขยะตามแนวฝั่งเป็นระยะๆ

พอไปถึง ต้นลานจำนวนมากต้อนรับเรา พี่แก้วบอกว่าที่นี่มีต้นลานมากกว่าอช.ทับลาน คนสมัยก่อนเอาใบลานมาทำสมุด เราเริ่มเดินไปสู่ห้วยปะตง เจ้าหน้าที่ชี้ให้เด็กดูใบไม้ ดอกไม้ ร่องรอยสัตว์ ตัดหวายมาให้กินน้ำ

เราพักกินอาหารเที่ยงที่ห้วยปะตง ซึ่งร่มครึ้มและเหมาะกับกับการพักเพราะมีน้ำ แต่ละคนก็เอาน้ำดื่มและน้ำต้มมาม่ามา แต่ถ้าไม่มีจุดเติม ขากลับก็จะลำบาก

ฉันได้เรียนรู้จากมูว่าให้พกอาหารแห้งหรืออาหารกระป๋องมา เราจะได้ดูแลตัวเองได้ และไม่ต้องทำ ฉันเอากราโนล่า ปลากระป๋อง ๑ กป. เมล็ดทานตะวัน และน้ำเต้าหู้กล่องไป กาแฟดริปด้วย

เด็กๆ ได้อัพเลเวลในการจุดไฟ เมื่อวานได้เตาถ่าน วันนี้จะต้องจุดจากเศษไม้ในป่าและไม่มีเตา เจ้าหน้าที่มีเศษยางในรถยนต์เป็นเชื้อ ขณะที่เด็กจุดไฟทำอาหาร ฉันก็นั่งเขียนบันทึกของฉันไป ดูวิว เจ้าหน้าที่ วิชัย และมูค่อยช่วย  ในที่สุดก็ได้กินมาม่าที่เอามา การจุดไฟในป่าไม่ง่ายสำหรับมือใหม่ ถึงจะเป็นหน้าแล้ง  มีเด็กบางคนบ่นว่า "จะได้ใช้ไหมในอนาคตเนี่ย (การจุดไฟ)"  "ทำไปเพื่ออะไร"  วิชัยได้ยินและบอกฉันว่าเราต้องมาสรุปเรื่องนี้กับเด็ก

วิชัยทำค่ายหลังเดินธรรมยาตราลำปะทาว ให้เด็กม.ปลายโรงเรียนรุ่งอรุณ มาหลายปี วิชัยบอกว่าประเด็นที่เด็กพูดมา ที่เกี่ยวกับการอยู่กับปัจจุบัน การทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เป็นสิ่งที่รร.รุ่งอรุณอยากให้เด็กได้เห็น

เมื่อกินเสร็จ ล้างจานเสร็จ เราเรียกรวม มูถามเด็กๆ ว่าได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกิจกรรมตะกี้ เด็กๆ พูดแต่เรื่องบวกๆ เช่น ได้ฝึกอดทน ได้ทำงานกับเพื่อน มูบอกว่าไม่มีใครพูดด้านลบเลย แล้วฉันก็เปิดประเด็นที่วิชัยได้ยิน  วิชัยเติมเรื่องกฏเกณฑ์ของป่า เช่น เมื่อถึงหน้าร้อน ป่าผลัดใบก็จะปลิดใบทิ้งทั้งหมด ทำไมถึงมีเถาวัลย์ในป่า ฉันขอให้วิชัยพูดเรื่องการจุดไฟทำอาหารก็เพื่อจะได้มีอาหารกิน วิชัยพูดเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน

ฉันเสริมเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสมัยนี้ ความคาดเดาไม่ได้ที่เราเห็นจาก Covid-19 เราจะมีทักษะการเอาตัวรอดไหมในป่า เราจะรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้ได้ไหม รุ่นเด็กๆ ไม่มีความมั่นคงใดๆ เหมือนรุ่นพ่อแม่ แล้วจะอยู่อย่างไร

ฉันนึกถึงหนังสือ A Man Search for Meaning ของ Victor Frankl แล้วเล่าให้เด็กๆ ฟังว่า Dr. Frankl พบว่าคนที่รอดจากค่ายกักกันเอาช์วิทซ์ ไม่ใช่คนที่แข็งแรง แต่เป็นคนที่รู้ความหมายในการมีชีวิตของตัวเอง วิชัยเสริมว่ามีป้าคนหนึ่ง รอดจากค่ายเพราะแกคุยกับต้นไม้ต้นหนึ่งที่โผล่มาจากรั้วค่ายทุกวัน และป้าเฝ้ารอให้ต้นไม้นี้ออกดอก

ฉันบอกเด็กๆ ว่ามนุษย์เราขาดหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่ไม่สามารถทนความทุกข์ที่ไม่มีความหมายได้

มูพูดว่า เราเป็นคนอีกรุ่นหนึ่งที่ต้องการส่งต่อสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุดไปสู่รุ่นต่อไป เช่น ความอดทน ทักษะการดำรงชีวิต

ความงามเล็กๆ
วิชัยพาเด็กทำกิจกรรม ความงามเล็กๆ คือ ให้เด็กวาดรูปธรรมชาติที่อยู่ในสไลด์เฟรมที่ใหม่วางไว้ให้ ช่วงที่เด็กเดินหาเฟรมและวาด ดูสงบและเป็นธรรมชาติมาก  จากนั้นก็เป็นกิจกรรมเสียงกระซิบ  เลือกต้นไม้ที่เราคอนเน็คด้วย แล้วอยู่กับเค้า สัมผัสเค้า และเขียนบนกระดาษว่าเค้าพูดอะไร แล้วเสียบไว้ที่ต้นไม้นั้นๆ  เมื่อเสร็จ ก็เดินไปอ่านของเพื่อน  มีเด็กคนหนึ่งที่ดูลอยๆ เหมือนอยู่ในความคิดตลอดเวลา เขียนเสียงกระซิบไม่ได้ เขียนจุดจุดจุด ฉันรู้สึกเศร้า... นี่เค้าคิดเยอะจนขาดจินตนาการเลยหรือ

ขาเดินกลับ เดินกันเร็วมากๆ เราได้เห็นร่องรอยที่หมีปีนต้นไม้ แล้วฉีกเปลือกไม้เพื่อหาอาหาร เห็นหลุมที่หมูป่าขุดหารากไม้

เมื่อถึงค่าย ก็แยกย้ายกันทำอาหาร แล้วเจอกันตอนค่ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมหลักของค่าย ที่ไม่เคยซ้ำกันเลยซักปี และไม่รู้ล่วงหน้าด้วยว่าจะทำอะไร มูบอกว่าก็พยายามคิดมาก่อนนะ แต่ท้ายที่สุด ก็ใช้ญาณทัศนะในการเลือกว่าจะเอาอันไหน กิจกรรมนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่มา จักรวาลจัดสรรกิจกรรมให้เหมาะกับโจทย์ของคนที่มา

มูให้ชื่อว่า "ร่างทรง" คือ เราอธิบายสถานการณ์ของเรา คู่กรณีที่เราอยากจะคลี่คลายด้วย แล้วให้เราเลือกคนในวง หรือบางทีก็รับอาสาคนในวงมาเป็นร่างทรงของคู่กรณีเรา ร่างทรงอาจจะพูดกลับมาก็ได้ แล้วแต่เจ้าของเรื่องเลือก มูทำตัวอย่างให้ดู ฉันเคยทำกิจกรรมนี้แล้วตอนอยู่ในเควสของตัวเอง แต่ใช้จินตนาการกองหินเป็นคู่กรณีแทน ซึ่งฉันไม่ได้ให้พูดกลับ

ตอนแรกๆ ฝืดมาก ใช้เวลานานกว่าจะมีคนออกมา โจทย์ที่ออกมามีทั้งเล็กและใหญ่ มีเรื่องตัวเองกับครูสมัยประถม ตัวเองกับเพื่อน ตัวเองกับแฟน ตัวเองกับแม่ เช่นเคย คนที่ออกท้ายๆ เป็นผู้หญิง  งวดนี้มูออกกฏชัดเจนว่าทุกคนต้องพูด เราจะอยู่ด้วยกันกว่าจะพูดครบวง

ในคลาสเทอมนี้ แจ๊ค (ชื่อสมมติ) ที่เพื่อนๆ แทบไม่เคยเห็นมาเรียนในคลาสไหน มาเรียนด้วย แจ๊คเคยประชดพ่อด้วยการไม่เรียน อยู่ในห้องเล่นเกมอย่างเดียว อัศจรรย์ที่มันยังอยู่ได้ถึงปีสี่ทั้งที่เหลือวิชาที่ยังไม่ได้ลงอีกเยอะมากและเกรดเฉลี่ยก็ร่อแร่  ตอนนี้แจ๊คเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ฝังอยู่ในดินแล้วเพิ่งจะงอก เริ่มกลับมาใส่ใจเรื่องเรียน คะแนนสอบกลางภาคดีขึ้นอย่างผิดตา กิจกรรมกลางคืนทั้งสองครั้ง แจ๊คพูดคนแรก ฉันรู้สึกดีใจกับการเกิดใหม่ของมัน ถึงอนาคตจะไม่ง่าย แต่ก็ดีกว่าหลบอยู่ในถ้ำเล่นเกม

ฉันคิดว่าคืนนี้เป็นคืนของดาว (ชื่อสมมติ) โดยบังเอิญบนรถตู้ไปสลัมคลองเตย ฉันคุยกับดาวถึงแม่ของนางๆ บอกว่าแม่เสียแล้วตอนนางอยู่ปี 1 และไม่ได้อยู่ตอนแม่ตายเพราะติดสอบดรอว์อิ้ง งวดนี้ดาวก็มาเล่าเรื่องนี้พร้อมน้ำตา  มูให้ฉันอาสาเป็นแม่ ถามดาวว่าจะเลือกให้แม่นั่งหรือนอน ดาวเลือกนั่ง ดาวคร่ำครวญไปเรื่อยๆ แบบไม่ปล่อยฉัน จนมูต้องแยกดาวออกมาและกระซิบอะไรบางอย่าง แล้วให้ฉันนอนลง  มูบอกให้ดาวบอกลาแม่ ดาวบอกว่า แม่สู้ๆ นะ อยู่กับหนูนะ จนมูต้องมากระซิบอีกรอบว่าบอกลาแม่ได้แล้ว ดาวก็โผกอดฉันและร้องไห้จนตัวสั่น ณ จุดๆ นั้น ฉันรู้ว่า แม่ดาวเลือกที่จะจากไปตอนดาวไม่อยู่ เพราะถ้าอยู่ก็จะเป็นแบบนี้ และแม่จะไปไม่ได้  ฉันบอกดาวในประเด็นนี้ และบอกว่า แม่สู้เต็มที่แล้ว และแม่ไม่ไหวแล้ว ดาวก็ยังน้ำตาไหลเรื่อยๆ   ฉันรู้สึกว่ายังไม่พร้อมจะปล่อยกลับไปนั่ง และคิดว่าอยากถ่ายทอดพลังงานให้

อุดมสมบูรณ์ขนาดมีปูในห้วย
คืนนั้นเป็นคืนที่ไร้เมฆ พระจันทร์สว่างมาก พระจันทร์เป็นตัวแทนของผู้หญิง เป็นอารมณ์  ฉันขอเวลาจากมู ฉันบอกให้ดาวนอนลงสบายๆ  ฉันเอามือซ้ายวางไว้ที่หัวใจ และคอนเน็คกับพระจันทร์ ถ่ายทอดพลังงานจากพระจันทร์ให้หัวใจของดาว จนเมื่อฉันรู้สึกว่าสิ่งที่ไหลออกจากมือเริ่มน้อยลง และดาวเริ่มสงบขึ้น ฉันสะกิดให้ดาวลุกขึ้น กอดกัน และให้กลับไปนั่ง มูรู้สึกว่าพลังงานกลุ่มมันหนักอึ้งมาก จึงให้เบรคเข้าห้องน้ำ

ฉันคิดว่าจักรวาลเตะเราจากภูเขามาที่ลานโล่งกว้างที่พระจันทร์อาบแสง เพราะว่าถึงเวลาที่ดาวจะได้คลี่คลายประเด็นตัวเอง

ฉันยังไม่ได้เช็คกับนางว่าหลังจากค่าย นางเป็นอย่างไร

เรื่องของฉันเป็นเรื่องสุดท้าย ฉันเขียน Appreciation notes ถึงเพื่อนรอบตัว ถึงคนในครอบครัวแทนการ์ดปีใหม่ และฉันไม่ได้เขียนถึงแม่เพราะแม่เสียชีวิตไปสิบปีแล้ว มูมาเป็นตัวแทนแม่ของฉัน ฉันก็ได้ขอบคุณแม่ แบบที่ไม่เคยบอกเค้าตอนเค้ายังมีชีวิตอยู่ แม่เป็นไอดอลของฉันและฉันจำหลายเรื่องที่แม่สอนได้  มูเป็นเพื่อนสนิท จึงรู้เรื่องราวและตอบว่า การที่หญิงได้ใส่ชุดของแม่ก็เป็นสัญลักษณ์ว่าแม่ยังอยู่ในตัวหญิง แล้วเราไปเที่ยวกันนะ ฉันนึกถึงตอนเด็กๆ ที่แม่บ้างาน และฉันเสียใจและโกรธที่โดนแม่เทประจำ  ฉันรู้สึก complete กับแม่ในระดับหนึ่ง



ก่อนจะปล่อยไปนอน ฉันขอให้มู ground ทุกคน ปล่อยพลังงานลงดินเพราะอยู่ในตัวเยอะมาก เดี๋ยวจะนอนไม่ได้ มูให้ทุกคนยืนเท้าเปล่าสัมผัสพื้นดิน ยืนผ่อนคลาย แล้วถ่ายพลังงานลงเท้าเข้าสู่ผืนดิน

วันสุดท้าย

เมื่อคืนไม่มีเสียงดนตรี เพราะน่าจะเหนื่อยกัน เราเจอกัน 9.30 น. มูให้นั่งริมน้ำ สอนให้มองแบบกว้างๆ แล้วให้ทำกิจกรรม "เขียนสะท้อน" แล้วเขียนกลอนไฮกุ (เพื่อสรุปทั้งหมด) และเขียนจดหมายขอบคุณเจ้าหน้าที่อุทยาน ซึ่งปกติรับแขกแค่ 2-3 คนเพราะไม่มีไฟฟ้าจึงไม่มีใครมา ห้องน้ำสร้างมาสิบปียังใหม่อยู่

สภาพหลังค่าย
เราย้ายมาที่ในร่ม ที่สำนักงาน มูให้ทำกิจกรรม "คำขอบคุณ" สลับกันมานั่งเป็นไข่แดงกลางวง แล้วคนที่เหลือพูดหนึ่งคำที่เกี่ยวกับคนๆ นี้ เช่น ความกล้าหาญ ดีเกินไป... ฉันชอบกิจกรรมนี้เพราะกระชับและได้ใจความดี

จากนั้นก็ให้"กอด" สร้างวงกลมซ้อนวงกลม คนวงในกอดคนวงนอก และเช็คเอาท์

รถกระบะของเจ้าหน้าที่และวิชัยไปส่งเราด้านหน้าที่ถนนดี รถตู้มารอแล้ว 1 คัน อีกคันโทรตาม

เมื่อมาถึงมก. กลุ่มนี้ยังอิดออด อยู่ด้วยกัน ฉันก็ไปกินข้าวกับมู แล้วก็เช็คเอาท์กัน

ตอนก่อนไปป่า ฉันกำลังเซ็งกับงานที่ทำ เพื่อนร่วมงานบางคน พอไปป่ากลับมาแล้วมันหายไปเลย ไม่ได้คิดเรื่องนี้ อยู่ๆ มันก็หายไปเอง เหมือนสิ่งดีๆ ที่ได้เจอมันมากกว่าเรื่องโง่ๆ ที่เราดันไปใส่ใจ เรื่องที่ดีมีสเกลที่ใหญ่กว่าเรื่องเซ็งอย่างมาก จนเรื่องเซ็งไม่อยู่ในหัวใจอีกต่อไป


Comments