Overall Class Reflections

ชั้นตัดเกรดเทอมที่ผ่านมาไปแล้ว สำหรับนิสิตปี ๔ จำนวน ๓๐ คน วิชา Communication and Leadership ในแง่คนดูแลคลาส ชั้นมีความชัดเจนและมั่นคงภายในมากขึ้นในการดูแลเด็กๆ ทำให้กล้าให้เกรดต่างๆ กัน เทอมแรกที่ทำยังไม่กล้าฟันธง กลัวทำร้ายความรู้สึกเด็ก ก็ให้ A ทุกคน เทอมที่สามนี้เริ่มกล้าแล้ว

อันนี้เป็น Course Syllabus เผื่อใครอยากทำคอร์สแบบนี้

คลาสเปลี่ยนไปทุกเทอม ตามประสบการณ์ของชั้นและตามเด็กที่เข้ามา


คนแรก

สิ่งที่ทำให้อยากเข้ามาเรียนในคลาสนี้ คือการอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเหมือนที่บอกในครั้งแรกที่อาจารย์ถาม ผมพยายามลองเปลี่ยนตัวเองดูก่อนหน้านั้น แต่มันก็เป็นเหมือนเดิม ผมว่าการมีคนคอยแนะนำทำให้การเปลี่ยนแปลงมันง่ายขึ้น และผมว่ามันเป็นอะไรที่หาไม่ได้ในการเรียนวิศวะ ถึงจะเป็นข้างนอกก็ต้องเสียเงินเยอะแยะ แต่โอกาสที่ผมจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเองมันอยู่ตรงหน้า ทำไมต้องลังเลด้วย ทำให้ผมตัดสินใจลงคลาสนี้

จากเดิม ผมเป็นคนค่อนข้างเงียบ โลกส่วนตัวสูง พยายามอยู่ในที่ของตัวเอง หนีจากความวุ่นวายตลอดๆทำให้ผมไม่ค่อยได้คุยกับใครซักเท่าไร สิ่งที่เปลี่ยนผมอย่างแรกเลยคงเป็นการฟัง เพราะปกติผมก็ฟังๆไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้ใส่ใจคนพูดซักเท่าไร แต่พอเรียนคลาสแรกๆไป ผมกลับรู้สึกว่าการได้ฟังใครพูดซักคนเป็นเรื่องดี ที่เค้ายอมที่จะเล่าเพราะเค้าไว้ใจเราหรือเค้าต้องการคนคอยรับฟัง นั้นทำให้ผมได้เข้าใจเค้ามากขึ้น การมองตากัน คอนเนคกัน ทำให้ผมกลายเป็นผู้ฟังที่ดีขึ้น

คลาสที่ออกไปสลัมคลองเตย เป็นครั้งแรกที่ได้ไปที่นั้น การได้เห็นมุมมองใหม่ๆ การได้เจอคนหลายๆแบบ การที่เราคิดว่าจะเป็นแบบที่แย่ๆถ้าพูดถึงที่นั้น แต่มันไม่ได้อย่างที่คิดไว้ ต้องลองมาสัมผัสเองถึงจะเข้าใจ ทั้งการเป็นอยู่ การใช้ชีวิต ทำให้ผมไม่ควรตัดสินใจก่อนที่จะเข้าใจเค้าจริงๆ

ต่อไปคงเป็นคลาสของพี่ตู่ โดยก่อนเรียนผมว่าผมคงโค้ชใครไม่ได้ ผมไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของคนเท่าไร ปกติ ผมค่อยข้างไปทางเหตุและผลมากกว่า แต่พอเรียนๆไป ผมว่าเราก็สามารถโค้ชคนอื่นได้ การได้เข้าใจเค้า การได้เปิดทางเลือกให้เค้าโดยที่ไม่มีคำตอบที่แน่นอน การที่อยู่เป็นพื่อนเค้า การได้ฝึกการตั้งคำถามแบบปลายเปิด-ปิด การได้เค้าไปอยู่ในโลกของเค้า

ต่อไปคงเป็นคลาสที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองมากสุด คือการไปปางสีดา คือการออกจากโซนของตัวเอง การได้เข้าใจในตัวเองมากขึ้น การได้ลองไว้ใจคนอื่น การลองทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำ เช่น การกางเต้น ทำอาหารกับเพื่อน จุดใหญ่ๆ คงเป็นการได้ออกจากโซนของตัวเอง การใช้ความคิดให้น้อยลง การใช้ความรู้สึกมากขึ้น โดยเฉพาะที่พี่มูบอกว่า การออกจากโซนง่ายที่สุด คือ การออกไปทำเลย ไม่ต้องคิดให้มันเยอะแยะ ซึ่งผมได้ลองไปใช้จริงๆในช่วงคืนที่ 2 ที่อยู่หน้าเทียน สามารถขออะไรก็ได้ ซึ่งผมลองไม่ใช้ความคิดดู แต่ใช้ความรู้สึกว่า ตัวผมเองรู้สึกอะไร อยากได้อะไร และสอนเรื่องการเราไม่ได้อยู่คนเดียวบนโลก แต่เราควรพึ่งพากันและกัน เพราะต่างคนต่างความคิดต่างความรู้สึก เปิดใจเพื่อรับอะไรใหม่ๆเข้ามาทำให้เกิดทางใหม่ๆขึ้นมา ซึ่งการไปในรอบนี้ เป็นทั้งการได้เจอเพื่อนๆ การได้เข้าใจตนเอง การออกจากโซนของตัวเอง

ตอนแรกผมก็ไปรู้ว่าเปลี่ยนไปไหม แต่ผมกลับบ้าน ผมได้ลองไปเล่าไห้แม่ฟังเลือกที่ไปปางสีดา และแม่ก็พูดขึ้นมาว่า เหมือนเขมเปลี่ยนไปหน่อยๆนะ ซึ่งผมก็ไปรู้ว่าเปลี่ยนไปยังไง ผมว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญกับตัวผมในตอนนี้แน่ๆ และในคลาสสุดท้าย ที่เป็นการนำ prototype มาเสนอ ผมอยากจะลองออกจากโซนของตัวเองดูโดยการนำเสนอเป็นคนแรกๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ออกไปพูดในสิ่งที่ได้ไปสัมผัสมาจริงๆ ซึ่งเอาจริงๆพอผมได้มาเรียนคลาสนี้ อย่างน้อยผมก็กล้าพูดได้ว่า ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองไปจริงๆ ซึ่งผมว่าคนอื่นๆต้องเปลี่ยนไปบ้างแหละ เท่าที่เจอกันตั้งแต่ครั้งแรกๆ

สิ่งที่ทำให้ผมเปิดใจคงเป็นครั้งที่ไปอธิบายเรื่อง แผนในอนาคต ซึ่งพอผมพูดเสร็จ คำถามที่อาจารย์เข้ามาถามผม มันรู้สึกได้เหมือเข้ามาในใจผมจริงๆ ผมเลยคิดว่าถ้าเป็น อาจารย์ อาจะเข้าใจผมจริงๆก็ได้ ซึ่งตอนที่ปางสีดาค่าย พี่มู ก็ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ผมเลยว่าจักวาลคงจัดสรรให้ผมได้มาลงได้คลาสนี้แน่ๆ

คนที่สอง

ก่อนอื่นเลยก่อนการที่จะมาเรียนในคลาส select topic ของอาจารย์จุฑา ผมนั้นยังไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองนั้นเป็นคนอย่างไร ว่าตัวเองนั้นชอบอะไรกันแน่ และได้เริ่มการเรียนในแต่ละคลาสหลายคลาสมากขึ้น ทำให้ค้นพบอะไรหลายๆอย่างมากมาย ในด้านการเข้าสังคม โดยส่วนตัวผมนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยจะกล้าพูดเท่าไร สำหรับคนที่ไม่ค่อยสนิท และไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากเท่าไร

ก่อนอื่นเลยที่มาทำให้รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ก็คงจะเป็นงาน odyssey plan ที่เราได้ลงมานั่งทบทวนตัวเอง เหมือนตอนเรียนคลาสกับพี่เก๊เป็นคลาสที่ผมชอบมาก ที่ทำให้เราได้ย้อนถึงตัวเองในอดีต กับการเรียนต่างๆ เช่นผมมีความสุขกับอะไร ในการทำงานผมก็ชอบด้านการเงิน มากกว่า ในด้านการทำงานด้านโรงงาน และคลาสที่ผมชอบมากๆ

ต่อมาก็คงจะเป็นคลาสของพี่มู เหมือนได้รับการเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง ในก่อนนั้นผมเป็นคนที่ตัดสินอะไร จากแค่สิ่งที่เห็นเท่านั้น แต่เราไม่เคยจะเคยที่เข้าใจความรู้สึกเขา ทำให้เราลองที่จะไปเป็นตัวเขา ทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น โดยเดิมนั้นผมชอบที่จะยึดความคิดตัวเองเป็นหลัก ว่าผมคิดงี้มันเป็นสิ่งที่ดีทีสุดแล้ว แต่เราไม่เคยจะมองถึงมุมมองคนอื่น ว่าหลากหลายความคิดก็จะมีหลากหลายมุมมองในการตัดสินใจ และได้เรียนรู้ถึงการทำงานเป็นกลุ่ม ผมเลือกที่จะนำว่าต้องแบบนั้นแบบนี้นะ แต่เราก็ได้เรียนรู้การตั้งคำถาม ก่อนที่เราจะตัดสินใจคนอื่น โดยเลือกที่จะตั้งคำถามปลายเปิดมากขึ้น เราเป็นคนที่จะคิดตลอดว่าทำไมคนอื่นไม่ทำแบบนั้นไม่ทำแบบนี้ แต่ด้วยจากประสบการณ์การเรียน เราได้เปลี่ยนความคิดตัวเองใหม่ แทนที่เราจะหาให้เขามุ่งไปหาคำตอบที่เราต้องการ เปลี่ยนเป็นเรามาสร้างทางเลือกให้เขามากขึ้นจะดีกว่า

จากเดิมเป็นคนที่เพื่อนๆจะชอบมาถามเรื่องที่เรียน เราจะเป็นคนที่อธิบายไม่ค่อยเข้าใจ แต่ได้ปรับการอธิบายมาใหม่ด้วยการทำให้คนที่เราอธิบายเห็นภาพมากขึ้น อาจจะโดยการยกตัวอย่าง และเรื่องที่จะขาดไม่ได้เลยคือเราสามารถเข้าใจในความต้องการของคนอื่น และตัวเองได้มากขึ้น! บ่อยครั้งที่ตัวเองนั้นจะรู้สึกไม่ค่อยดี หรือรู้สึกแย่ เราเลือกที่จะปล่อยผ่านไป เพราะคิดว่าเดียวมันก็หาย โดยที่เราไม่คิดจะหาความรู้สึก และความรู้สึกนั้นจะสู่นำไปถึงความต้องการ และเมื่อเราทราบความต้องการ เราก็จะสามารถที่จะบรรลุความต้องการ เพื่อทำให้ความรู้สึกที่เป็นอยู่หายไป

บางทีผมมีปัญหากับแฟน เขาอาจะทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ผมเลือกที่จะไม่บอกในเมื่อก่อน คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่มาในปัจจุบัน ผมเลือกที่จะเปิดใจความต้องการคุยกัน ซึ่งเป็นผลดีมาก ทำให้ผมกับแฟนนั้นเข้าใจกันมากขึ้น แล้วเราเป็นคนที่ชอบเก็บคิดว่าระงับอารมได้ แต่พอเมือมันระเบิด เราเลือกที่จะใช้คำพูดแรงๆใส่กัน ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่ดีเลย เราสามารถเลือกคำพูดที่ทำให้ดีขึ้นได้ เพราะคำพูดขนาดเราที่เป็นคนฟัง ยังเสียความรู้สึกหากได้รับคำพูดที่ไม่ดีมา และสำคัญไม่แพ้กันก็คงเป็นคลาสที่ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น

การคุยกับพี่มูทำให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน ซึ่งมันตรงทุกอย่าง พี่มูเคยบอกว่าอยากให้เราอ่อนลงบ้าง แต่ก็เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าตอนนี้ปรับยาก แต่ที่ทำให้ดีขึ้นก็คือการตั้งเป้าหมายในตัวเอง เพราะเป็นคนตั้งเป้าหมายและต้องการที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย แต่ถ้าหากมีการผิดพลาด เราเองก็เป็นคนที่รู้สึกแย่ เราทำโดยการตั้งเป้าหมายที่ไม่สูงเกินไป เพื่อไม่ให้กดดันตัวเองจนมากไป และได้อยู่เรียนรู้กับธรรมชาติมากขึ้น โดยเดี๊ยวนี้ผมเปิดชอบมานั่งรับลมบรรยากาศธรรมชาติตอนกลางคืน รู้สึกว่าธรรมชาตินั้นคอยเป็นพลังคอยให้กำลังใจเรา ได้ยินเสียงจากธรรมชาติ ขอขอบคุณอาจารย์จุฑา และพี่ๆทุกคน ที่ทำให้การเรียนไม่เหมือนกับการเรียนในมหาลัยที่ผ่านมา เป็นวิชาที่อยากจะให้ทุกคนได้มาลองเรียน

คนที่สาม

ผมต้องบอกก่อนที่ผมจะตัดสินลงเรียนวิชานี้ ตอนนั้นผมถามพวกเพื่อนผมว่าเทอมหน้าลงวิชาเลือกอะไรกันบ้างเผื่อจะลงด้วย เพราะตอนนั้นที่จริงผมลงวิชาเลือกครบแล้วแต่กลัวตัวเองจะว่างจนขี้เกียจไปเลย เน็ทบอกผมว่าจะลงวิชานี้กัน ความรู้สึกคือมีทั้งความอยากเรียนและความกลัวไปด้วยกัน ผมนึกถึงตอนวันปัจฉิมรุ่นผมที่อาจารย์บอกให้เขียนPost it ให้เพื่อนแล้วกอดกัน ตอนนั้นก็นึกคิดในใจว่าต้องกอดกันเลยหรอ? รวมถึงการที่อาจารย์สั่นกระดิ่ง ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แล้วตอนช่วงที่เพื่อนในรุ่นผมเรียนวิชาอาจารย์ ผมก็ฟังมันพูดๆกัน มีการนัดกันไปกินข้าวด้วย ไหนจะไปป่ากันอีก ทำไมต้องไปถึงเขาใหญ่ เขาไปทำอะไรกันถึงที่นู่น ตั้งแต่เรียนมาผมก็ยังไม่เคยเห็นอาจารย์คนไหนดูใกล้ชิดและสนิทกับลูกศิษย์ขนาดนี้เลย เพื่อนผมพอพูดถึงวิชานี้ก็ดูตื่นเต้นกัน ยิ่งทำให้อยากรู้เลยว่าคลาสนี้เรียนอะไรกัน
สำหรับความกลัวของผมในตอนแรกก็คือการที่ต้องเรียนกับรุ่นน้องนี่สิ ด้วยความที่เราไม่รู้จักใครเลย มีแต่เพื่อนที่เราติดสอยห้อยตามตั้งแต่ปีหนึ่ง ทำให้คิดไปว่าเรามาเรียนแล้วมันจะอึดอัดมั้ยนะ ด้วยความที่เราเป็นปี5 แล้วเราเคยเกลียดพวกรุ่นพี่ปีแก่บางคนที่เข้ามาเกาะรุ่นน้องทำงานแล้วรู้สึกว่าเขาดูไม่เอาไหนเลย กลัวจะมาซ้ำรอยที่ตัวเองด้วยสิ อีกอย่างคือส่วนตัวผมแล้วถ้ายังไม่รู้จักใครหรือสนิทกับใครผมจะไม่คุยด้วยเลย แค่เจอหน้ากันผมยังอยากหลบหน้าเลยด้วยซ้ำ เท่าที่ผมเคยรู้จักมาส่วนใหญ่ชอบบอกว่าตอนเจอผมตอนแรกนึกว่าเป็นคนแบบหยิ่งๆ ไม่สนใจคนอื่นเท่าไหร่ ทั้งๆที่ในใจเราคือค่อยๆเก็บรายละเอียดของคนอื่นอยู่ แต่พอรู้จักกันแล้วจะกลายเป็นคนละคนเลย5555 ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน การมาเรียนวิชานี้หวังว่าคงจะมาปลดล็อคอะไรบางอย่างในตัวผมได้ ทั้งที่เราอยากจะเปลี่ยนจริงๆ หรือบางอย่างที่เราไม่รู้ตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่มันแย่

ครั้งแรกที่ผมเข้ามาเรียนในคลาสวิชานี้ก็รู้สึกถึงความกลัวของผมเลยทันที มันทั้งอึดอัดตรงที่เราอยู่กับคนเยอะๆแล้วเขารู้จักกัน แล้วเราเข้าไปคุยกับใครไม่ได้เลยเพียงเพราะเราไม่รู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัว รู้แค่ชื่อเล่นของแต่ละคนก็แค่นั้น ไม่ได้เป็นคนเฟรนด์ลี่แบบคินที่จะอยู่ดีๆไปทักคนอื่นแล้วยิ้มแย้มให้กับคนที่ไม่ได้รู้จักกัน แต่ยังโชคดีที่เพื่อนของผมยังรู้จักน้องๆบางคนบ้าง เราก็กะใช้โอกาสนี้ค่อยๆแทรกซึมรู้จักทีละคน ก่อนที่จะเริ่มเรียนผมเห็นอาจารย์เริ่มเรียกชื่อเล่นของแต่ละคน ภาพแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นได้บ่อยๆนะถ้าไม่ได้สนิทกับอาจารย์จริงๆ ตั้งแต่เรียนมหาลัยมานอกจากอาจารย์โปรเจคผมที่เรียกชื่อเล่นผมก็มีอาจารย์นี่แหละที่เรียกชื่อเล่นผม ยิ่งตอนให้ไปหยิบไพ่ที่รู้สึกว่าตรงกับตัวเองมาพูดให้คนอื่นฟังผมเห็นหน้าตอนอาจารย์ฟังตอนผมพูดแล้วทำให้ผมรู้สึกได้จริงๆว่ากำลังฟังผมพูดจริงๆนะ เลยทำให้ผมรู้สึกสบายใจและรู้สึกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของคลาสนี้จริงๆไม่ใช้ไอ้เด็กหลังห้องที่ขอผ่านไปทีในแต่ละวัน พอเรียนไปซักพักตอนที่อาจารย์ให้จับคู่ให้ทำอะไรอะไรกันนี่แหละผมจำไม่ได้ ตอนนั้นก็หวังไว้ลึกๆว่าเราจะลองไปคู่กับรุ่นน้องคนอื่นดู แต่ตอนนั้นความกลัวของผมก็ครอบงำตัวผม เลยทำให้ผมไปคู่กับเพื่อนผมแทน ในใจตอนนั้นก็รู้สึกผิดหวังเล็กๆคือการที่หวังว่าจะรู้จักคนอื่นเพิ่มเลยทำให้เจอแต่หน้าเดิมๆอีกละไม่ตื่นเต้นเลย แต่พออาทิตย์ที่3ที่อาจารย์จับคู่กับคนอื่นตามแท่งสีชอล์ค ทำให้ผมได้คุยกับรุ่นน้องในคลาสคนแรกคือน้องหยก แล้วคุยตอนจับคู่กันแล้วมารู้ว่าอยากเป็นนักบินเหมือนกันเลยทำให้คุยกันสนุกขึ้น จุดนั้นเลยเป็นจุดปลดล็อกแรกของผมเลยทำให้ผมเปิดใจกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้น แล้วทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น แต่ก็เหมือนค่อยๆปรับกันไปเรื่อยๆในอาทิตย์ต่อไป แล้วการบ้านในอาทิตย์นั้นก็คือ Good-time moment ทำให้ตัวผมสังเกตตัวเองมากขึ้น สำหรับตัวผมเองมันเหมือนจับผิดตัวเรานะ หรือว่ามันใช้ตอนที่เรารู้สึกไม่มีความสุขหว่า? ต้องยอมรับอีกอย่างว่าบางอาทิตย์ไม่ค่อยมีความสุขเลย เลยตั้งทำตามเป้าหมายอย่างนึงคือไปบริจาคเลือด ปรากฎว่าเหมือนเราทำตามเป้าหมายบางอย่างสำเร็จผมก็รุ้สึกมีความสุขขึ้นมาแบบไม่คาดคิดมาก่อน แล้วก็รู้สึกว่าเราบังคับตัวเองได้แล้ว เหมือนปลดความสล็อตได้นิดหน่อย5555

สัปดาห์ที่พี่หม่องมาเป็นวิทยากรคาบนั้นก็ทำให้ผมมองอะไรหลายอย่างเปลี่ยนไปนะ อย่างการฟังทั้งแบบหมาป่ากับยีราฟนี่แหละครับ ที่ผ่านมาทั้งชีวิตถ้าผมเจอปัญหาที่รู้สึกไม่อยากเข้าไปคุยด้วยหรืออยากให้มันจบๆไปผมมักจะเลือกวิธีเงียบเสมอ ผมเข้าใจมาตลอดว่ามันเป็นทางออกที่ดีที่สุด ที่ไหนได้มันเป็นวิธีที่ร้ายแรงที่สุด เลยทำให้เปลี่ยนมุมมองครั้งยิ่งใหญ่เลย อีกเรื่องนึงก็คือตอนจับกลุ่มให้ทายไพ่ความรู้สึกกับความต้องการ ผมได้อยู่กับรุ่นน้องคนนึงที่ชอบเสียงดังในห้อง นิสัยเสียของผมเมื่อก่อนคือชอบตัดสินคนอื่นทั้งๆที่ยังไม่รู้จักเขาดีพอ ประมาณว่าน่ารำคาญ พูดแบบปกติไม่ได้หรอไง? แต่พอเรียนไปสักพักทำให้ผมกล้าที่จะเปิดรับอะไรหลายอย่าง เลยทำให้ผมรู้ว่าน้องคนนี้มันไม่ได้เป็นคนที่แย่เลยนะ มันแค่เสียงดังเฉยๆ แต่พอคุยกันจริงๆมันก็เป็นคนที่พูดดีนะ อ่อนน้อมรับฟังเราดี ก็เลยทำให้สบายใจ แล้วเลือกที่จะไม่ไปตัดสินใครก่อนอีก สัปดาห์ที่ไปสลัมคลองเตยนี่ก็เป็นอีกอาทิตย์ที่ทำให้ผมมองอะไรหลายๆอย่างเปลี่ยนไปในเรื่องความสุขง่ายๆสำหรับเด็กๆที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนภายนอกเข้าไม่ถึง ทำให้ตัวผมรู้สึกว่าน้องๆเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นแล้วมีความสุขได้แล้วตัวเราที่มีโอกาสดีกว่าน้องๆทำไมเราต้องเอาแต่จมอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง แล้วพยายามหาความสุขนอกจากการที่เราต้องไปเสพอย่างอื่น ซึ่งความสุขมันไม่ได้หายากอะไรเลย

สัปดาห์ที่พี่ตู่เป็นวิทยากรสัปดาห์นั้นก็เปลี่ยนมุมมองหลายอย่างในชีวิตเหมือนกัน ตอนแรกๆที่เจอพี่ตู่ดูเป็นคนที่จริงจังเนอะ คลาสนี้มันจะดูเครียดหรือเปล่า พอเรียนไปทำให้ผมเห็นอีกมุมนึงของเพื่อนร่วมคลาสที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บางคนผมก็เพิ่งรู้ว่ามีปมในใจแบบรุนแรงนะ เอาซะเรื่องของผมมันกระจอกไปเลย ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นผมว่าผมคงอาการหนักกว่าคนนั้นแน่ๆ แล้วที่ทุกคนโค้ชกันทำให้รู้สึกว่าคลาสนี้มันดูอบอุ่นกันดี มันเหมือนกับเราค่อยๆหาทางแก้มันไปด้วยกัน ถ้าเป็นแต่ก่อนผมจะหาวิธีการแก้ไขด้วยตัวผมเอง แต่พอเจอการโค้ชทำให้รู้สึกถึงมุมมองของคนที่ห่วงเราจริงๆกำลังหาวิธีแก้ไขให้กับเรา ต่อให้แก้ไขไม่ได้อย่างน้อยก็ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเมื่อระบายมันออกมา ต่อจากนี้ไปผมต้องใช้การโค้ชนี่แหละเข้าไปแก้ปัญหา ไม่ใช่ทิ้งเขาให้แก้ปัญหาเองหรือถ้าแก้ไม่ได้เขาก็จะจมอยู่กับทุกข์นั้นไปตลอด เข้าใจเลยว่าการเชื่อมใจกับคนอื่นได้มันมีพลังได้มากขนาดนี้

สัปดาห์ตอนที่ให้เสนอ odyssey plans ก็ทำให้ผมมองหลายคนเปลี่ยนไปนะครับ ตอนตัวผมเขียนแผนตัวเองไปนี่ผมรู้สึกมั่นใจกับแต่ละแผนมาก แต่กลับตอนพรีเซนต์ผมกลับรู้สึกหวาดกลัวหน่อยๆ ผมก็เลยยังสงสัยกับตัวเองอยู่ว่าทำไมเรายังพูดกับมันได้ไม่เต็มปากเท่าไหร่ แต่ก็ช่างมันก่อน เผื่อตอนไปสัมภาษณ์ภาพนั้นมันจะชัดเจนมากขึ้น อีกอย่างได้เห็นมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น ยอดมนุษย์top10 รวมทั้งเมฆที่รู้จักกันมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทำให้เห็นถึงความมุ่งมั่นแบบจริงจังของมันมากๆ ตอนแรกก็สัมผัสได้นะครับ แต่พอฟังมันพรีเซนต์แผนมันก็ทำให้รู้สึกว่ามันดูจริงจังเป็นรูปธรรมมากกว่าผมซะอีก5555 ไม่มีสำรองแผนแบบผมที่ทำไม่ได้อย่างนึงก็จะหนีไปทำอย่างนึง มันดูเหมือนเราอยากยอมแพ้กับมันมากกว่า เลยฮึดว่าหลังเรียนจบเราจะต้องทำตามแผนของเราให้ได้จนกว่ามันจะถึงทางตันจริงๆ

อีกอย่างคือตอนที่ไปสัมภาษณ์จริงๆมันมีเรื่องบังเอิญหลายอย่างในชีวิตมากเลยนะครับ อย่างคนที่เป็นนักบินคือผมไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะได้สัมภาษณ์กับคนนี้มาก่อน ผมจะเจอเค้าได้แค่ตอนรวมญาติเท่านั้นซึ่งพี่เค้าไม่ค่อยได้มารวมญาติกับคนอื่นเท่าไหร่ น่าจะเพราะจักรวาลจัดสรรมั้งครับ มันทำให้ผมชัดเจนกับความฝันนักบินมากขึ้นว่าเราอินกับอาชีพนี้จริงๆนะ ไม่ไช่เห็นแค่เรื่องเงิน พอตอนพรีเซนต์อาชีพนี้ทำให้ผมพูดเรื่องนี้ได้เต็มปากแล้วรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในสามอาชีพของผมแล้วตอนพรีเซนต์แล้วคนอื่นถามเกี่ยวกับอาชีพนี้แล้วทำให้เรามั่นใจในการตอบ ซึ่งความรู้สึกมันต่างกับตอนพรีเซนต์ odyssey มากๆ ทำให้นึกถึงตอนที่อาจารย์พูดเลยว่าการสัมภาษณ์นี้ต้องไปเจอตัวต่อตัว มันจะทำให้เราได้พลังอะไรบางอย่างกลับมาด้วย ซึ่งมันต่างจริงๆกับสิ่งที่ผมรู้มาก่อนอยู่แล้ว แล้วทำให้ผมมั่นใจที่จะทำตามความฝันนี้มากขึ้น

ความรู้สึกหลังจากที่ผมลงวิชานี้ทำให้ผมนึกถึงตัวเองในปีที่แล้วเลยที่ผมลงวิชาเลือกวิชานึง วิชานั้นผมต้องใช้ทั้งความตั้งใจและความพยายามสูงมากเพราะมีคำว่าโปรเจคค้ำคออยู่5555 และแน่นอนว่าผลลัพธ์มันก็ดีเกินคาดมากๆ กลับมาที่วิชานี้เป็นวิชาที่ต้องใช้ความตั้งใจที่สูงมากเพียงเพราะผมอยากรู้จริงๆว่าเรียนไปแล้วมันได้อะไร แต่ผมรู้สึกว่าผมแทบไม่ใช้ความพยายามกับมันเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันเก็บเกี่ยวได้เรื่อยๆไม่ได้รู้สึกเหนื่อยเหมือนวิชาที่เราเคยเรียนมา แล้วมันเป็นประโยชน์ในระยะยาวกับตัวเราจริงๆ ในที่สุดผมก็เข้าใจซักทีว่าทำไมเพื่อนผมไปเรียนวิชานี้ดูไม่เครียดเหมือนวิชาอื่นๆที่ลง เรียนไปแล้วมีความสุขไปก็น่าจะมีแค่วิชานี้จริงๆมั้งครับ5555 สิ่งที่เรียนมาในวิชานี้มันอาจจะดูว่าเราเหนือกว่าคนอื่นนะครับเพราะว่าน้อยคนที่จะได้เรียนอะไรแบบนี้ แล้วแน่นอนว่าไอ้สิ่งที่เราเหนือกว่าคนอื่นนี่แหละทำให้เราอยากจะไปช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น ทำให้เราเชื่อมใจเขาแล้วเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น จะทำให้โลกใบนี้มีความสุขยิ่งขึ้น ทำให้ผมมองคำว่าความสุขเปลี่ยนไป ว่าจากที่เราเสพสื่อแล้วมีความสุขไปวันๆก็สู้เราอยู่กับคนรอบตัวอยู่กันแล้วมีความสุขตลอดเวลาไม่ได้หรอก

สุดท้ายแล้วผมต้องขอบคุณอาจารย์และพี่ๆ วิทยากรทุกคนที่ทำให้มุมมองของผมเปลี่ยนแปลงไปได้หลายอย่างมาก ผมจะสร้างพลังงานในตัวให้ได้เพื่อที่จะทำให้ผมมั่นใจไปเผชิญกับเรื่องที่ผมจะต้องเจอ ถ้าผมไม่ลงวิชานี้ผมก็จะไม่รู้ตัวเลยว่าพลังงานผมมันน้อยขนาดนี้ วิชานี้สอนอะไรหลายๆอย่างในชีวิตผมมาก มันต่างกับวิชาที่ผมลงเรียนมาตลอดชีวิตมหาลัยเลย วิชาสร้างมิตรภาพที่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยทั้งคนที่รู้จักกันดีอยู่แล้วจนถึงเพื่อนร่วมคลาสทุกคน จากที่คิดว่าอยากใช้ชีวิตโดดเดี่ยวแค่เรียนให้จบก็พอ ทำให้ผมอยากที่จะซัพพอร์ตคนอื่นไปด้วยกันแล้วไม่ต้องต่อสู้แบบโดดเดี่ยวอีกต่อไป สุดท้ายแล้วขอบคุณจักรวาลที่จัดสรรให้ผมตัดสินใจลงวิชานี้ ผมเลือกไม่ผิดจริงๆ55555

Comments