รวบรวม Reflections จากนิสิตที่ไปปางสีดา

ที่อยากโพสต์เพราะอยากแบ่งปันสิ่งที่เด็กๆ เขียนว่าเค้าได้รับอะไรจากการไปค่าย และช่วยโปรโมตกิจกรรมลักษณะนี้ว่าทำแล้วได้อะไร เลือกเอาคนที่เปิดโพสต์ตัวเองให้เพื่อนอ่านอยู่แล้ว และชั้นรู้สึกว่าข้อเขียนมีพลัง
Photo Credit ข้าวโอ๊ต

คนแรก

วันแรกของการเดินทาง
เดินทางจนถึงปางสีดาด่านแรก ได้ยินว่าเดี๋ยวขนของขึ้นรถและนั่งรถต่ออีก 1 ชั่วโมง และจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ผมเลยบอกแม่ พี่ ครอบครัว และอัพสตอรี่ไอจีว่าจะหายจากโซเชี่ยว 3 วัน  ผมนั่งหลังรถหกล้อ ระหว่างทางมีอะไรตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา เจอสัตว์นานาพันธุ์มาทักทายถึงบนรถ แถมกิ่งไม้ที่คอยจะฟาดหน้าเราทุกเมื่อถ้าเราเผลอ ขณะที่มองกิ่งไม้อยู่นั้นได้เห็นถนนที่ลักษณะเป็นหล่ม และแน่นอนว่ารถติดหล่มครับ สิ่งที่ทำก็คือการลงจากรถ ขนของจากรถ ไปอีกฟากของหล่ม และเดินไปเรื่อยๆ จนรถมารับ ตอนแรกผมกลัวว่านั่งหลังรถหกล้อมันจะร้อนมากแน่ๆ แต่มันกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลยครับเมื่อผมเจอเหตุการณ์ทั้งหมด 
พอถึงที่หมายด่านที่ 5 ห้วยน้ำเย็น อาจารย์ได้พาไปที่กางเต้น ซึ่งกางไม่เป็นเลยครับวุ่นวายมากๆ ต้องเปิดคลิปวิธีการกางเต้นซึ่งดาวน์โหลดเก็บไว้ในยูทูป และเพื่อนก็มาช่วยจนกางได้ หลังจากนั้นก็ได้เตรียมตัวทำอาหารมื้อแรกกินกันครับ ด้วยกลุ่มผมมีโอ๊ต มิ้น โบ ต่าย ซึ่งมิ้นกับโบทำกับข้าวเป็นอยู่แล้วฉะนั้นผมคิดในใจว่าสบายแล้ว ซึ่งก็สบายจริงๆครับ ติดแค่ช่วงการก่อไฟซึ่งยากลำบากมากในครั้งแรก 
สิ่งที่ได้เรียนรู้มาคือ ช่วงก่อไฟสิ่งที่สำคัญคือกิ่งไม้แห้งและถ่านก้อนเล็กๆ หลังจากติดแล้วก็ให้ใส่ถ่านก้อนใหญ่จะได้ติดนานๆ ซึ่งอาหารมื้อแรกเป็นยำปลากระป๋อง กับไข่เจียว ข้าวสุกกำลังพอดี พวกผมทำเสร็จกลุ่มแรกและกินข้าวกันเสร็จกลุ่มแรกเช่นกัน ล้างจานแบบไม่ต้องต่อคิวใครเลย ข้าวเหลือประมานครึ้งหม้อ ได้คิดเมนูอีกสองมื้อถัดไปกันล่วงหน้าว่าจะทำอะไรกินกัน 
พอพวกผมล้างจานกันเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว สักพักอาจารย์ก็เรียกรวมทำกิจกรรม ชอบกิจกรรมนอนดูดาว เห็นดวงดาวเต็มท้องฟ้า แทบไม่ค่อยได้มีโอกาสมานอนดูดาวแบบนี้บ่อยๆ ต่อมาพี่มูให้ถามคำถามจากชีวิตพี่มู ผมได้ถามว่าพี่มูมีคำถามที่จะไปถามป่าในครั้งหน้าแล้วยัง ถ้ามีขอทราบได้ไหม และผมก็ได้รับคำตอบ ได้ฟังคำตอบจากคำถามคนอื่นหลายคำถามทำให้ผมรับรู้ได้ถึงพลังงานบวกจากพี่มู ในเรื่องวิธีคิดในหลักศาสนา ครอบครัวและความรัก แต่สิ่งที่ผมยังจำได้แม่นในคืนนั้นคือคำพูดพี่มู “เราจะไม่ตัดสินใคร” จากนั้นก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำและนอนพักผ่อนประมาน 4 ทุ่ม ผมไม่ได้นอนก่อนเที่ยงคืนมานานมากแล้ว ถือเป็นการนอนไวในรอบหลายเดือนของผมเลย และเป็นข้อดีของการมาค่ายครับ

วันที่สองวันแห่งการเดินป่า และค่ำคืนแห่งความศักดิ์สิทธิ์

ตื่นขึ้นมาเวลา 6.30 น. เพื่อมาอาบน้ำแต่งตัว ในกลุ่มมีโบและต่ายที่ล่วงหน้าไปทำก่อนแล้ว ผมกับมิ้นตามไปทีหลัง ได้รู้ว่าพวกเค้ายังไม่ได้อาบน้ำ มื้อนี้ได้เอาข้าวที่เหลือจากมื้อเย็นมาทำข้าวต้มครับ และทำกับข้าวเพิ่มเป็นยำกุนเชียง และผัดผักบุ้งครับ โบต่ายไปอาบน้ำ เหลือผมและมิ้นล้างจาน ทำมื้อเที่ยงคือผัดมาม่ากันสองคน เตรียมไว้หลังเดินป่า ทำเผื่ออีกกลุ่มนึงด้วย ผัดมาม่ากินกันทั้งหมด 8 คน แต่มีแค่ผมกับมิ้นที่ทำ ในขณะที่ผมกำลังผัดอยู่มิ้นพูดว่าเหมือนกับข้าวกรรมกร ผมขำก๊ากกะมิ้นสองคน มันดูจืดชืดไม่น่าทานมากนัก แต่อร่อยดีครับ (ไม่ได้เหยียดนะครับแต่มันดูไม่น่ากิน) ตอนหลังแพรวมาช่วยเก็บขยะ และช่วยล้างจานตอนทำเสร็จอีกรอบ ช่วยๆกัน

จากนั้นกิจกรรมหาของโดยไม่ใช้เสียง สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้คือ อย่าหาสิ่งที่แตกต่าง ให้หาสิ่งที่เหมือน เช่นกันกับการเข้าไปหาผู้คนให้มองหาสิ่งที่เหมือนจะเข้ากันได้ง่าย ต่อไปเป็นกิจกรรมเดินป่าครับบนนถนนร้อนมาก พอเข้าป่าปุ้บเย็นเลย แปลกใจนิดนึงครับ ระหว่างทางมองสิ่งต่างๆ หามุกเล่นกับโบต่าย และคอยระวังกิ่งไม้ หนาม ให้เพื่อนๆ คอยเตือนบอกคนข้างหลังตลอด ก็คือจีนครับ ตลอดการเดินป่าจะได้ยินเสียงลำธารน้ำไหลอยู่ตลอดเวลา จิ้งหรีดร้อง และได้ดมกลิ่นใบไม้ที่พี่เค้าส่งต่อๆกันมา ชอบกลิ่นหลายกลิ่นครับ มีกลิ่นนึงคล้ายกับส้มมากๆ แบบแอบคิดในใจเล่นๆว่าถ้าจะเปิดธุรกิจน้ำหอมแบบโจมาโลนจะมาที่นี้ 
พอขากลับรู้สึกแฉะเท้า และทางเดินขึ้นมันชันมาก เดินลำบากนิดหน่อย พอถึงก็ได้กินมื้อเที่ยงที่ทำเอาไว้ครับ รู้สึกได้ว่าผัดมาม่ากรรมกรอร่อยม้ากๆ อย่าตัดสินอะไรที่ภายนอก แอบคิดในใจว่าเพื่อนๆอีกกลุ่มจะอิ่มกันไหมม เพราะตักไปคนละรอบส่วนผมตักสองรอบ 
กิจกรรมต่อมาได้นอนพักนอน และนอนจริงๆเลย ตื่นมาพี่วิชัยให้มีโฟกัสที่ตัวเองโดยการวนนิ้ว สิ่งสำคัญที่ได้เลย ไม่ใช่การที่เราไม่คิด แต่คือการรู้เท่าทันความคิดของตัวเองครับ ต่อมาการฝึกวาดรูปหน้าเพื่อน 4 คนแบบไม่ยกมือ วาดรูปไม่ค่อยเก่งครับ ทั้ง 4 คน แทบจะไม่ต่างกันเลย ช่วยฝึกโฟกัสมากเลย ทั้งวาดแบบไม่ยกมือ และไม่มองกระดาษ ต่อไปเป็นกิจกรรมที่ผมตั้งใจมาก วาดรูปตามเฟรมธรรมชาติ 20 เฟรม ตั้งใจและบรรจงจนหมดเวลาวาดไปได้ 8 รูปครับ (ตอนล้างจานมื้อเช้าอีกวันผมได้ขอเวลาเพื่อนแปปนึงเพื่อวิ่งไปดูรูปให้ครบทั้ง 20 ธรรมชาติสวยมากเลย) จากนั้นก็ทำกับข้าวเย็นครับ ด้วยความที่กลุ่มมี 4 คนกินกันน้อย วัตถุดิบเหลือเยอะเลยทำกับข้าวกัน 4 อย่างเลยครับ และยังเสร็จเร็วกว่าหลายกลุ่ม แบ่งงานกันดีมากขึ้น จุดไฟเร็วมากๆเลย ภูมิใจนิดหน่อยครับ 

พี่มูเดินมาคุย และถามเรื่องนพลักษณ์ พี่มูยังไม่รู้นพลักษณ์ของโอ๊ต คุยกันหลายคนโอ๊ตแอบเซงที่ยังไม่รู้นพลักษณ์ตัวเองครับ คุยไปคุยมาจนหมดเวลาพัก กิจกรรมต่อมาเป็นกิจกรรมที่โอ๊ตชอบที่สุดในค่ายนี้ พี่มูพูดว่าคืนนี้เป็นค่ำคืนแห่งความศักดิสิทธิ์ คืนแห่งการร้องขอ มิ้นได้ก้าวออกเป็นคนแรกซึ่งเปิดด้วยเรื่องแม่น้ำตาผมไหลออกมา เห็นเพื่อนร้องแล้วอดไม่ได้เลย จนถึงการร้องขอเรื่องการคิดมากของผม ผมคิดว่าผมเห็นแก่ตัวหรือป่าวที่ออกมาขอเพื่อตัวเอง แต่ก็คิดอีกว่าถ้าเราหลุดจากเรื่องที่ติดจากเด็กๆได้ ชีวิตเราจะไปในทางที่ดีแน่ๆ อาจารย์หญิงได้พูดกับผมว่า “แกหลุดพูดออกมาเอง แกลักษณ์ 4 ชัดเลย” แว้บแรกผมไม่อยากเป็นลักษณ์ 4 เพราะผมรับไม่ได้ว่าขี้อิจฉา แต่คิดไปคิดมาก็เคยมีบ้าง (ยอมรับความจริง!!) 
พอเสร็จผมโผกอดจีน และมีมิ้นไอซ์มากอด ผมรู้สึกได้รับอะไรบางอย่างที่ดีต่อตัวผมมากๆเลย ขอบคุณเพื่อนมากๆครับ สรุปกิจกรรมนะครับผมร้องไห้ไป 6-7 รอบได้  
สิ่งสำคัญที่ผมได้รับคือพี่มูไม่ได้ช่วยเสกให้ผมหายคิดมาก แต่เข้าใจผม และรับรู้ได้ว่าเพื่อนๆทุกคนเข้าใจ ที่แน่ๆเพื่อนที่มากอดผมต้องเข้าใจผมมากๆแน่ ผมคิดอย่างงั้น ขอบคุณครับ

วันสุดท้ายวันกลับไปสู่โลกแห่งความจริง

เริ่มวันด้วยการดูแลตัวเองอาบน้ำแต่งตัว และออกไปทำกับข้าวกินกัน ต่อมากิจกรรมเป่ายิงฉุบแล้วเก็บใบไม้ที่ไม่ซ้ำ ผมชนะดีใจครับ ได้ใบไม้แตกต่างกันถึง 14 ชนิด (รางวัลของผู้ชนะคือเดินไปในป่าเมื่อวานคนเดียว เพื่อไปเอาช้อนที่ลืมไว้ที่น้ำตกให้พี่วิชัย ผมเสนอไปว่าเดี๋ยวผมซื้อใหม่ให้ครับ) 

พอนำใบไม้ทุกคนมารวมกัน ได้ถึง 50 ชนิด ซึ่งใช้เวลาสั้นมาก และบริเวณไม่กว้างเลย เห็นความหลากหลายของป่าได้อย่างชัดเจนมาก กิจกรรมที่ผมชอบคือการไปทำความรู้จักเพื่อนใหม่ซึ่งเป็นต้นไม้ ให้เลือกต้นละคน ผมรีบวิ่งไปหาต้นไม้ที่มีเถาวัลย์ และพันธุ์ไม้เกาะอยู่เต็มต้น มีกล้วยไม้ด้วย ผมรับรู้ได้ว่าต้นไม้รักคนอื่นเยอะมากเลย ผมเลยอยากจะบอกคุณต้นไม้ว่าให้รักตัวเองเยอะๆ ผมเขียนไปว่า “be good to yourself” (แบบถ้าเราไม่รักตัวเอง แล้วเราจะรักคนอื่นได้ยังไง) 

จากนั้นได้ไปเก็บเต้นครับ ลำบากมากครับ ไม่ถูกกับการแกะเงื่อนที่ผูกไว้เอง โชคดีได้ไอซ์กับมิ้นมาช่วยครับ ขอบคุณมาก ระหว่างเดินทางกลับมาสู่โลกแห่งความจริง กลับมามีสัญญาณ ก็โทรบอกครอบครัวที่คอยเป็นห่วงเราอยู่ว่าเราสบายดีนะ จากนั้นเป็นกิจกรรมปิดท้ายที่ร้องไห้อีกแล้ว กิจกรรมกอดที่ผมยังจำแม่นๆ คือกอดของไอซ์เป็นการกอดที่ทำให้ผมน้ำตาไหล กอดของจีนร้องไห้และแทบจะไม่ต้องพูดไรกันเลย กอดขอบคุณอาจารย์หญิงที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเลย (สิ่งที่ผมติดค้างอยู่นิดหน่อยคือไม่ได้กอดพี่มูครับ ผมต่อแถวแล้ว แต่คนขับรถเร่งจนไม่ได้กอด) การมาครั้งนี้ผมได้สิ่งแปลกใหม่ ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง ประสบการณ์ต่างๆ ที่สำคัญผมเข้าใจตัวเองและผู้คนมากขึ้น จากนพลักษณ์ ขอบคุณทุกคนจากใจครับ
Saying goodbye doesn’t mean anything. It’s the time we spent together that matters, not how we left it.

คนที่สอง

Photo Credit มิ้น
บอกเลยว่าตอนแรกมีความรู้สึกว่าไม่อยากไปเลย ทุกอย่างดูลำบากไปหมด ต้องกางเต๊น โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ต้องแบกของหนักๆไปเองจากบ้าน โดยที่ไม่ได้เอารถไป ทุกอย่างลำบากไปหมด สารภาพตามตรงเลยว่า มิ้นท์เก็บของไปร้องไห้ไป มิ้นท์รู้สึกว่ามันต้องเหนื่อยแน่ๆ ลำบากแน่ๆ ทำไมหนูต้องไปลำบาก ทำไมต้องแบกกระเป๋าหนักๆขนาดนี้ ทำไมต้องกางเต๊น ทำไมต้องเข้าไปเดินในป่าให้ทากดูดเลือดเล่น และวันไปมิ้นท์มีประจำเดือนพอดี ยิ่งรู้สึกว่าทำไมมันลำบากไปหมด ทำไมอาจารย์ต้องเอาหนูมาเจอกับอะไรแบบนี่

เช้าวันรุ่งขึ้น....

เป็นอีกเช้าวันหนึ่งที่หนูต้องตื่นเช้าตรู่เพื่อที่จะมาให้ทันเวลาซึ่งเป็นเวลา 8.30 มันเช้ามาก แต่หนูก็สามารถมาถึงก่อนเวลาจนได้ บอกเลยว่าทันทีที่มาถึง หนูเหงามาก หันไปก็เจอแต่เพื่อน แต่เป็นเพื่อนที่ไม่ได้สนิท ได้แต่พูดในใจกับตัวเองว่า ‘ฉันต้องไปทริปนี่จริงๆหรอเนี้ย ฉันไม่สนิทกับใครเลย สัญญานโทรศัพท์ก็ไม่มี จะอยู่ยังไง ต้องเหงามากแน่ๆ ไม่สนิทกับใครเลย’ จนเพื่อนมากันครบ เราก็ขึ้นรถกันไป วันแรกบอกเลยว่า มิ้นท์อยู่นิ่งๆ ไม่พูดอะไรมาก เกาะอยู่แต่กับเยล(ผู้หญิง) เพราะสนิทกับเยลมากที่สุด ส่วนเพื่อนผู้ชาย ก็จะอยู่กับอ๊อคและหลุยส์ เพราะสบายใจกับสองคนนี้มาก พอเราไปถึงสระแก้วก็แวะกินข้าวกัน ก็มีพูดคุยกันบ้าง แต่เราก็ยังไม่ได้เปิดใจให้เพื่อนมากเท่าไร รู้สึกว่ายังมีกำแพงกั้น ยังไม่สบายใจ จนเรามาถึงลานกางเต๊น อาจารย์บอกว่าต้องนั่งรถขึ้นไปอีก ใจเรานี่แบบ เดี๋ยวนี้ยังไม่พออีกหรอ แต่ขาไปเรากับเยลนั่งในรถกระบะ เลยไม่โดนลมตีหน้าและไม่โดนฝุ่น แต่ก็เกิดอุปสรรค์คือถนนมันเละเพราะมันเป็นถนนดินแดง ทำให้รถ6ล้อขึ้นมาไม่ได้ รถของเราไปถึงก่อนใครเพื่อน ฟิวเลยหยิบกีต้าร์มาเล่นแก้เซง ข้างลำธาร พร้อมกับเราและเพื่อนไที่นั่งชิวๆกันอยู่ตรงนั้น พอเพื่อนมาถึงเราก็ไปกางเต๊นกัน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่คิดว่าจะทำได้ พอกางเต๊นเสร็จ รู้สึกภูมิใจมากแบบ ฉันกางได้ ฉันทำมันได้!!!

ต่อมาสิ่งที่ท้าทายอีกอย่างคือการทำอาหารบนเตาถ่าน สิ่งที่อยากที่สุดไม่ใช่การทำอาหาร แต่คือการจุดไฟ!!! เพราะจุดไฟยากมาก และเราไม่เคยจุดไฟที่เป็นแบบนี่มาก่อน ต้องใช้ใบไม้ กิ่งไม้บลาๆ วันแรกเราจุดไฟกันยากมาก เราเลยตกลงกันว่าเราจะกินอะไรง่ายๆอย่างยำปลากระป๋องและไข่เจียว จะได้รีบกินรีบล้าง แต่ขอบอกเลยว่า เราประทับใจกับไข่เจียวมาก เพราะมันออกมาเปนวงกลมสวยมาก เหมือนไม่ได้ทำกับเตาถ่านเลย คืนนั้น เราได้ทำกิจกรรมดูดาว ขอบอกเลยว่าดาวที่นี่สวยมาก เพิ่งรู้สึกว่าโลกเป็นทรงกลมก็ตอนไปปางสีดาว เพราะดาวมันโค้งกลมรอบทุกอย่างเลย สวยมากๆจริงๆ คืนนั้นเป็นคืนแรกที่นอนเต๊นในชีวิต ตอนนอนอากาศมันไม่ได้เย็นมากเลยเอาถุงนอนมาเป็นหมอนและเอาแจกเกตของตัวเองมาห่ม แต่พอกลางดึกมันหนาวมากจนต้องกางถุงนอนมานอน กลางคืนคิดว่าตาฝากที่เหนคนเดินไปเดินมาพร้อมกับส่องไปฉาย แต่มารู้ตอนเช้าว่าไม่ใช่!!! แต่สิ่งนั้นคือพี่คิน เพื่อนบ้านผู้น่ารักของหนู นางนอนไม่หลับ เลยเดินไปเดินมา
Photo Credit: วิชัย

เช้าวันต่อมา

ต่ายกับโบตื่นมาจุดไฟก่อนโดยเช้านี้เราโคกับกลุ่มข้างๆซึ่งมีหลุยส์ ฟิว พี่เมฆ แพรว เป็นสมาชิกกลุ่ม เราตะลงกันว่า จะช่วยกันทำอาหารและมาแชร์กัน มันเป็นภาพที่น่ารักมากๆที่พวกเราช่วยกันทำอาหาร และคอยมีพี่มูเดินมาถามไถ่ มาแนะนำประหนึ่งเชฟป้อม มีอาจารย์หญิงเดินมาชิมอาหาร เหมือนเป็นคณะกรรมการ แต่ชิมไปชิมมา อาจารย์นั่งกินด้วยกันเลย เป็นโมเม้นต์ที่น่ารักมาก หนูเริ่มมีความอบอุ่นจนกำแพงที่ตั้งไว้ในวันแรก มันทลายลง หนูสนิทกับโบว์กับต่ายมากขึ้น จากที่ตอนแรกเราไม่ได้คุยกันเลย สนิทกันมากขึ้นขนาดโบว์ ต่าย หนู รอกันไปอาบน้ำพร้อมกัน จากข้าวโอ้ตที่สนิทกันอยู่แล้ว พอมาค่ายนี่ หนูกับมันยิ่งสนิทและรักกันมากขึ้น มาถึงในช่วงเดินป่า ขอบคุณโตต้ากับแอลมากๆที่คอยดูแลหนู เวลาเดินไปเจออะไร คนข้างหน้าจะคอยบอกมห้ส่งต่อไปข้างหลังว่าเจออะไรให้ระวังอะไร มีการส่งต่อแล้วเพี้ยนด้วย5555 จากดอกไม้ดิน กลายเป็นหน่อไม้ดิน อะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นการเดินป่าที่มีความสุขและหรรษามากๆ
พอถึงน้ำตกมิ้นก็นั่งเอาเท้าแช่น้ำ โดยมีแอลมานั่งเป็นเพื่อน ขอบคุณค่ายนี้ที่ทำให้หนูกับแอลคุยกันมากขึ้น หนูบอกตามตรงเลยว่า หนูกับแอลอยู่ที่มอ เราไม่ได้คุยกันบ่อย แต่หนูรู้สึกได้ว่าเพื่อนคนนี่น่าเข้าหา แต่เราแทบไม่ได้คุยด้วยกันเลยจนตอนนี่มันปี4แล้ว เราก้ยังคุยกันน้อยเหมือนเดิม แต่ต้องขอบคุณทริปนี้ไม่คิดเลยว่าแอลจะมานั่งคุยกับเราจนเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ปกติมิ้นกับแอลจะไม่พูดหยอกล้อกันแซวกัน แต่เพราะค่ายนี้มิ้นรู้ว่าเหมือนแอลก็เอากำแพงลง เพราะเราคุยกันแซวกันมากขึ้น นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่หนูประทับใจ ตอนเห็นเพื่อนเล่นน้ำกันถึงแม้จะไม่ได้ลงไปเล่นด้วยแต่การที่ได้เห็นโมเม้นความสุขของเพื่อนๆ ก็ทำให้หนูยิ้มตามอย่างบอกไม่ถูก 
พอกลับมาจากป่า เราก้มาทำกิจกรรมวาดรูปกันซึ่งหลุยส์กับโตต้าจ้องตากันได้ตลกมาก เย็นวันนั้นเราทำอาหารกันหลายอย่างเหมือนเป็นมื้อราชาเลยทีเดียว แต่ตอนนี้หนูรู้สึกว่าไม่มีกำแพงสำหรับเรา4คนแล้ว และพี่มูก็มาถามคำถาม ซึ่งตอนนั้นหนูลุ้นมากว่าหนูจะลักษณ์อะไร แต่พี่มูก็ทายไม่ออก จนถึงกิจกรรมตอนกลางคืน มันจะมีพิธีกรรมแห่งการร้องขอ หนูก็ได้ออกไปร้องขอในสิ่งที่หนูไม่อยากให้ใครรู้ออกมา แต่เพราะความคิดตอนนั้นหนูคิดแค่ว่า หนูภาวนากับศาบทีอยู่ข้างหลัง หนูภาวนากับป่า แค่%มันมีหนูก็อยากจะร้องขอ เลยทำให้หนูพูดขอในสิ่งที่อยู่อยากได้ที่สุดออกมา ทำเอาหนูน้ำตาไหลพรากเลยค่ะ แต่ต้องขอบอกว่าคืนนั้นหนูหันหลังให้ศาลแต่หนูได้ยินเสียงคนเดินบนผ้าตลอดเวลา แถมเห็นเงาวูบไปวูบมา เลยรู้ว่าเออเราคงเจอแล้วแหละ 
พี่มูเก่งมากๆที่สามารถรับฟังเด็กได้ทั้ง 28 คนโดยไม่หลุดเลย แถมอาจารย์มีการระเบิดพลังออกมาทำเอาหนูหัวหดเลย กิจกรรมคืนนี้ผ่านไปได้ด้วยดีจนถึงเช้าที่จะกลับ กลายเป็นหนูสนิทกับทุกคนมากขึ้น จากพี่คินที่ไม่เคยคุยกัน ก็แซวและคุยเล่นกัน จากต่ายโบที่แทบไม่คุยกันเลยกลายเป็นเพื่อนที่กอดกันแน่น ขอบคุณการกอดครั้งสุดท้ายก่อนกลับบ้าน หนูได้รับพลังจากทุกคนมากจริงๆ ทุกคนเข้ามากอดพร้อมกับพูดว่าสู้ๆนะ ขอบคุณพลังงานที่ถ่ายทอดมาให้นะ ขอบคุณพี่มูที่ให้พลังบวกหนู ขอบคุนอาจารย์ ที่ถ่ายเทพลังงานบวกมาให้หนู

สรุปเลยก็คือ ขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้หนูได้ไปค่ายนี่ หนูบอกกับเพื่อนทุกคนที่หนูเคยบ่นใส่ก่อนหนูมาว่าพวกมึงมันลำบากนะเว้ย ไม่มีสัญญาน ไม่มีไฟฟ้า แต่มันเป็นความลำบากที่คุ้มค่ามาก หนูได้อะไรหลายๆอย่างกลับมา ขอบคุณอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้กำแพงหนูพังลง ขบคุนอ้อมกอดของทุกคนที่ให้หนูมา หนูบอกเลยว่าหนูรักคลาสนี่ มันเติมพลังให้หนูมากจริงๆ ทุกคนเติมพลังให้หนู ก่อนกลับไม่น่าเชื่อว่าหนู โอ้ต ต่าย โบว์ เราจะกอดกันแน่นขนาดนี้ จากเพื่อนที่ร่วมรถอย่างไอซ์ จีน กลายเป็นเพื่อนที่เราคุกันได้ทุกเรื่อง
ก่อนกลับตอนอยู่ในรถหลุยส์บอกกับหนูว่า มีความสุขมากๆเลยทีได้มาค่ายนี่กับหนู หนูก็อยากจะบอกเขาว่าหนูก็มีความสุขมากๆเหมือนกัน คุ้มมากับการมาที่นี่ สถานที่แห่งนี่มันจะเป็นสถานที่แห่งความทรงจำและอยู่ในใจหนูเสมอ หนูรู้สึกมันชาตพลังให้หนูเต็มที่ หนูติดใจมาก จนชวนเพื่อนที่เหนื่อยๆกับชีวิตลองมาชาตพลังแบบนี้เพราะมันช่วยมากจริงๆ
ขอบคุณพี่มู และอาจารย์ที่ทำให้มีทริปนี่ ขอบคุนเพื่อนๆที่ทำให้รู้ว่าพร้อมอยู่ข้างเราตลอดเวลา หนูรักทุกคนจริงๆค่ะ มันเป็นค่ายแห่งความอบอุ่น ก่อนไปหัวใจหนูห่อเหียว แต่หนูกลับมาด้วยหัวใจที่พองโต ขอบคุณมากๆนะคะ
ปล.ตั้งแต่หนูกลับมาจากค่ายหนูเปลี่ยนการใช้ชีวิตตัวเองให้ตื่นเข้าขึ้น เพราะตอนอยู่ค่ายหนู่รู้สึกว่าตื่นเช้ามันทำให้เรามีเวลาชีวิตมากขึ้น หนูเลยตื่นเข้าตรู่เลยค่ะ และบอกเลยว่าทริปนี่ เป็นทริปเปิดตัวตนของหนูค่ะ ว่าหนูชอบการท่องเที่ยวแบบผจญภัย แอดเวนเจอร์ ไม่มีขีดกรอบว่าเราทำได้แค่นี้นะ เราอยากทำอะไรก้ทำ ชีวิตมีแค่นี้ใช้ให้สุด ใช้ให้คุ้ม

Photo Credit: Oxx

คนที่สาม

เมื่อถึงอุทยานในตอนแรกความคิดในใจฉุกขึ้นว่าบรรยากาศมันก็ดูโอเค ดูเป็นที่พักอุทยาน ไม่ได้มีอะไรลำบาก คลื่นสัญญาณโทรศัพท์ก็ยังเต็ม นอกจากนั้นยังมีร้านค้าอยู่ด้านหน้าไม่เห็นจะมีบรรยากาศที่จะทำให้ใช้เงินยากตรงไหน พอลงจากรถได้ไม่นาน เสียงตะโกนดังขึ้นมาว่าให้เวลาเข้าห้องน้ำจัดเตรียมตัวเอง เดี๋ยวเราต้องนั่งรถหกล้อขึ้นเขาไปอีกประมาณ 1 ชม. ตะลึงแรกมาแล้วกับการที่คิดว่าต้องนั่งไปอีก 1 ชม.เลยหรอนั่น ตะลึงสองตามมาด้วยการที่จะต้องนั่งอัดในรถหกล้อทุกคนพร้อมกับสัมภาระในรถหกล้อด้วย โชคยังดีที่มันอัดจนแน่นแล้ว เจ้าหน้าที่เลยให้คนที่นั่งไม่พอจากในรถหกล้อมาขึ้นท้ายรถกระบะแทน 

ก่อนที่จะตัดขาดจากโลกไปผมจึงรีบโทรบอกแม่ ไลน์บอกครอบครัวว่าเราไปแล้วน้า ในใจแอบมีความคิดถึงเล็กน้อยเนื่องจากวันพรุ่งนี้จะเป็นวันเกิดของคุณยาย แต่เราจะไม่ได้คุยกับเขาเลย เราจึงสุขสันต์วันเกิดเขาล่วงหน้าและรีบจัดการตัวเองให้เสร็จ เรานั่งรถกระบะขึ้นไปเรื่อยๆ จากถนนลาดยางตอนแรกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นถนนลูกรังที่ขรุขระขึ้นเรื่อยๆ มีน้ำขังในดินแดนทำให้ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ การนั่งท้ายรถกระบะขึ้นไปแอบอึดอัดและยุ่งยากนิดหน่อย จนถึงบริเวณหนึ่งที่ถนนลูกรังเป็นหล่ม เราเป็นรถกระบะได้กรุยทางไปก่อนสามารถผ่านหล่มนั้นไปได้ แต่รถหกล้อที่มีเพื่อนๆและสัมภาระเต็มไปหมด หนักจนไม่สามารถไปต่อได้ เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่ามันมีความยากลำบากมากในการต้องขนของขึ้นๆลงๆ เดินผ่านหล่ม เดินไปเรื่อยๆ จนมีรถมารับ 

Photo Credit: Oxx
ส่วนพวกผมที่นั่งรถกระบะมาก่อนตอนแรกเมื่อรู้ว่ารถหกล้อไม่สามารถผ่านหล่มนั้นมาได้ก็สงสารและคิดถึงเพื่อนๆว่าจะเป็นไงบ้าง เรามาถึงหน่วยพิทักษ์ห้วยน้ำเย็นด้านบนก่อนจึงเริ่มสำรวจที่พัก เริ่มจากการนั่งพักที่ศาลานำของส่วนนึงบนรถกระบะมาตั้งกองไว้ นำเสบียงอาหารจากรถกระบะอีกคันจัดให้เข้าที่ สำรวจบริเวณกางเต๊นท์ หลังศาลานั้นเป็นห้วยน้ำเย็นที่มีความร่มรื่นมากๆ พวกเราไปนั่งพักกันที่นั่นรอจนเพื่อนมา กว่าเพื่อนๆจะมาถึงครบก็เป็นเวลาช่วงเย็นแล้ว พอเพื่อนๆมาถึงจึงช่วยกันขนของทุกอย่างลงและไปกางเต๊นท์กัน 

การกางเต๊นท์แอบมีความงงงวยและวุ่นวายอยู่บ้าง แต่เพื่อนๆทุกคนก็ช่วยเหลือกันดีมาก จนเต๊นท์ทุกอันออกมาเรียบร้อย อาจารย์จึงเรียกรวม แนะนำวิทยากรในทริปนี้ให้เรารู้จัก ได้แก่ พี่มู พี่วิชัย พี่โบ๊ต พี่ใหม่ เราได้ทำความเคารพศาลที่ตั้งอยู่ที่นี่ บอกให้เขารู้ว่าเราขออนุญาติมาทำกิจกรรมที่นี่ พี่ๆได้ให้เทคนิคในการทำอาหารกับเรา แล้วจึงแยกย้ายกันไปทำอาหารตามกลุ่มที่จักรวาลจัดสรรแบ่งให้ 

ผมพอใจในกลุ่มของผมมากๆ ทุกๆคนมีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง และเมื่อได้ใช้เวลาทำอาหารร่วมกันในทุกๆครั้ง ก็ทำให้ได้รู้จักนิสัยใจคอทั้งเบื้องหน้าและเบื้องลึกของทุกคน ทุกๆคนมีส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ รู้สึกเป็นทีมเวิร์คที่เยี่ยมยอด มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความคิดสร้างสรรค์ มีการแบ่งหน้าที่และเวียนหน้าที่กันอย่างดี ทุกคนสามารถเป็นเชฟได้หมด ไม่มีกำแพงปิดกั้นทางความคิดไม่ว่าเมนูที่เสนอจะแปลกแค่ไหน นอกจากการทำงานภายในกลุ่มที่ลงตัวแล้ว บรรยากาศการทำอาหารระหว่างทุกๆกลุ่มก็ดีเช่นกัน เพื่อนๆผลัดกันเดินชิมเดินแซวของกลุ่มอื่น มันดูเป็นครอบครัวใหญ่ๆที่น่ารักมากเลย 

ในที่นี่ต้องขอขอบคุณพี่มูและอาจารย์หญิงมากๆ ที่สองท่านนี้เหมือนคุณอิงค์และคุณป้อมในรายการมาสเตอร์เชฟมากๆทั้งหน้าตาและท่าทาง พี่มูจะคอยมาให้เทคนิคการเข้าครัวอยู่เป็นครั้งคราวแต่ไม่ตัดสินเมนูที่พวกเราทำ ส่วนอาจารย์หญิงจะเป็นนักชิมสำหรับทุกๆกลุ่มเหมือน commentator กว่าเราจะทานอาหารเสร็จฟ้าก็มืดลงพอดี 

เราช็อคกันมากว่าทำไมคำว่าไม่มีไฟฟ้ามันถึงไม่มีไฟขนาดนี้ แสงสว่างที่สุดก็คือแสงสว่างจากไฟฉายของแต่ละคน แต่สุดท้ายทุกคนก็สามารถจัดการช่วยเหลือกันได้ มันก็แอบดีอยู่เหมือนกันกับบรรยากาศมืดแบบนี้ เมื่อเสร็จจากการทำอาหารตรงนี้ จึงมีการเรียกรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมในเวลาหนึ่งทุ่มตรง กิจกรรมในวันแรกเราได้นอนดูดาวกันก่อนเลย ฟ้าสว่างมากๆด้วยกลุ่มดาวต่างๆ เต็มท้องฟ้าที่ไม่สามารถเห็นได้ที่กรุงเทพ มันทำให้ผมย้อนกลับไปนึกถึงอดีตตอนเด็กที่เคยอยู่ต่างจังหวัดที่สามารถเห็นดาวแบบนี้ได้เหมือนกัน มันมีความสุขทุกข์มากมายเกิดขึ้น เป็นความทรงจำที่งดงามในใจเรา 

จนกระทั่งกิจกรรมต่อมาพี่มูให้เล่าถึงความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นที่สุด มันสอดคล้องกับการนึกถึงอดีตนี้จนทำให้เราเกือบร้องไห้ออกมาเหมือนกัน ตอนแรกที่พูดออกมาบรรยากาศก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่เมื่อเราได้เล่าออกมาบรรยากาศก็ต่างไป ขอบคุณทุกคนมากๆเลยที่อยู่กับเราตรงนั้น มาถึงกิจกรรมสุดท้ายเราก็ได้รู้จักพี่มูมากขึ้น ได้ความรู้รอบตัวมากขึ้น ได้มุมมองแนวคิดมากมายจากกิจกรรมพิพิธภัณฑ์ชีวิตนี้ แอบเสียดายเล็กๆกับเวลาที่จำกัดนึกว่าทุกๆคนจะได้ไปเป็นหุ่นชีวิตด้วยซ้ำ เราจะได้รู้จักในตัวตนของเขามากขึ้นกับคำถามที่เปิดกว้างมากๆจริงๆ หลังจากนั้นอาจารย์จึงปล่อยพวกเราแยกย้ายกันไปนอน แต่พวกเรายังรู้สึกมีพลังงานหลงเหลืออยู่มาก จึงไปนั่งจับกลุ่มคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันที่เต๊นท์อยู่นาน จึงแยกย้ายกันไปนอน

26/10/2562
วันที่สองตื่นเช้าขึ้นมาบิดขี้เกียจ สูดหายใจเข้าเต็มปอดก็รู้สึกสดชื่นเต็มที่มาก หายใจสบายกว่าการอยู่ในเมืองเยอะ ที่ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเดินออกจากเต๊นท์ ไปบริเวณลานรวมที่ทำกับข้าวกัน ยูโดและอาร์คได้ออกมาก่อไฟเพื่อรอเพื่อนๆ ที่จะมาทำกับข้าวกันก่อนแล้ว อันนี้คือเราไม่ได้คุยกันก่อนด้วยซ้ำว่าให้ใครออกมาเตรียมอะไร แต่เขาทำออกมาจากความเป็นตัวเขาเอง การทำอาหารในตอนเช้าจนถึงเผื่อมื้อเที่ยงจึงเป็นไปได้อย่างสะดวก ไม่ต้องรอก่อไฟกันก่อน หลังจากนั้นจึงมารวมตัวเพื่อทำกิจกรรมก่อน 

คำพูดของพี่มูในช่วงนี้ดีมาก นั่นคือ ถ้าการที่เราต้องอยู่รวมกับคนอื่นแล้วเราโฟกัสแต่ความแตกต่างของกันและกัน อาจมีความบาดหมางต่อกันได้ แต่หากเรามองมุมกลับไปโฟกัสถึงความเหมือนกัน มันจะเป็นเรื่องง่ายมากเลยในการอยู่ด้วยกัน 

หลังจากนั้นพวกเราก็ออกไปเดินป่ากัน โดยการเดินป่าครั้งนี้อาจารย์ได้อนุญาติให้เด็กๆไปเล่นน้ำตกได้ เป้าหมายของพวกเราหลายๆคนจึงอยู่ที่การเดินเข้าป่า ไปถึงน้ำตก เดินออกจากป่ากลับที่พัก แต่ในระหว่างทางผมค่อนข้างอยู่ท้ายขบวนจึงได้คุยกับพี่มู อาจารย์หญิง และพี่ใหม่ตลอดเส้นทางจนถึงน้ำตก พี่ใหม่ได้ให้ความรู้ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นเรื่องป่า การใช้กล้องส่องนก และยังได้คุยกับอาจารย์หญิงและพี่มูเรื่องนพลักษณ์มาตั้งแต่ตอนนั้นทำให้เกิดความสงสัยขึ้นในใจแต่ยังเก็บไว้เทใจให้กับการเดินป่าก่อน การเดินทางระหว่างทางก่อนไปถึงจุดหมายนั้นพอสังเกตจริงๆ สัมผัสความธรรมชาติจากป่า ป่ามีความสวยงามซ่อนอยู่ตลอดทางไม่ว่าจะเป็นความสดชื่นเย็นสบายจากต้นไม้ ดอกกล้วยไม้หายาก การมีมอสขึ้นตามฐานต้นไม้ ทากที่เกาะอยู่บริเวณต้นไม้ การข้ามน้ำ กลิ่นของใบไม้ต่างๆที่พี่วิชัยให้ดมส่งมาตลอดทาง เมื่อถึงน้ำตกพวกเราจึงพักผ่อนเล่นน้ำกันอย่างสดชื่น แล้วจึงพากันกลับมาที่ที่พัก พอมาถึงทุกคนต่างหมดแรงและหิวกันสุดๆ จึงแยกย้ายกันไปพักผ่อนกินข้าว

พอมาถึงกิจกรรมยามบ่ายพี่วิชัยให้พวกเราฝึกสมาธิทำให้ความคิดคงที่ด้วยการคลึงนิ้วนับก้อนหินและการวาดรูปหน้าเพื่อนโดยไม่ยกมือขึ้น หลังจากการวาดรูปหน้าเพื่อนนี้แล้ว พี่วิชัยจึงให้เก็บภาพความทรงจำโดยใส่กรอบรูปกับธรรมชาติและให้พวกเราไปบันทึกมันมา ระหว่างทำกิจกรรมนั้นมีรถโฟร์วีล รถบิ๊กไบท์และขบวนผู้คนเข้ามาส่งเสียงดังมากดูวุ่นวายไปหมด แว้บแรกเลยนั้นรู้สึกหงุดหงิดมากๆ แต่ก็พยายามปล่อยวางโฟกัสกับการคลึงนิ้วต่อไป โฟกัสได้ไม่นานฝนก็เกิดตกลงมาอีก พวกเราเลยต้องกระเจิดกระเจิงไปเก็บเต๊นท์ย้ายเต๊นท์กันพักนึงเลย ถึงจะดูวุ่นวายแต่มองมุมกลับมันก็ดูเป็นสีสันดีเหมือนกัน 

พอมาถึงกิจกรรมกลางคืนพี่มูเริ่มด้วยการเฉลยเกี่ยวกับลักษณ์ที่ได้พูดเกริ่นไว้ในตอนเช้า บางคนพี่มูก็ดูออก บางคนพี่มูก็ดูไม่ออก พร้อมทั้งบรรยายเกี่ยวกับลักษณะของแต่ละลักษณ์ให้ทุกๆคนได้คิดว่าตัวเองเป็นลักษณ์อะไร ขอยอมรับเลยครับว่าผมเดาไม่ออกจริงๆ เหมือนที่พี่มูได้บอกว่าเดาอ๊อกซ์ไม่ออกเลยว่าเป็นลักษณ์อะไร ขอโทษอาจารย์หญิงนะครับที่ผมยังไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นลักษณ์ 6 สังเกตท่าทางพี่มูแล้วพี่มูก็ดูไม่มั่นใจว่าผมเป็นลักษณ์ 6 เหมือนกัน5555 ผมก็อยากรู้ลักษณ์ตัวเองทีแน่นอนเพื่อจะได้นำมาออกจาก comfort zone และพัฒนาตัวเองเหมือนกัน ความสงสัยนั้นมันเลยยังมีมาอยู่จนถึงปัจจุบัน แถมยังทวีคูณสืบเนื่องมาจากลายมือที่เหมือนมีปุ่มสีแดงบนมือที่พี่มูทักในตอนเช้าก็ยังไม่ได้รับการเฉลย ความงงงวยเลยมีเต็มไปหมด เพราะปกติไม่ใช่คนที่ดูดวงอะไรแบบนั้น 

ต่อมาเป็นกิจกรรมที่ชื่อ การร้องขอ เพื่อนๆเปิดตัวกันแรงมากด้วยเรื่องครอบครัวที่รัก ทำคนพูดและคนฟังเสียน้ำตากันไปเป็นแถบๆ จนทำให้เรารู้สึกว่าเรื่องของเราเป็นเรื่องเล็กไปเลย แต่มันก็เป็นเรื่องที่ค้างคาในใจเราจริงๆ และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเราจะแก้ไขมันยังไงดี เพราะมันก็เป็นลักษณะนิสัยของเราที่บ้างก็ดีบ้างก็แย่ เราก็ไม่รู้จะพูดให้คนอื่นเข้าใจเราจริงๆได้ยังไงเหมือนกัน บางทีเก็บไว้ในใจมันอาจจะดีกว่า ยอมรับว่าบรรยากาศการพูดและการฟังวันนี้ยาวนานและเหนื่อยมาก พร้อมทั้งด้วยอากาศที่หนาวกว่าคืนแรก ทำให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบถหลายๆครั้ง จนเกือบหลับไปเลย การฟังผู้อื่นบางเรื่องก็ทำเราตะลึงบ้าง ทำเราประทับใจบ้างผลัดๆกันไป จากการเป็นผู้ฟังวงนอกต้องขอชื่นชมพี่มูที่เป็นผู้ฟังภายในวงเป็นอย่างมาก เพราะพี่มูไม่หลุดเลย และมีพลังในการรับฟังเรื่องของทุกคนตั้งแต่ต้นจนจบ พอจบกิจกรรมทั้งหมดพี่มูและอาจารย์ก็ได้ปล่อยให้ไปนอน ใจนึงก็แอบดีใจที่จะได้พักผ่อนซักที ใจนึงก็แอบเสียใจที่ยังไม่ได้คุยกับพี่มูให้ความสงสัยกระจ่างเลย แต่เมื่ออาจารย์ปล่อยก็รีบเดินตรงไปที่เต๊นท์และหลับในทันที

27/10/62
วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วในการออกทริปครั้งนี้ ตอนแรกก่อนมาค่ายก็คิดไว้ว่าวันสุดท้ายของค่ายนี้ก็คงจะเหมือนค่ายอื่นๆที่เก็บของ ถ่ายรูป แยกย้าย แต่ไม่ใช่เลยกิจกรรมค่ายนี้อัดแน่นจริงๆยันวันสุดท้าย หลังจากจัดการตัวเองกันเสร็จแล้ว เราก็ไปรวมตัวกันที่ห้วยน้ำเย็นหลังศาลา พี่วิชัยให้ทำกิจกรรมรวบรวมใบไม้มา พร้อมกับให้ความรู้เกี่ยวกับป่าที่มีค่ามากๆแก่พวกเรา และอีกกิจกรรมที่ดีมากก็คือการเลือกต้นไม้ที่เราเห็นแล้วปิ๊ง ไปเปิดใจอยู่กับเขาและดูว่าเขาพูดอะไรกับเรารึเปล่า ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดแต่จากการสังเกตเขา อยู่กับเขา มันทำให้เราสังเกตและตีความสถานที่นี้ได้ดีมากขึ้น มันเหมือนเป็นการบอกลาสถานที่นี้จริงๆ คำพูดของแต่ละคนที่ตีความออกมาก็มีความหลากหลายและน่าประทับใจมากๆ 

คำพูดของพี่คินนั้นกินใจผมมากนั่นคือ ถึงแม้เราจะไม่ได้ยินเขา แต่มันก็เหมือนเราได้ฝากความรู้สึกที่มีต่อที่แห่งนี้ให้กับเขา ไม่แน่วันหนึ่งถ้าหากเราได้กลับมาในที่แห่งนี้ การได้เห็นเขาที่จะคงอยู่ที่แห่งนี้ตลอด มันคงเหมือนมีตัวกลางความรู้สึกที่อบอุ่นที่เคยเกิดขึ้นแบบนี้ให้เรานึกถึงอีกครั้งก็ได้ หลังจากเสร็จกิจกรรมเราก็เตรียมตัวกลับสู่โลกแห่งความจริงกันแล้ว การลงไปดูสะดวกกว่าขาขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อถึงจุดหนึ่งรถคันหน้าตะโกนเฮลั่นพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทุกคน ทำให้เรารู้ได้เลยว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่พวกเราไม่ได้ใช้มา 3 วันได้กลับมาแล้ว จริงๆในใจผมค่อนข้างใจหายและไม่ได้รู้สึกดีใจขนาดนั้นที่สัญญาณกลับมา บางทีไม่มีสัญญาณแบบนี้ก็แอบดีอยู่เหมือนกัน ดูไม่วุ่นวายดี 

ถึงแม้เราจะขาดหายจากโลกไป 3 วัน แต่โลกก็ยังสามารถดำเนินต่อไปได้อยู่ มันทำให้เรามีความฉุกคิดเหมือนกันว่า ไม่เห็นจำเป็นเลยที่เราจะต้องอยู่บนโซเชียลตลอดๆ บางทีการปิดโซเชียลอาจจะเปิดโลกกว้างให้เราแทนด้วยซ้ำ แต่เมื่อลงมาถึงอุทยานแห่งชาติปางสีดาผมจึงรีบโทรบอกครอบครัวว่าลงมามีสัญญาณแล้วเพื่อไม่ให้เขาเป็นห่วง ก่อนที่จะไปทำกิจกรรมสุดท้ายนั่นก็คือกิจกรรมที่ดีที่สุดที่พี่มูให้ทำในครั้งแรกที่เจอกันคือ การกอด รู้ว่าทุกคนคงจะมีเรื่องหนักใจ ไม่สบายใจแตกต่างกันออกไป ขอให้ทุกคนมีความกล้าทั้งการเข้าไปกอดคนอื่นและความกล้าในการที่จะบอกคนอื่นว่าวันนี้เราไม่โอเคเลย ช่วยกอดเราที มันเป็นการเติมพลังที่อบอุ่นมากเลยทีเดียว ผมกอดเพื่อนๆอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นคนที่สนิทน้อยจนถึงสนิทมากพร้อมทั้งมีคำพูดในใจให้กับเพื่อนๆ มันเป็นโมเมนท์ที่ดีมากๆเลยครับ อุ่นใจและเป็นการปิดค่ายที่ดีเยี่ยมเลย รวมถึงการกอดอาจารย์และพี่มูก็อบอุ่นมากๆเลยเช่นกันครับ

ผมต้องขอบคุณมากๆกับค่ายนี้ ขอบคุณอุทยานแห่งชาติปางสีดาที่ให้ที่พักและที่เรียนรู้ ขอบคุณพี่ๆทหารที่อำนวยความสะดวกในการรับส่งขึ้น-ลงเขา ขอบคุณพี่วิชัยที่ให้ความรู้ที่มีค่ายิ่งกว่าเงินทอง ขอบคุณพี่โบ๊ตที่ช่วยตั้งกล่องส่องนกและให้เทคนิคการเอาชีวิตรอดในป่า ขอบคุณพี่ใหม่ที่คอยให้ความรู้ในการเดินป่า ขอบคุณพี่มูในทุกๆเรื่องเลย พี่มูเป็นวิทยากรที่อบอุ่นหัวใจมาก ถ้ามีโอกาสก็อยากเรียนกับพี่อีกนะครับ ขอบคุณอาจารย์หญิงที่ช่วยดูแลทริปการเดินทางในครั้งนี้และเป็นผู้จัดตั้งวิชานี้ และสุดท้ายต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจกับพวกเขาได้มากขนาดนี้ 


Comments