รวม Reflection ของการไปสลัมคลองเตย (3/3)

อันแรก อันที่สอง

ขอบคุณรูปจากฟิวส์ วริทธ์

Reflection 21

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ สำหรับคาบนี้มีความตื่นเต้นเป็นอย่างมากตั้งแต่ที่อาจารย์ประกาศว่าจะไปสลัมถึงกับไปขอรีวิวจากรุ่นพี่มาเลยค่ะว่าเป็นยังไง มีอะไรบ้าง รู้สึกยังไง น่ากลัวไหมหลังจากที่คุยกับรุ่นพี่แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก อยากไปเห็นกับตาตัวเองเพราะรุ่นพี่แค่เล่าให้ฟังว่ามันจะเป็นประมาณไหน ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเดี๋ยวไปแล้วจะรู้เอง

2.ประสบการณ์เรียนรู้ จากการที่ได้ไปสัมผัสเองการเข้าไปในชุมชนตอนแรกรู้สึกว่าที่นั่นแออัดมาก แต่ก็ดูเหมือนชุมชนต่างจังหวัดตามชนบทไม่รู้สึกว่าที่นี่คือสลัม (สลัมในความคิดหนูคือน่ากลัวมากๆมีคนจรจัดใส่เสื้อผ้าขาดๆกินเหล้าเมายานอนข้างทาง) จากวันที่ไปไม่ค่อยมีคนอยู่ในชุมชนด้วยเพราะผู้ใหญ่ต้องออกไปทำงานหาเงิน ส่วนเด็กก็ไปทำหน้าที่ของตัวเองคือเรียนหนังสือ เลยได้มีโอกาสแค่ไปดูเด็กๆ เด็กที่เจอตอนเข้าไปแรกๆน้องดูให้ความสนใจแต่ก็แค่ระยะเวลาประมาณ2-3นาทีเท่านั้นแหละค่ะ หลังจากนั้นน้องๆก็เป็นตัวของตัวเองไม่ได้มีท่าทีกลัวคนหรืออย่างไร น้องๆดูดีใจมากๆที่มีคนมาหาหรือมีพี่ๆมาเล่นด้วยพอต้องไปน้องๆวิ่งมากอดเหมือนรู้จักกันมานานเหมือนน้องอยากให้อยู่ต่อรู้สึกน้องๆเก่งมากไม่ได้ขี้กลัวอย่างที่คิดเลยค่ะ

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม จากที่คิดว่าสลัมคือที่ๆน่ากลัวมีแต่คนที่น่ากลัวอยู่หลังจากที่ได้ไปก็รู้สึกว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรืออาจจะเพราะว่ายังไม่มีโอกาสได้สัมผัสในด้านมืดขนาดน้นเพราะจากที่ไปเหมือนไปเจอแต่ด้านขาวบริสุทธิ์ของชุมชน ถ้ามีโอกาสก็อยากนั่งรับฟังเรื่องของคนในชุมชนดูค่ะ

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น ได้รับรู้มุมมองอีกมุมที่มีอยู่บนโลกใบนี้ คนส่วนใหญ่มีหลายด้านมากๆ หนูเข้าใจคำของแม่ที่ชอบพูดว่ายังมีคนอื่นที่แย่กว่าเราอีกเยอะ น้องๆที่อยู่ในชุมชนนั้นหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่เข้มแข็งมากๆถึงผ่านช่วงเวลาแย่ๆแล้วเติบโตมาได้(ถึงแม้คุณภาพชีวิตของพวกเขาจะไม่ดีเท่าไหร่นัก)

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง คงเป็นการให้กำลังใจตัวเองได้ง่ายขึ้นจากแต่ก่อนที่เราก็ไม่รู้ว่าไอคำที่ว่าคนอื่นแย่กว่าเราตั้งเยอะนี่มันแย่แค่ไหนกัน วันนี้ได้เห็นแล้วว่าน้องๆต้องดูแลตัวเองได้เรียนหนังสือยังไง ได้อยู่ในที่ยังไง

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน เพื่อนๆกลุ่มอื่นที่ไปพบเด็กต่างชุมชนจากที่ฟังเพื่อนเล่าก็คือจะคล้ายๆกัน น้องมีความสดใส อารมณ์ดี เหมือนเป็นผ้าสีขาวที่ยังไม่เปรอะเปื้อนอะไรในชีวิต อยากให้น้องๆมีชีวิตที่สดใสแบบนี้ไปตลอดโตขึ้นมามีชีวิตที่ดี

Reflection 22

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : ตอนแรกคิดว่าจะน่ากลัวกว่านี้ครับเพราะผมจินตนาการภาพไว้มากมาย แต่พอได้มาเจอน้องๆจริงๆก็รู้สึกว่าไม่ใช่อย่างที่ผมคิดไว้เลยครับ

2.ประสบการณ์เรียนรู้ : ได้รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่การใช้ชีวิตของคนในชุมชนแออัดและเด็กที่หลายคนเกิดมาในครอบครัวหาเช้ากินค่ำ ที่ผู้ปกครองไม่ค่อยมีเวลาให้ ไม่มีการใส่ใจดูแลที่มากพอ ว่าสภาพการเป็นอยู่จริงๆแล้วเป็นยังไง รวมถึงได้รู้จักการเป็นผู้ให้ ในที่นี้หมายถึงการให้ด้วยใจจริงๆ โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน เพียงแค่อยากเห็นน้องๆมีความสุข แต่พอเข้าไปเห็นน้องๆที่รออยู่เขาดีใจและวิ่งเข้ามาเล่นด้วย มากอด ยิ่งทำให้รู้สึกว่า การไปหาแค่เวลาสั้นๆมันก็มีค่าจริงๆครับ

3.ความสัมพันธ์เกี่ยวกับความรู้เดิม : ตัวผมเองเคยทำงาน Part-time สอนพิเศษเด็กมาหลากหลายวัยมากๆตั้งแต่อนุบาลไปยันประถม ตอนแรกก็เหมือนจะพอรู้ว่าน้องๆต้องการอะไร แต่พอมาได้สัมผัสกับเด็กที่นี่จริงๆก็รู้ได้เลยว่าไม่เหมือนกันเลย ส่วนตัวความเห็นผมนะครับ

ผมรู้สึกว่าน้องๆที่นี่บางคนยังต้องการความรัก ความอบอุ่น มากกว่าเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีพร้อมในต้นทุนชีวิต

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : ได้รู้จักสภาพการเป็นอยู่จริงๆของชุมชนแออัดและได้รู้ว่าจริงๆแล้ว เด็กวัยเดียวกันไล่เรี่ยกันที่เคยสอนมา กับ เด็กที่มาอยู่ที่นี่ มีความไร้เดียงสา สดใสตามวัยที่เหมือนกัน แต่สิ่งที่รู้สึกว่า"ต่างกัน"ก็คิดว่าคงน่าจะเป็นการมีเวลาให้ของครอบครัวน้องๆ รวมไปถึงทางด้านอาหารการกิน และการเอาใจใส่ดูแล ซึ่งทำให้น้องบางคนยังดูเหมือนต้องการความรัก ความอบอุ่น โอบกอด ต้องการมีคนเล่นด้วย มากกว่าเด็กที่ครอบครัวมีเวลาและครอบครัวให้การเอาใจใส่ครับผม

5.การนำไปใช้ประโยชน์ : ผมคิดว่าคงทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น และเข้าใจในมุมของคนในชุมชนนี้มากขึ้นครับ บางส่วนก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ก็คิดว่าถ้าในอนาคตผมมีโอกาสคงได้กลับมาเยี่ยม หรือมาช่วยเหลือน้องๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านความรัก หรือ ทางอุปโภค บริโภคครับผม

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน : ได้ช่วยกันแบ่งปันความรัก ความเมตตา รอยยิ้ม โอบกอด ให้กับน้องๆครับ รู้สึกว่าเป็นการเดินทางมาทำกิจกรรมนอกสถานที่ ที่พอเจอน้องๆก็ทำให้พวกยิ้มและหายเหนื่อย และก็รู้สึกว่า มันมีความสุขจากการเป็นผู้ให้จริงๆครับ

Reflection 23

1. ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ ครั้งนี้เมื่อได้รู้ว่าจะไป สลัมคลองเตย รู้สึกตกใจนิดหน่อยว่าไม่รู้จะไปทำอะไร แต่พอพูดถึงสลัมคลองเตย คนจะคิดว่า ชุมชนแออัด เป็นพื้นที่เทาๆ คนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไร เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย

2. ประสบการณ์เรียนรู้ เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ยังไม่เคนเจอ เหมือนพอเราได้ลงไปในพื้นที่นั้นจริงๆ มันอาจจะไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น อย่างน้อยก็ยังมีโรงเรียนไว้ให้การศึกษา มีต้นไม้ เด็กๆที่ผมเข้าไปเจอ อยู่ในช่วงประมาณ อ.1-อ.3 เด็กๆดูมีความสุข มีความสดใส เหมือนเราไปเจอเด็กๆ เด็กๆชวนระบายสีมั่ง ชวนต่อจิ๊กซอว์ และชวนคุยกับผม พอเห็นเค้ายิ้ม ผมก็รู้สึกสนุกไปด้วย เหมือเราได้ผ่อนคลาย เจอกับเด็กๆ ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ ปล่อยไปตามความรู้สึก แต่สภาพพื้นที่โดยรวม ผมว่ามันก็ไม่แย่อย่างที่คิดไว้ ตอนเลิกก็มีพ่อแม่มารอรับเด็กๆ เหมือนเค้าใส่ใจในการศึกษา

3. ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม ตอนแรกที่พอคิดว่าไปสลัม คลองเตย คงเป็นชุมชนแออัด ไม่ค่อยปลอดภัย ไม่ค่อยมีไครอยากเข้าไปยุ่ง น่ากลัวพอคิดว่าจะต้องไปเจอ,หรือไปทำอะไรที่นั้น แต่พอลองเข้าไปสัมผัสในสลัมนี้ มันไม่เหมือนกับที่คิดไว้ แต่บางอย่างก็เหมือนที่คิด พอเราได้ปรับเปลี่ยนมุมมอง เราก็ได้พบว่าที่นี้ช่วยดูแลกันเองกันเป็นส่วนใหญ่ คนแถวนั้นดูเป็นมิตร ไม่ได้น่ากลัวมากมาย ยังมีต้นไม่เยอะอยู่และไม่ได้แออัดขนานนั้น

4. การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น การเปลี่ยนมองมนการใช้ชีวิต ยังตอนที่เข้าไปนั่งซักพักมีเด็กเดินมาคุย ถามว่าพี่มาเล่นด้วยกันไหม หนูถักเปียสวยไหม เป็นประโยคที่ไม่มีอะไร แต่ผมลองนึกดู เหมือนกับว่าเด็ก พร้อมรับสิ่งใหม่ๆเสมอ ทั้งที่เราไม่ได้รู้จักกันมาก่อน หรือเคยเจอกัน เหมือนกับที่บาทหลวงพูดว่า เราไม่ได้สอนเด็ก แต่เด็กจะสอนอะไรเรา เหมือนพอเป็นเด็ก เด็กจะคิดแต่สนุกๆไปแต่ละวัน ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อย คิดว่าวันนี้จะไปเล่นอะไร ทำอะไร ที่มันสนุกๆ ไม่เหมือนกับเรา พอโตขึ้น เรากับคิดเล็กคิดน้อย คิดเรื่องที่ไม่ควรคิด ทำให้การใช้ชีวิตน่าเบื่อ ไม่มีความสุข และได้เรียนเราว่า

เราไม่ควรตัดสินอะไรจากภายนอก ถ้าเรายังไม่ได้ไปลองสัมผัสดู

5. การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง คือการเปลี่ยนมุมมองให้เหมือนเด็ก พร้อมเปิดรับอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ และเราไม่ควรตัดสินอะไร จากปากคนอื่น ถ้าเรายังไม่ได้เข้ามาสัมผัสกับมันจริงๆ

6. การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน พอได้คุยกับเพื่อนๆในรถตอนกลับ เพื่อนก็คิดว่ามันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น และเด็กดูมีความกล้าที่จะคุยมากกว่าเราเสียอีก

Reflection 24

1. ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
วันนี้เป็นการออกนอกสถานที่ครั้งที่สอง โดยครั้งนี้ได้ไปที่ศูนย์ Mercy Center สลัมคลองเตย ก่อนการไป เราจะมีภาพในหัวเต็มไปหมดว่าในพื้นที่สลัมจะเป็นยังไง มีการสนทนากันเกิดขึ้นทั้งๆที่ยังไม่เคยไปถึงพื้นที่มาก่อนว่าพื้นที่สลัมคลองเตย จะน่ากลัว มียาเสพติดเต็มไปหมด มีผู้คนที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ต่างกับเรา จนทำให้มีอาการไม่สบายใจอย่างมากก่อนที่จะไป ความคาดหวังในวันนี้เลยเหมือนโดนบดบังไปด้วยความกลัว ความคิดไปก่อนว่าบรรยากาศที่นั่นจะทำให้เราไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

2. ประสบการณ์เรียนรู้
นี่เป็นครั้งแรกเลยในการเปิดใจให้กว้างในการไปสลัม ในการไปหาเด็กๆในชุมชนที่เราไม่รู้จัก ก่อนมามีบรรยากาศความหม่นหมองในใจมาก คิดภาพเต็มไปหมดว่าบรรยากาศสลัมจะน่ากลัวอย่างนั้นอย่างนี้ ตั้งแต่ก่อนมา การนัดรวมกันที่มหาลัย ระหว่างทางไป ระหว่างทางเข้าไปในสลัม จนกระทั่งก้าวขาลงจากรถ เมื่อเข้าห้องประชุมของ Mercy Center ได้เจอคุณพ่อ ได้เจอครูที่อาสามาเพื่อให้ความรู้เด็กๆ คุณพ่อได้เปิดแนวคิดการเรียนรู้ใหม่ 2-3 ข้อหลักๆ ได้แก่ การจำแนกขยะนำไปขาย การขอ Permission ในการเข้าไปในพื้นที่การเรียนรู้ของเด็ก (ห้องเรียน) โดยแต่ละครั้งที่เราจะเข้าไป เราต้องมีการขออนุญาตเด็กๆ ต้องให้เกียรติด้วยการถอดรองเท้า ขอเด็กๆเพื่อที่จะเข้าไปเรียนรู้ในพื้นที่ของเขา และการเปิดใจให้กว้างเปลี่ยนความคิดใหม่จากปกติเราจะเข้าไปสอนให้ความรู้ต่อเด็กๆ เปลี่ยนเป็น เข้าไปหาเด็กๆเพื่อให้เด็กๆสอนเรา สังเกตุเด็กๆว่าเขามีความสุขกับสิ่งใด ถนัดในสิ่งใดและเราเข้าหาเขาให้ถูกต้อง แต่เนื่องด้วยเวลาที่น้อยและไปถึงในช่วงเวลาที่เด็กๆแต่ละห้องเรียนนอนพักกลางวันอยู่ จึงไม่ได้เข้าห้องไปเจอน้องๆ บรรยากาศของ Mercy Center ร่มรื่น สบายตา มากครับ

หลังจากนั้นก็ออกจากที่นั่นแบ่งเป็นกลุ่มๆ เพื่อไปหาศูนย์การเรียนรู้ย่อยที่สาขาชุมชนอื่น เมื่อไปถึงชุมชน บรรยากาศของชุมชนค่อนข้างที่จะแออัด ผู้คนดูไม่มีความเป็นอยู่ที่ดีมากเท่าไหร่ มีกลิ่นของขี้แมวและไม้ส่งกลิ่นเหม็นบ้าง บรรยากาศที่เห็นจึงทำให้รู้สึกหม่นๆ เมื่อเดินเข้าไปเรื่อยๆ จากหน้าชุมชนเข้าสู่พื้นที่โรงเรียนเด็ก ซึ่งอยู่ศูนย์กลางของพื้นที่ เมื่อเจอกับความสดใสของน้องๆทันทีที่ถึงศูนย์การเรียนรู้ เด็กๆทำให้บรรยากาศความหม่นหมองที่มีหายไปได้ในทันทีด้วยความไร้เดียงสา น่าเอ็นดู และดีใจที่พวกเราเข้าไป ทำให้พื้นที่เล็กๆนี้เหมือนเป็นแหล่งพลังงานที่น่ารักสดใสของชุมชนเลยทีเดียว น้องๆแต่ละคนน่ารักมากครับ น้องเข้ามาถามชื่อเรา เข้ามาอยู่ด้วย อยากให้เราเล่นด้วยกัน น้องดีใจกับทุกอย่างที่เรามีส่วนร่วมด้วย และสามารถดูออกได้ว่าสิ่งนั้นมาออกจากหัวใจจริงๆ ไม่มีสิ่งไม่ดีเจือปนเลย ทำให้เป็นการเติมพลังงานของวันนี้มากๆ

เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เงยหน้าจากน้องๆไปมองบรรยากาศข้างนอกที่มีผู้ปกครองมารอรับ พ่อแม่ของเด็กๆก็ดูดีใจ ยิ้มออกมาอย่างเห็นได้ชัดที่เราเข้าไปหาน้องๆเขาและทำให้เด็กๆมีบรรยากาศที่มีความสุขออกมา ซึ่งจริงๆมันเป็นความอิ่มเอมในใจเล็กๆน้อยๆมากเลย หลังจากจบจากการทำกิจกรรมกับน้องๆ แม้จะเป็นเวลาที่สั้นก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี ก็ออกมาเพื่อมาสรุปความเห็นของแต่กลุ่มที่แยกย้ายกันไปในแต่ละชุมชนครับ เพื่อนๆที่แยกย้ายกันออกไปก็ดูทุกคนมีบรรยากาศที่ดีในการเจอเด็กๆ ต่างกันออกไปครับ

3. ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
คำพูดที่ว่า เด็กๆนั้นใสซื่อและบริสุทธิ์มาก เขามีแต่ความจริงใจให้เรานั้นดูเป็นคำพูดที่น่าเชื่อถือได้จริงๆ จากการทำกิจกรรมในวันนี้ แม้ว่าบรรยากาศก่อนมาหรือระหว่างทางจะหม่นหมอง แต่เมื่อได้เจอกับน้องๆ ความสดใสไร้เดียงสาก็เข้ามาแทนที่ได้ในทันที อีกสิ่งหนึ่งที่เรียนรู้ได้นั่นก็คือ ในสลัมนั้นมีผู้ที่มีชีวิตความเป็นอยู่ต่างกับเราเป็นอย่างมาก ดังนั้นเราโชคดีแล้วที่มีพ่อแม่ที่ดี ชีวิตความเป็นอยู่ที่ค่อนข้างดี และเราควรดีใจ รักษา และพัฒนาสิ่งนั้นต่อไปครับ

4. การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ได้มาเห็นบรรยากาศจริงๆ ของสิ่งที่หลายคนพูดออกมาอย่างเดียว จากการที่ไม่ได้มาเห็นด้วยตัวเอง ไม่ได้เห็นความเป็นอยู่ ไม่ได้เห็นผู้อาสา ไม่ได้เห็นบุคลากร ไม่ได้เห็นน้องๆ ไม่ได้เห็นบรรยากาศชุมชนที่จริง บางทีในความคิดของเราเอง และบทสนทนาที่เกิดขึ้นนั้น จริงๆแล้วสิ่งนั้นอาจจะไม่เหมือนที่เราคิดเลยก็ได้ ดังนั้น

เราควรที่จะเปิดใจ เปิดรับการเรียนรู้ใหม่ๆที่เราไม่เคยเผชิญ อย่าเกิดการกลัวไปก่อนว่าสิ่งนั้นจะเป็นอย่างนู้นอย่างนี้โดยที่เรายังไม่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเองครับ

5. การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง
ปกติเราจะคุ้นชินกับการทำบุญที่วัด ปล่อยนก ปล่อยปลา โดยที่ส่วนมากเราจะมองข้ามละเลยผู้ไร้โอกาสไป ตัวอย่างมีมากมาย เช่น ศูนย์การเรียนรู้ในชุมชนสลัมแบบนี้ หรือแม้กระทั่งศูนย์ดูแลสัตว์เร่ร่อน ซึ่งเราควรกลับมามองสิ่งเหล่านี้ให้มากขึ้นและยังมีผู้ด้อยโอกาสกว่าเราอีกมาก การให้ความใส่ใจ การมาหา ให้เวลากับเขา บางทีอาจจะดูเป็นสิ่งเล็กๆสำหรับเรา แต่ก็เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความสุขมากสำหรับเขาได้เหมือนกัน ดังนั้นผมคงจะกลับไปและคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้น อาจจะชวนเพื่อนมาในคราวหลัง เพื่อเติมเต็มพลังงานให้กับน้องๆและตัวเราเองครับ

6. การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
เพื่อนแต่ละคนในกลุ่มเดียวกัน เพื่อนแต่ละกลุ่มที่แยกย้ายกันไปคนละชุมชน ถึงจะต่างคนต่างสถานที่กันแต่ทุกคนก็ดูมีความประทับใจที่ดีต่างกันในการเจอกับน้องๆ และทำให้บทสนทนาในพื้นที่ชุมชนสลัมจากก่อนไปที่คิดภาพไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ กลายเป็น มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ไม่ได้แย่เท่าที่คิดไปซะทุกอย่างครับ

Reflection 25

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ :คาดหวังว่าจะได้เจอประสบการณ์ใหม่ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆค่ะ จากสิ่งที่ได้พบเจอและสัมผัสค่ะ

2.ประสบการณ์การเรียนรู้ :รู้สึกว่าน้องๆเด็กๆเป็นพลังบวก ให้กับชุมชนค่ะ และที่ทำให้รู้สึกได้เลยคือ ชีวิตเราดีแล้วค่ะ ยังมีคนที่แย่กว่าเราเยอะ เพราะฉันั้นเจออะไรก็อย่าท้อ มันยังมีคนที่ไม่มีโอกาสเท่าไรเลยนะอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ เหมือนทำให้คุณค่าของอะไรหลายๆอย่างรอบตัวมากขึ้ย

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม:ค่อนข้างถูกแม่สอนว่าเนีเยชีวิตเราดีกว่าใครหลายคนนะ ทำไมชอบเอาตัวเองไปเทียบกับคนที่มีแล้วมานั่งรู้สึกแย่ว่าทำไมตัวเองไม่มี ทำไมไม่ไปมองคนที่เขาไม่มีอะไรอย่างนี้อ่ะค่ะ พอมาพบเจอเอง ถึงรู่เลยว่าแบบคำพูดของแม่คือมันใช่จริงๆอ่ะค่ะ เรายังมีโอกาสที่ดีกว่าคนหลายคน ยิ่งไปสลัมยิ่งรู้สึกว่าแบบทั้งการเปนอยู่ของเรา การใช้ชีวิตของเราคือดีกว่าเขาเยอะอะค่ะ เพราะฉะนั้นหนูควรมองเห็นคุนค่าของสิ่งรอบตัวมากกว่านี้

4.ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น:เด็กเขาเป็นพลังชีวิตจริงๆค่ะ และเป็นแรงผลักดัน และเป็นอนาคตของชาติจริงๆค่ะ รู้สึกว่าแบบสภาพแวดล้อมรอบน้องคือแย่ แต่น้องคือพลังบวกให้กับชุมชนตรงนั้น เด็กๆโชคดีมากค่ะมี่ได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิต:เห็นคุณค่าของทุกอย่างรอบตัวในชีวิตมากขึ้นค่ะ นี้หลังจากไปสลัมมาแล้ว ก็รู้สึกว่าแบบอยากมองอะไรดีๆให้กับคนที่เขาไม่มีโอกาสบ้าง หนูคิดไว้ตั้งนานแล้วค่ะว่าหนูจะเอาเสื้อผ้า ไปบริจาค แต่แบบตอนนั้นหนูก้คิดว่าแบบหรือขายดีและเกือบขายล่ะค่ะ เพราะอยากได้ตัง แต่พอไปสลัมไปสัมผัสถึงชีวิตเขาจริงๆ หนูก็รู้สึกว่า หนูบริจาคดีกว่า

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่มีประสบการณ์เดียวกัน:เรามีความสุขด้วยกันค่ะ ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะแออัดน่ากลัวไม่เอื้ออำนวย แต่พออยู่กับเด็ก อยู่กับน้องๆ พวกหนูมีความสุขกันมากเลยค่ะ หัวเราะแฮปปี้ เหมือนเราได้ใช้โมเมนต์ดีๆร่วมกันอ่ะค่ะ เวลาเราได้ไปทำอะไรแบบนี้ หนูรู้สึกว่ามันทำให้เราสนิทกันมากขึ้นค่ะ

7.ข้อเสนอแนะ : ไม่มีค่ะ อ่ออยากเสนอว่าอยากให้มีกิจกรรมนอกคลาสที่เราได้ไปทำบุญร่วมกัน หรือไปจิตอาสาร่วมกันอ่ะค่ะ เช่นทำหนังสือนิทานให้น้อง ไปอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง ซึ่งเรื่องอ่านหนังสือให้คนตาบอดฟัง อันนี้มิ้นทำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ถ้าเราได้ทำอะไรดีๆร่วมกับเพื่อน มันเป็นโมเมนต์และความทรงจำดีๆที่เราได้ทำร่วมกันอ่ะค่ะ เลยอยากมีกิจกรรมจิตอาสาที่จะได้ไปทำกับเพื่อนๆ เพราะเวลาที่เราทำอะไรดีๆ แล้วเงยหน้ามองเห็นเพื่อน รอบๆตัวเราร่วมทำความดีด้วยกัน มันเป็นภาพที่สวยงามมากค่ะ

Reflection 26

ความคาดหวังก่อนเรียนรู้คือได้ลองไปรู้จักกับชีวิตของเด็กๆในชุมชมคลองเตย อยากรู้ว่าเด็กๆเขาเรียนกันแบบไหน ใช้ชีวิตยังไง ไม่ได้มีความรู้สึกกลัวหรือกังวลกับชื่อสถานที่มากเท่าไหร่ค่ะ เพราะยังไงก็คิดว่าอาจารย์และพี่ที่จะพาไปดูต้องดูแลอยู่แล้วแต่รู้สึกอยากรู้มากกว่า

ตอนเดินทางไปถึงทางเข้าของชุมชนก็รู้สึกจริงๆว่าผู้คนอยู่ในละแวกนี้เยอะมากจนถึงคำว่าแออัดเลย ถนนที่มีก็เกือบที่จะสวนเลนส์แทบไม่ได้ ยิ่งพอได้แยกกลุ่มไปที่ศูนย์ยิ่งกว่าคำว่าแออัดอีกค่ะ เหมือนมีแค่ทางที่สามารถเดินได้เท่านั้น ตอนหนูไปแล้วเข้าซอยตกใจนิดหน่อยด้วยค่ะเพราะเจอแมววิ่งสวนมาแบบเร็วมากๆ

ศูนย์ที่หนูไปเป็นศูนย์ที่ที่ทางดูแคบๆสำหรับเด็ก60กว่าคน คุณครูบอกว่าชั้นบนน้องๆต้องแบ่งฝั่งห้องเรียนกันเพราะไม่มีห้องแยก ตอนฟังคุณครูพูดหนูก็รู้สึกหดหู่ในหลายๆอย่างค่ะ ทั้งการเรียนการสอน ทั้งเรื่องครอบครัวของน้องบางคนที่มีแค่คุณยายที่เป็นอัมพาต มันทำให้หนูลองกลับมามองตัวเองบ้างว่าที่เราคิดว่าเราลำบากแล้ว ยังมีหลายๆคนที่ลำบากกว่าอยู่อีก และก็มีบางส่วนที่รู้สึกทึ่งในน้องๆมากๆทั้งการเดินกลับบ้านเองบ้าง ทำกิจกรรมพร้อมกัน2ฝั่งของห้องแต่น้องๆก็ไม่ได้วอกแวกมากขนาดนั้น ความร่าเริงและความสดใส เท่าที่หนูไปทำกิจกรรมกับน้องมา หนูยังไม่เห็นมีคนไหนงอแงเลยค่ะ แต่ละคนดูพร้อมที่จะมาเล่นมารู้จักกับพวกหนู ซึ่งตรงจุดนี้หนูรู้สึกแตกต่างจากที่หนูเคยไปทำกิจกรรมค่ายอาสาพัฒนาที่เคยไปอยู่นิดหน่อย ที่จะมีเด็กบางคนที่จะแบบพี่มาทำกิจกรรมทำไมและมีส่วนที่ไม่ให้ความร่วมมือรวมถึงงอแงด้วย ทำให้รู้สึกอบอุ่นและประทับใจมากๆค่ะ

หนูคิดว่าพวกเราส่วนใหญ่รวมถึงหนูด้วยหลังจากจบคลาสนอกห้องเรียนวันนี้น่าจะรู้สึกอย่างแรกเลยคือประทับใจน้องๆค่ะ ตอนแรกคิดว่าเด็กที่เกิดในสถานที่แบบนี้จะเป็นเด็กๆที่ไม่เหมือนกับโรงเรียนปกติทั่วไป กลัวว่าจะหวาดกลัวพวกหนูบ้างแหละ หรือไม่ก็มีพฤติกรรมแปลกๆหรือเปล่า แต่จริงๆแล้วน้องๆน่ารักมากทำให้หนูรู้สึกว่าไม่ว่าจะสังคมแบบไหน ตัวของเด็กๆก็เป็นเด็กๆที่มีทั้งความบริสุทธ์และสดใสอยู่ดี อีกอย่างคือทำให้หนูได้ข้อคิดในการใช้ชีวิตด้วย ว่าในเมื่อเรามีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่าน้องๆกินครบ3มื้อใช้ชีวิตได้ดีกว่า ในชุมชนในขณะที่ครอบครัวน้องบางคนมีปัญหา น้องบางคนมีความพิเศษต่างๆ หนูเลยคิดว่าควรใช้ชีวิตให้มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น ไม่ฟุ่มเฟือยและทำให้หนูอยากจะแบ่งปันให้กับคนที่เขาขาดแคลนด้วยค่ะ

Reflection 27

ความคาดหวังก่อนเรียน คิดว่าในวันนี้จะได้ลงไปเล่นกับเด็กมากกว่านี้ หรือได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ส่วนตัวเมฆไม่ค่อยชอบเล่นกับเด็กเท่าไหร่ เหมือนตอนเด็ก ผมเหมือนขาดความรักจากพ่อกับเเม่ เพราะพวกท่านไม่ค่อยมีเวลาให้ เวลาเห็นน้องที่เป็นลูกพี่ลูกน้องก็้จะอิจฉาเเละคิดว่าเเม่รักคนอื่นมากกว่า ในตอนนั้นความคิดเป็นเด็กมาก

พอโตมารู้สึกไม่ชอบเด็กเพราะรู้สึกว่่าเสียงดัง วุ้นวาย พูดด้วยไม่รู้เรื่อง เเต่พอโตมาความรู้สึกเเบบนี้ก็หายไป หรือผมไม่ค่อยได้เจอเด็ก หรือน้องที่ยังเป็นเด็ก

ในห้องประชุมที่คุณพ่อได้กล่าวเปิดงาน ได้พูดว่าไม่ใช่ว่าเราจะไปสอนเด็ก เเต่จงให้เด็กสอนเรา ตอนเเรกผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านถึงให้ทำเเบบนั้นจนตอนที่ได้เข้าไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก เป็นเรื่องยากมากที่ผมจะเข้าไปเล่นกับเด็กเพราะไม่เคยเล่นมาก่อน เเต่ความคิดของผมก็นึกว่าน้องๆคงอยากให้มีพี่ๆมาชวนด้วยบ่อยๆ ในตอนทำกิจกรรมได้สังเกตเห็นอะไรมากมาย ตอนเล่นเก้าอี้ดนตรีทำให้เเยกเด็กได้อย่างชัดเจนเลยว่าเเต่ละคนมีบุคลิคเเบบไหน เด็กบางคนเหมือนอยากจะสื่อสารอะไรกับเรา เเต่น้องเขาไม่กล้าพูดน้องเขาได้เเต่มองหน้าผม ผมก็มองตาน้องเขา เหมือนน้องเขาต้องการจะบอกอะไรเเต่ไม่กล้าพูด พอผมเข้าไปชวนน้องเขาเล่นกิจกรรมด้วยกันน้องเขาก็ร้องไห้ ตอนนั้นทำตัวไม่ถูกเลย สงสัยผมต้องฝึกเล่นกับเด็กเเล้วเเหละ สิ่งที่ผมได้จากกิจกรรมนี้ เป็นคาบเเรกที่ไม่มีเนื้อหาอะไรให้เกาะในการหาคำตอบว่าวันนี้ได้เรียนรู้อะไรยกเว้นเเต่คำพูดว่า ให้เด็กสอนเรา

ผมรู้สึกว่าโครงการนี้เป็นเหมือนการดึงเด็กออกมาจากลูปสังคมครอบครัวของเด็กที่เด็กเกิดมาในสภาพเเวดล้อมที่เป็นเเบบนี้ขาดการดูเเลเอาใจใส่ เเละการให้ความรู้ความรักความอบอุ่น ทำให้เด็กพวกนี้โตไปต้องพึ่งพายาเสพติด ผมเคยฟังรายการเจาะใจที่สัมภาษณ์พี่หนึ่งจักรวาลโปรดิ้วเซอร์เพลงที่ดังอยู่ในช่องworkpoint ที่พ่อของเขาดุมาก พยายามกันไม่ให้เขาออกไปเล่นกับเด็กในนั้น ทั้งๆที่บ้านเขาอยู่ในนั้น เเละเอาดนตรีมาเป็นเครื่่องมือที่ให้เขาไม่เหงาเเละผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ โครงการนี้ทำให้รู้สึกว่าเป็นการดึงเอาเด็กออกมาใส่ความคิดที่ถูกต้อง ให้ความรู้เเละทางเลือกให้เด็กโตมาเลือกได้ว่าอยากโตมาเป็นเเบบไหน อย่างน้อยก็ให้โอกาสได้เลือก

พอนึกถึงโอกาสผมก็เลยคิดขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้ผมโกรธพ่อมากว่าทำไมพ่อถึงไม่ซื้อรถให้ ผมขอให้พ่อช่วยออกรถให้เเละผมจะผ่อนรถเอง เเต่่พ่อก็เงียบไม่ได้พูดอะไร ทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมพ่อไม่ซื้อให้ ทั้งๆที่ถ้ามีรถผมจะได้เวลาเลิกเรียนจะได้กลับบ้านเร็วๆไม่ต้องรอรถกลับ หรือเวลากลับจากที่ทำงานไกลๆจะได้ไม่ต้องรอรถ หรือเสียค่าเดินทางมาก รู้สึกน้อยใจมากว่าทำไมพ่อไม่เข้าใจ รู้สึกเเย้มากๆกับชีวิตว่า ทำไมต้องมาทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทั้งๆที่พี่ของตัวเองเเค่เรียนอย่างเดียวไม่เห็นต้องเหนื่อยขนาดนี้เลย และผมได้ไปเจอโพสนึงในเฟสบุ๊คที่พูดประมาณว่า ถ้ารู้สึกว่าตัวเองด่อยค่า หรือไม่ขาดโอกาสจงนึกอยู่เสมอว่ายังมีคนที่ด่อยกว่าเรา อะไรประมาณนี้ซึ่งผมจำไม่ค่อยได้ ผมอ่านเเล้วก็เลื่อนผ่านๆรู้สึกว่ามันให้ความหมายที่ดี เเต่ยังไม่ค่อยอินกับมันเท่าไหร่ เเต่พอได้มาเจอน้องๆผมรู้สึกว่าผมดีเท่าไหร่เเล้วที่ได้เรียนมาในโรงเรียนที่ดีขนาดนี้

ผมมีตัวเลือกมากมายที่พ่อผมให้ในการเลือกที่จะเป็นในการเรียนทำไมผมต้องอยากได้ของ ทั้งๆที่พ่อกำลังสอนให้ผมหาของมาด้วยตัวเอง ผมจึงรู้สึกไม่อยากได้รถเเล้ว อยากตั้งใจทำงาน เเละหาความรู้เพิ่มเติมมาเพื่อเพิ่มเงินเดือนกับงานที่ทำกับลุง จะได้หาเงินมาเพื่อซื้อสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ในขนาดที่น้องๆในนั้นเขาไม่มีสิทธิที่จะได้รับการศึกษาหรือการมอบทัศนคติที่ดีๆผ่านพ่อเเม่เลย ดีเท่าไหร่เเล้วที่ผมได้มายืนในจุดนี้

ลึกๆเเล้วผมรู้สึกว่าเมื่อผมมีโอกาสมากว่าน้องๆเขา เเละถ้าต่อไปทำงานมีเงินเก็บผมก็อยากมาร่วมทำบุญกับน้องๆ เพราะผมคิดว่าในเมื่อผมได้รับโอกาสที่ได้มาง่ายจากพ่อเเม่ ผมก็อยากให้น้องๆที่คิดได้ เเต่ขาดโอกาสได้ทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง

หลังจากที่กลับมาจากวันนั้นวันเสาร์ตอนเช้าผมก็ไปทำงานที่บริษัทลุง เเละตอนเย็นเลิกงาน เเฟนผมงอเเงอยากให้มาหาผมเลยนั่งรถไปหา เเล้วก็เลยกะไปทำกับข้าวกับเเเฟนที่ผ่าน ช่วงนี้เด็กปิดเทอม น้องที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเเฟนผม เเม่ของน้องเขาได้เอาหลานมาฝากไว้กับคุณยายของเเฟน ตอนผมไปหาเเฟนก็เข้าไปเล่นกับน้อง อยากลองเล่นกับเด็กดู อยากรู้ว่าตัวเองยังมีความคิดเดิมๆอยู่อีกไหม พอเข้าไปเล่น ผมไม่ได้รู็สึกถึงความคิดเดิมๆ มีเเต่สงสาร เเละอยากให้น้องเขาได้โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดี

ผมพอรู้เกี่ยวกับครอบครัวหลานคนนี้ของเเฟนมาบ้าง เเต่พอเข้าไปสัมผัสรู้เลยว่าน้องเขาเหงา ไม่ค่อยมีคนเข้าใจเขา พฤติกรรมที่เเสดงออกของเขาคือต้องการให้คนสนใจโดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันไม่ค่อยเหมาะสม เเต่น้องเขาก็ทำหรือพูดเพื่อให้มีคนสนใจเเค่นั้น ทำให้ผมรู้สึกอยากจะป้อนอะไรดีๆ หรือความคิดดีๆเข้าไปให้ เเต่ไม่ค่อยมีเวลาคุยเท่าไหร่เพราะมาถึงบ้านเเฟนก็ดึกเเล้วกว่าจะทำกับข้าวเสร็จเเละนั่งคุยกับน้องได้เเปบเดียวก็กลับบบ้านเเล้ว

ผมรู้สึกว่าเด็กเรียนรู้พฤติกรรมผ่านสิ่งที่ได้เจอ เเละเห็น เด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ไม่พร้อม เเละพ่อเเม่ไม่มีเวลาให้ ทำให้เด็กต้องหาอะไรเข้ามาเเทนที่สิ่งนั้น หลานของเเฟนผมก็ดูเเต่นักเล่นเกมที่ถ่ายลงยูทูปสิ่งที่พูดออกมาเหมือนกับสิ่งที่ยูทูปเบอร์ที่เล่นเกมพูดเกือบทั้งหมด ผมรู้สึกว่าถ้าผมเจอคนที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ผมคงสงสารเขาเเละคิดว่าเขาโตมาในครอบครัวหรือสิ่งเเวดล้อมเเเบบไหนกัน ที่ทำให้เขาเเสดงพฤติกรรมเเบบนี้

สุดท้ายนี้ตอนที่ได้เล่นกับหลานของเเฟน ผมรู้สึกว่าอยู่กับเด็กมีความสุขมากกว่าอยู่กับผู้ใหญ๋เพราะเราไม่ต้องคิดดหรือกังวลอะไรมาก จินตนาการไปพร้อมกับเขา เขาเหมือนจะเป็นสิ่งที่พร้อมจะรับฟังอยู่ตลอดเวลา เเละตั้งคำถามไปเรื่อยๆผมว่าก็เเปลกดีกับเเต่ก่อนที่ไม่ค่อยชอบเด็ก เเต่ตอนนี้ถ้าจะให้เข้าหาเด็กตอนเเรกอาจจะรู้สึกไม่ค่อยโอเค เเต่พอได้เข้าไปทำก็รู้สึกว่าอยากจะมอบอะไรดีๆให้เขา


Reflection 28

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
ก่อนที่จะไปคือไม่อยากไปเลย บ่นกับเพื่อนบ่อยมากๆ ไม่อยากไปๆๆ เพราะตอนนั้นคิดแต่ว่ามันแย่แน่ๆ ซึ่งตอนนั้นเข้าใจผิดอยู่ว่า เอ้อ เราจะไปดูเด็กในสลัมคลองเตย ว่าเขาใช้ชีวิตหรือเป็นอยู่อย่างไร ซึ่งจริงๆไปมูลนิธิเด็ก

2.ประสบการณ์เรียนรู้
อย่างแรกเลยคือได้รู้ว่าที่คิดอยู่ผิดนะ ไม่ได้ไปหาเด็กๆตามบ้านในสลัม ไปที่มูลนิธิต่างหาก สองคือได้รู้ว่าจริงๆแล้วสลัมก็ไม่ได้แย่อย่างที่เราคิดไว้ พอได้ไปเจอน้องๆที่พี่เขาพาไป(จำชื่อเขตไม่ได้เลย) ตอนแรกก็เกร็งนิดหน่อย ทำตัวไม่ค่อยถูกเลย แต่พอมองสายตาน้องๆตอนเจอกันครั้งแรก มันเป็นสายตาแบบ น้องๆดูตื่นเต้นที่มีคนมาหา ไม่ใช่แบบเอ้ะ..นี่ใครอ่ะ น้องๆทุกคนมานั่งรวมกัน แล้วครูก็บอกให้หัวหน้าสั่งทำความเคารพ ก็ตกใจที่ครูบอก อ้าวเน็ทบอกทำความเคารพ ที่ไหนได้ หัวหน้าห้องน้องชื่อเน็ท แล้วก็ได้ทำกิจกรรมกัน

อันแรกคือครูจะเอากระดาษใบใหญ่มาวางที่พื้น 3 แผ่น เป็นกระดาษที่เป็นตาราง 3X3 ในนั้นจะมีรูปสัตว์หลายๆชนิด โดยเกมนี้จะเล่นโดยการที่ ครูหรือพวกผม จะถือกระดาษที่มีรูปสัตว์อยู่ ถ้าหยิบเป็นตัวไหน น้องๆต้องไปเหยียบบนสัตว์ตัวไหน เช่นหมู ลิง ช้าง อื่นๆ เกมต่อไปคล้ายๆเก้าอี้ดนตรี แต่ที่นี่จะใช้เป็นแผ่นไม้แทน เอาวางเป็นวงแล้วก็เปิดเพลง เดินวนเป็นวงกลม เพลงหยุดแล้วทุกคนต้องขึ้นไปอยู่บนแผ่น พอเพลงหยุดน้องๆก็จะรีบขึ้นแผ่นกัน แต่ก็จะมีบางคนที่ยังเด็กอยู่มากๆ ยืนนิ่ง เนื่องจากมีเด็กตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบ ผมว่าน้องที่ยังไม่ขึ้นน่าจะอายุประมาณ 3 ขวบ เพราะตัวเล็กๆทั้งนั้นเลย แล้วพวกพี่ๆที่ตัวสูงๆแล้วก็น่ารักมาก รีบดึงน้องที่ตัวเล็กๆมากอดไว้ให้ยืนอยู่บนแผ่นด้วยกัน

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิมและการเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
เปลี่ยนภาพในหัวที่คิดกับสลัมไปเลยครับ ศูนย์มูลนิธิที่ผมไป ต้องเดินเข้าไปข้างในสลัมอีกสัก 500 เมตรเห็นจะได้ แต่เหมือนจะไกลเพราะว่าเดินตรงๆไม่ได้ ต้องเดินซิกแซกผ่านบ้านคนมากมาย ซึ่งถ้าให้พูดตรงๆคือผมว่าสกปรกมากๆ ลองคิดตามนะครับ บ้านทุกหลังสร้างลอยอยู่กับน้ำ แปลว่าใต้บ้านทุกหลังมีพื้นที่ว่างๆ แต่ใต้บ้านทุกหลังนั้นเต็มไปด้วยขยะมากมาย ซองขนมเอย ถุงพลาสติกเอย สารพัดอย่างเลยครับ แต่ยังดีที่ว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นเลย ซึ่งผมเฉยๆกับพวกนี้ก็เลยไม่ค่อยติดลบกับสถานที่เท่าไหร่ครับ ระหว่างทางก็เจอป้าๆน้าๆ นั่งคุยกันอยู่ พี่ที่พาผมไปก็จะทักตลอดทาง บางคนก็ถามว่ามาเยี่ยมเด็กๆหรอจ้ะ บางบ้านก็เห็นทำอาหารกัน อีกบ้านก็มานั่งคุยอยู่ด้วย ผมว่ามันก็ดูอบอุ่นดีนะ

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง
ก่อนหน้านี้ก็ปล่อยปละละเลยเวลาเห็นพวกที่เค้ามาขอบริจาคเพื่อมูลนิธิแบบไม่เคยสนใจเลย ต่อจากนี้ก็คิดว่าให้ความร่วมมือบ้าง อะไรที่ช่วยได้ก็อยากจะช่วยน้องๆเขา

6.ข้อเสนอแนะ
ผมว่ากิจกรรมครั้งนี้ดีมากครับ อยากให้คลาสรุ่นต่อไปยังมีอยู่ เหมือนได้ไปเยี่ยมน้องๆ แล้วก็อยากให้มีเวลามากกว่านี้สักนิดนึง ผมรู้สึกเหมือนมันน้อยไปยังไงไม่รู้(ตอนที่จะกลับแล้วลาน้องๆ น้องๆก็บอกไปแล้วหรอ ตาใสมากกก)

Reflection 29

1. ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : ได้เข้ามาเห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่จริงๆ ออกจากcomfort zoneของตัวเอง ได้เห็นมุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ และได้ช่วยเหลือเล็กๆน้อยแก่ชุมชนค่ะ

2. ประสบการณ์การเรียนรู้ : ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ เด็กๆทุกคนน่ารัก คุณครูก็ใจดี โรงเรียนเก็บค่าเรียนแค่วันละ 20 บาท และมีอาหารกลางวันครบ5หมู่ให้น้องๆ โรงเรียนดูสะอาดด้วยค่ะ ทุกคนมีรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้กับพวกหนูตลอด เด็กๆดูสนุกกับการทำกิจกรรมและดูดีใจที่พวกหนูมาร่วมเล่นด้วย ระหว่างทางเดินกลับ ทางเดินก็จะเริ่มเป็นช่องแคบๆ ดูมืดๆ แต่บรรยากาศรอบๆ รู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่รู้สึกอันตราย ไม่รู้สึกในทางลบเลยค่ะ

3. ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม : จากการที่หนูได้มาสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ด้วยตัวเอง จากที่เคยมองชุมชนคลองเตยเป็นแหล่งน่ากลัว อันตราย แต่ที่จริงแล้วก็มีความสดใส มีการช่วยเหลือกัน มีศูนย์เด็กเล็กให้ความรู้แก่เด็กๆ ถึงแม้ว่าเด็กๆที่นี่อาจจะโตมาในสังคมที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ศูนย์เด็กก็ปลูกฝังระเบียบสิ่งดีๆให้กับเด็ก เด็กๆก็เชื่อฟัง อีกทั้งมีการเดินทางมาโรงเรียนด้วยตัวเองตั้งแต่เล็ก หนูคิดว่าเด็กๆมีความแข็งแกร่งที่จะสู้ชีวิต มีภูมิคุ้มกันในการใช้ชีวิต และหนูก็หวังว่าเด็กที่นี่จะโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่ดีได้ค่ะ

4. การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : จากที่ได้เดินเข้าไปในชุมชนแล้ว ภาพที่เห็นดีกว่าภาพที่คิดไว้ตอนแรกมากๆเลยค่ะ เห็นเลยว่าเขาไม่ได้แตกต่างกับเราเลย ชุมชนก็เป็นเหมือนบ้านหลายๆหลัง ที่มาอยู่ติดๆกัน จริงๆแล้วผู้คนที่นี่ ชาวบ้านและเด็กๆ ก็เป็นมิตรมากๆ ซึ่งก็สัมผัสได้เลย ถึงแม้จะเป็นชุมชนที่แออัด ผู้คนไม่ได้มีเงินทองมากมายแต่ทำไมเขาถึงมีความสุขได้ ทำให้หนูนึกถึงการเป็นอยู่ด้วยความธรรมดา การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ก็สามารถมีความสุขได้ค่ะ

5. การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง : หนูค่อนข้างดีใจที่ได้มีประสบการณ์นอกห้องเรียนแบบนี้ ทำให้หนูได้เห็นมุมมองที่แตกต่างในชีวิตมากขึ้น ผู้คนในชุมชนคลองเตยมีปัญหามากมาย ทั้งยาเสพติด ครอบครัว และการขาดโอกาสการพัฒนาคุณภาพชีวิต หนูได้เรียนรู้ว่า จะต้องช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาส การช่วยเหลือเล็กๆน้อยของหนูอาจทำให้คนในชุมชนมีชีวิตที่ดี และมีความสุขมากขึ้นได้ค่ะ และหนูก็หวังให้คนในสังคมเข้าใจคลองเตยในรูปแบบใหม่ว่าคลองเตยยังมีสิ่งที่สดใส ยังมีความดี และมีอะไรมากกว่าที่เราคิดค่ะ

6. การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์ : หลังจากได้เข้าไปดูชุมชนคลองเตยและได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆแล้ว ก็ได้กลับมาคุยกับเพื่อนๆว่า ชาวบ้านและเด็กๆที่นั่น ไม่ได้แตกต่างจากเราเลย ทุกคนมีความฝัน มีเป้าหมายในชีวิตเหมือนเรา ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่เกี่ยวว่าเรามาจากที่ไหน และสิ่งที่หนูประทับใจอีกอย่างคือทุกคนที่ศูนย์เด็กและคุณครูมีใจในการสอนเด็กมากๆ และตั้งใจที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กจริงๆ เขาเข้ามาทำตรงนี้ด้วยความต้องการที่จะเห็นชุมชนไปในทางที่ดีขึ้นค่ะ

Reflection 30

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้----เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่อาจารย์บอกว่าครั้งหน้าจะออกไปเรียนรู้นอกสถานที่ไปหาพวกเด็กๆที่แถวสลัมคลองเตย ในตอนแรกผมก็วาดภาพคิดว่าน่าจะไปตามพวกบ้านเรือนต่างๆในแต่ละครอบครัว ผมก็มีความคิดที่ว่าเขาจะตอนรับพวกเราหรือเปล่าพวกเขาจะยินดีหรือไม่ที่พวกเราไปหา แต่พอมาถึงวันที่ไปผมก็เพิ่งได้เข้าใจว่าไปที่มูลนิธิของเด็กทั้งที่มีเด็กกำพร้าและไม่กำพร้า เป็นทั้งโรงเรียนและบ้านหลังที่สองของพวกเด็กๆ ผมรู้สึกโอเคมากๆเลยครับ

2.ประสบการณ์เรียนรู้----เมื่อตอนที่ไปถึงที่ศูนย์ Mercy Center Visit ตอนที่คุณพ่อโจเซฟได้มาพูดผมชอบคำพูดที่คุณพ่อบอกว่า "เราต้องให้เด็กเป็นคนสอนเรา ไม่ใช่เราไปสอนเด็ก"ในเวลาที่ไปหาพวกเขา ผมนั่งคิดว่าทำไมต้องให้เด็กเป็นคนสอนเราด้วยหล่ะ? แล้วผมก็ค้นพบจากการที่ได้ไปเจอกับพวกเด็กๆ ในระหว่างการเดินทางไปถึงแม้ว่าระยะทางจะไม่ได้ลึกมากแต่ทางที่เดินไปนั้นไม่ค่อยสะดวกเพราะเป็นทางรถไฟคอนกรีตที่ค่อนข้างสูงมากหากเด็กหรือคนชรามาเดินและอันตรายหากก้าวพลาด ตัวโรงเรียนที่ตั้งอยู่นั้นอยู่ตรงใจกลางระหว่างชุมชนก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สะดวกสำหรับเด็กๆจะได้เดินทางไปกลับไม่ไกลมาก ตอนที่ไปถึงผมเข้าใจที่คุณพ่อได้บอกแล้วว่าต้องให้เด็กเป็นผู้สอนเรานั้นคืออะไร มีเด็กสองคนเดินเข้ามาจับมือผมแล้วชวนให้ผมไปดูของเล่นแล้วเขาก็พูด ผมอาจฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเนื่องจากค่อนข้างพูดเบา แต่ผมก็พยายามเข้าใจและโต้ตอบว่าจะให้เล่นอย่างไร พวกเขาจะมีความสุขมากถ้าเราพยายามเข้าใจพวกเขา ในทางกลับกันถ้าหากเราไปสอนให้เด็กเล่นอย่างโน่นอย่างนี้อาจมีคนที่ไม่ชอบเล่นแบบนี้ก็ได้ เราควรจะ"เล่นตามเด็ก ไม่ใช่ให้เด็กเล่นตาม"

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม----ผมไม่เคยได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ผมเคยเห็นพวกเพื่อนๆผมผ่านทางไอจี เฟสบุ๊ค ว่าเคยไปตามมูลนิธิเด็กๆไปช่วยสอนไปช่วยทำงานไปบริคจาคของช่วยเล่นกับเด็กๆ อยู่ค่อนข้างหลายคนแต่ผมไม่เคยมีโอกาสได้ไปเลยสักครั้งเดียว พอมาในคลาสนี้ผมก็อยากจะขอบคุณอาจารย์มากๆที่หาโอกาสแบบนี้มาให้ มันทำให้มุมมองที่ผมมองคนที่ด้อยโอกาสกว่าเรามันยิ่งชัดเจนและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

พวกเขาไม่ได้น่าสงสารตามในแบบมุมมองของผมเมื่อก่อน แต่พวกเขาแค่มีความ"แตกต่าง"จากเรา 

เมื่อก่อนเรามองว่าพวกเขาน่าสงสารนั้นเพราะเราเอาสภาพแวดล้อมของเราไปเปรียบเทียบกับพวกเขา(เรามีอย่างนี้เราจะมีความสุข แต่เขาไม่มีแสดงว่าเขาไม่มีความสุขแน่ๆ)ผมเคยคิดทำนองนี้แต่มันกลับไม่ใช่ เขาก็มีความสุขในแบบอื่นของพวกเขาเองเช่นกัน

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น----ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกคุณครูหรือพวกเจ้าหน้าที่ที่คอยสั่งสอน คอยดูแลให้กับพวกเด็กๆ พวกท่านเหล่านั้นก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องมาทำด้านตรงนี้ แต่พวกท่าน"เลือก"ที่จะมาช่วยเหลือในด้านตรงนี้ ท่านเล่าว่าทำแล้วมีความสุขที่ได้ทำถึงแม้ว่าจะได้ค่าตอบแทนค่อนข้างน้อย แต่พวกครูก็ไม่ได้สนใจอะไร ที่ที่ผมไปคุณครูอยู่กันมา30กว่าปีคนนึง และอีกคนทำมา20กว่าปี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวของพวกเด็กๆ ตั้งแต่เล็กจนส่งให้เขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคม มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกครูมีกำลังใจที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ ผมชอบมากๆครับที่เห็นว่ามีคนแบบนี้อยู่ในสังคมค่อนข้างมาก

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง----ผมเป็นคนที่เวลามีการทำบุญอะไรผมจะไม่ค่อยได้ทำบุญให้กับที่วัด แต่ผมจะหย่อนเงินใส่กับพวกมูลนิธิต่างๆเพราะผมเห็นว่ามันมีความเป็นที่ต้องใช้เงินมากกว่าที่วัด ในคลาสนี้มันยิ่งทำให้ผมได้รับรู้อีกว่าตามมูลนิธิยังมีความจำเป็นในการต้องใช้เงินมากยิ่งกว่านี้อีกถึงแม้ว่าจะมีคนคอยบริจาคอยู่เป็นประจำ แต่มันก็ยังคงไม่เพียงพอ เพราะคนที่บริคจาคส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนเดิมๆมันจะดีมากกว่านี้ถ้าหากเป็นคนใหม่ๆช่วยๆกันบริจาค ผมจึงอยากที่จะบอกกับคนที่รู้จัก ให้มาช่วยกันทำบุญกับมูลนิธิกันให้มากกว่านี้คนละนิดคนละหน่อยแต่มันจะช่วยให้"คุณภาพชีวิต"ของพวกเด็กๆดีมากยิ่งขึ้นกว่านี้

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน----เพื่อนๆของผมแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากให้มีเวลามากกว่านี้ผมเองก็เช่นกัน มันเหมือนเราเข้าไปเป็นแขกแค่พอเป็นพิธีแล้วก็กลับเหมือนกับไปทำเอาหน้าถ่ายรูปกันเฉยๆ (ผมกลัวว่าพวกเขาจะคิดกันแบบนี้) แต่จุดมุ่งหมายของเราคือการไปเรียนรู้ ไปหาประสบการณ์แบบนี้ สุดท้ายนี้ผมและเพื่อนๆก็อยากที่จะซื้อขนมมาฝากพวกน้องๆด้วยจะได้มีความสุขกัน หากมีโอกาสผมกับพวกเพื่อนๆจะไปกันเองอีกครับผม

Comments