รวม Reflection ของการไปสลัมคลองเตย (2/3)

ขอบคุณรูปจากเอิร์ท สรยุทธ
ต่อจากโพสที่แล้ว

Reflection 11

1.-ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : ความคาดหวังของหนูในวันนี้แพรวหวังว่าจะได้ไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของน้องๆค่ะ หนูหวังว่าจะได้เห็นชีวิตอีกหลายมุมมองที่แพรวไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เห็นค่ะ

-ประสบการณ์เรียนรู้ : ประสบการณ์ที่หนูได้เรียนรู้ในวันนี้ หนูได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากน้องๆค่ะ น้องๆที่นี่ดูมีความสุขมากๆในการได้มาเรียนที่ศูนย์พัฒนาบุคคล รอยยิ้มของน้องๆทำให้หนูรู้ว่าบางทีถึงแม้ชีวิตเราจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เราคาดหวังไว้แต่เราสามารถมีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ได้ค่ะ

-ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม : จากเดิมหนูไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่แบบนี้ค่ะ จากการที่หนูได้ไปเดินสำรวจชุมชนในวันนี้ทำให้แพรวเปลี่ยนความคิดได้ว่าคนเราถึงแม้สภาพความเป็นอยู่จะคับแคบหรือแออัดแค่ไหนแต่ถ้าเราอยู่แล้วมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราก็สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ค่ะ

-การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : วันนี้หนูได้เรียนรู้ว่าถึงแม้สภาพภายในชุมชนจะมีคนหลากหลายรูปแบบ แต่เราไม่สามารถตัดสินใครได้ค่ะว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ดีแล้วก็ไม่สามารถไปตัดสินชีวิตเขาได้ค่ะว่าชีวิตเขาจะเป็นอย่างไร วันนี้หนูได้เรียนรู้ว่าคนเราจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดีอาจขึ้นอยู่ที่ตัวเราเองเลือกชีวิตของเราเองค่ะ ต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เท่ากันแต่ถ้าเราไม่ลดความพยายามในการต่อสู้อุปสรรคในชีวิต หนูเชื่อว่าสักวันเราจะมีชีวิตในแบบที่เราหวังได้ค่ะ

-การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตัวเอง: หลังจากที่หนูได้ไปเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของน้องๆในวันนี้ หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีตรงที่มีโอกาสต่างๆในชีวิตมากมาย หนูจึงมีแรงบันดาลใจที่จะตั้งใจเรียนและหางานทำที่ดี เพื่อแพรวจะได้กลับไปช่วยเหลือน้องๆได้ในอนาคตค่ะ แพรวอยากจะใช้โอกาสในชีวิตของหนูให้ดีเพื่อต่อโอกาสให้กับใครหลายๆคนค่ะ

-การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนร่วมประสบการณ์เดียวกัน :วันนี้ทุกคนในคลาสดูมีความสุขและมีรอยยิ้มเป็นพิเศษค่ะ หนูเชื่อว่าเพื่อนๆของหนูมาที่นี่ด้วยใจจริงๆค่ะ โดยตอนที่ได้เข้าไปหาน้องๆและเล่นกับน้องๆทุกคนดูเป็นตัวของตัวเองและมีความสุขมากๆค่ะ ทำให้หนูได้รู้ว่าความสุขเกิดได้ทุกที่ ทุกเวลาหรือที่ไหนก็ตามที่เราอยู่แล้วรู้สึกสบายใจค่ะ

Reflection 12

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : เมื่อรู้ว่าจะได้ไป สลัมคลองเตย มีความรู้สึกน่าสนใจมาก เพราะเคยมีประสบการณ์ในช่วงวัยเด็ก ที่เคยเห็นชุมชนที่เป็นสลัมแบบนี้ผ่านตามาบ้าง ซึ่งตอนนั้น มีความรู้สึกว่า เป็นสถาณที่ที่เราไม่อยากจะเดินผ่านมาอีก มีความน่ากลัวใน ผู้คน และ ชุมชน จากนั้นได้ลองศึกษาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต พบว่า คนที่นั่นอาศัยอยู่ในเพิงเล็กๆ บางคนอาศัยอยู่ในช่องใต้สะพาน
ทุกที่เต็มไปด้วยขยะ มีความรุนแรง มีคนที่เป็นโรคเอดส์ เนื่องมาจากการขายบริการทางเพศ แต่สิ่งที่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่า ชุนชนสลัมยังมีอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เป็นเรื่องที่น่าตกใจเพราะคิดไม่ถึง และ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีชุมชนแบบนี้อยู่ในกรุงเทพฯ จึงทำให้มีความสนใจ ตื่นเต้น และ คาดหวังที่จะได้เข้าไปสัมผัส ผู้คน และ ชุมชนนี้อย่างใกล้ชิด

2.ประสบการณ์เรียนรู้ : ตอนนั่งรถไปถึงบริเวณเขตคลองเตย ได้เห็น เพิงที่คนสร้างไว้ใต้สะพาน ซึ่งข้างๆ เป็นคูน้ำเน่า มีขยะมูลฝอย ที่ส่งกลิ่นเหม็นเข้ามาในรถ ทำให้เห็นถึงความสกปรกของชุมชน พอขับเข้าไปอีกหน่อย ก็เห็นบ้าน ชุมชน ที่ถูกโอนย้ายมาจาก ท่าเรือคลองเตย เห็นผู้คน แต่ก็ ไม่เห็นคนที่น่าตาน่ากลัวเหมือนที่ในอินเทอร์เน็ตบอกไว้ แต่ก็ยังรับรู้ถึงความอึดอัดได้อยู่ เมื่อไปถึง Mercy Center
(มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล ) เริ่มรู้ว่าวันนี้จะได้ไปดู ศูนย์ช่วยเหลือเด็กในชุมชนคลองเตย ถึงตอนนี้เริ่มคิดว่าจะกลับไปเขียน Reflection ยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะได้เรียนรู้อะไร หลังจากนั้น ได้ฟังคุณพ่อบาทหลวงบรรยาย ตอนที่ผมฟัง คุณพ่อบาทหลวงบอกว่า ที่เรามาวันนี้ ให้เราได้เรียนรู้จากเด็ก ไม่ใช่ว่าเราจะไปสอนอะไรเด็ก ดังนั้น เลยตั้งใจว่าจะลองไปเรียนรู้จากเด็กดูว่าผมจะได้อะไร จากนั้นก่อนที่จะไปขึ้นรถ ผมเดินออกมาจากห้องประชุม บาทหลวงชี้ให้ผมหยุด และ ให้เจอกับเด็กกลุ่มแรกที่นั่งอยู่ด้านหน้าศูนย์ บาทหลวงกำลังแบ่งขนมจากปี๊ปให้เด็กๆกิน ตอนที่เห็น พวกเด็กมีสัมมาคารวะ ไหว้รับของจากผู้ใหญ่ และดูมีความสุข ที่ได้ขนม จากนั้นผมได้ไปศูนย์อีกที่ ที่อยู่ใกล้ๆ เป็นศูนย์ที่ มีเด็กระดับ อนุบาล 1,2,3 และ เตรียมอนุบาล

ผมเจอกับเด็กกลุ่มแรก ตอนนี้พวกเด็กๆเห็นพวกผม พวกเขาดูมีความสุขสุดๆ ดูมีชีวิตชีวา มันเป็นความสุขที่ใส บริสุทธิ์ มีแต่ความจริงใจ แม้ว่าจะพึ่งจะได้เจอกัน กลุ่มผมกับเด็กๆได้ทำกิจกรรมด้วยกัน ได้พูดคุยกับเด็กๆ สังเกตได้ว่าเขาไม่มีความกังวลในชีวิต หรือ สภาพการเป็นอยู่ของชุมชน ครูของน้องบอกว่า เด็กๆ ได้เรียนวิชาอาชีพ เช่น การทำกับข้าวเอง และมีการกระตุ้นการพัฒนาการของเด็กเสมอ ซึ่งผมประทับใจมาก หลังจากนั้น ได้ช่วยเด็กๆทำงาน และ ตรวจการบ้านให้กับบางคน แต่ถึงตอนนี้ผมเลยไม่รู้ว่าผมได้เรียนรู้อะไรจากที่มาที่นี่ แต่คงสรุปได้ว่า ได้เรียนรู้ว่า ความสุขเป็นสิ่งที่ขโมยไม่ได้ เพราะ เด็กพวกนี้เหมือนได้บอกกับผมว่า พวกเขามีความสุข ต่อให้พวกเขาจะไม่มีอะไร หรือต้องอยู่ในชุมชน ที่มีความน่ากลัว มีความรุนแรง และ สกปรก ก็ไม่มีอะไรมาแย่งความสุขพวกเขาไปได้ และยังได้เรียนรู้ว่า ยังมีสถาณที่แบบนั้นคงอยู่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเราต้องยอมรับมัน และ ต้องแก้ไขให้หมดไปๆ มันเป็นเรื่องของทุกคนที่ต้องใส่ใจ และต้องมีการพูดถึงอยู่เสมอ เพราะ สำหรับตัวผมเองก็พึ่งจะรู้ว่า ยังมีสลัมอยู่ในกรุงเทพ และเป็นชุมชนสลัมที่ มีปริมาณมาก และ เป็นปัญหาที่แก้ไขกันมานานแต่ก็ยัง แก้ไขให้หมดไปไม่ได้

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม : ต้องยอมรับว่าตอนแรกที่เคยเห็นสลัม เราตัดสินมันไปว่าเป็นที่ที่น่ากลัว ไม่น่าอยู่ และยิ่งเมื่อไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้เรากลัว สลัมนี้พอสมควร แต่พอได้ลองเข้าไป สัมผัส ผู้คน และ ชุมชนนี้แล้ว มันไม่เหมือนกับสิ่งที่อ่านในอินเทอร์เน็ต ว่าที่นี่ต้องน่ารังเกียจน่ากลัว แต่ผมกลับได้รับแต่ความสุข ความประทับใจ กับ สลัมแห่งนี้มากกว่า มันทำให้เรียนรู้ว่า

เราไม่ควรไปตัดสินสิ่งต่างๆ ก่อน แต่เราควรต้องไปเห้นไปสัมผัสมันก่อนที่จะตัดสิน

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : เรียนรู้ว่า อย่าตัดสินสิ่งต่างๆหากไม่ได้ลองสัมผัสมันก่อน ได้เรียนรู้ว่า ความสุข มันเกิดได้ทุกๆที่ ทุกเวลา

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง : อย่างที่เด็กๆได้แสดงถึงความสุข แม้จะอยู่ในที่หลายคนมองว่า หากตัวเองต้องมาอยู่ที่นี่ ต้องไม่มีความสุขแน่ๆ มันทำให้ผมเรียนรู้ว่า ความสุขมันเกิดขึ้นได้ทุกที่ มันเกิดจากสิ่งเล็กที่เรากระทำ เพียงแค่ ได้พบเจอกัน พูดคุยกันเหมือน กับตอนที่ผมได้เจอกับเด็กๆ

Reflection 13

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
ความคาดหวังนะคะก็คิดไว้ว่าน่าจะได้ไปเยี่ยมชมสลัมคลองเตยแล้วก็ได้ทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆค่ะ

2.ประสบการณ์การเรียนรู้
ตอนแรกที่ได้เข้าไปในมูลนิธิ ก็รู้สึกตื่นเต้นมากเพราะไม่ใช่แบบที่คิดไว้เลยค่ะ มูลนิธิเป็นตึกใหญ่กลางสลัมคลองเตย มีทั้งห้องเรียนเด็กๆและบรรยากาศภายในก็ร่มรื่นมาก เป็นมูลนิธิที่ดีมากเลยค่ะ ดูแลช่วยเหลือในหลายๆด้านด้วย และหลังจากที่แบ่งกลุ่มกันไปตามชุมชน หนูก็ได้เป็นชุมชนเชื้อเพลิงพัฒนาค่ะ ทางเข้าชุมชนเป็นทางเข้าเล็กๆอยู่กลางเมืองเลย แค่เดินไปนิดเดียวก็เจอกับศูนย์เชื้อเพลิงนอกแล้ว
ข้างในศูนย์เป็นห้องเรียนเล็กๆ มีเด็กๆ20กว่าคน ตั้งแต่อ.1-3 พอเข้าไปในห้องก็รู้สึกถีงพลังงานบวกทันทีเลยค่ะ คุณครูให้น้องๆเล่นเก้าอี้ดนตรี เด็กก็ร้องเพลง เต้นบ้างตามภาษา หลังจากนั้นคุณครูก็ให้ยืนกันเป็นวงกลม มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆสองคนรีบวิ่งเข้ามาจับมือหนู ทั้งที่เราพึ่งเจอกันไม่กี่นาทีก่อน ทำให้รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ มันเอ็นดูไปหมดไม่ใช่แค่เด็กสองคนแต่เด็กๆทุกคนเลยค่ะ ตอนที่คุยกับคุณครู คุณครูอีกท่านก็ให้น้องๆไปนั่งรวมกันอีกมุมเด็กๆก็เชื่อฟังมากหันไปมองแล้วมีการทำท่าบอกเพื่อนให้เงียบกันเองด้วย พอตอนสุดท้ายที่คุณครูบอกให้ถ่ายรูปกับพวกหนูได้น้องก็วิ่งกันเข้ามามากอดใหญ่เลย หลังจากนั้นก็ได้เดินเข้าไปในชุมชนไปอีกศูนย์นึงแต่เสียดายที่ไม่ได้เข้าไปทำกิจกรรมกับน้องๆด้วย อยากให้มีเวลามากกว่านี้ เหมือนไม่ใช่แค่เรามาแชร์ความสุขให้เด็กๆแต่เด็กๆก็แชร์ความสุข ความน่ารัก ความสดใสกลับมาให้ได้ด้วยค่ะ

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ตอนแรกในความคิดที่อาจารย์บอกว่าจะพามาสลัมคลองเตย หนูไม่เคยเห็นเลยว่าเป็นยังไง เลยคิดไว้ว่าคงจะแออัดและน่ากลัวพอสมควร แต่พอได้เข้าไปในชุมชนจริงๆไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นเลยค่ะ เป็นชุมชนที่ค่อนข้างคับแคบเดินสวนกันไม่ค่อยได้ แล้วบ้านส่วนใหญ่เป็นแค่ห้องสี่เหลี่ยมเล็กมากๆ แค่เดินผ่านก็เห็นหมดเลยทั้งห้องนั้น และชาวบ้านเขาก็ใช้ชีวิตกันปกติ มันอาจจะไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ดีเท่าไหร่นัก แต่เด็กๆที่ได้เจอทำให้หนูรู้สึกว่าเขาได้รับการดูแลอย่างดี มีความสดใสน่ารักตามวัย และเก่งกว่าตัวหนูเองในตอนนี้อีกค่ะ

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
การเรียนรู้ใหม่ก็คงเป็นการได้มาเยี่ยมชมสลัมคลองเตยนี่แหละค่ะ ได้ลองมาเห็นชีวิตอีกมุมนึงที่เราไม่เคยเห็น สลัมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดก็เป็นแค่ชุมชนที่แออัดและถึงแม้สภาพแวดล้อมต่างๆจะไม่ได้ดีมาก แต่การที่มีมูลนิธิเข้ามาช่วยเหลือ มีศูนย์เด็กที่เข้ามาพัฒนาเด็กๆและจากที่ถามคุณครูมา เด็กๆมีค่าใช้จ่ายวันละ20บาท แต่เด็กๆได้ทานอาหารที่มี5หมู่ครบถ้วน ได้รับการเรียนรู้ การดูแล การให้เขาได้มีโอกาสเติบโตไปตามวัยแม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ถือเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
การได้มาเห็นความเป็นอยู่ได้มาสัมผัสเด็กๆก็ทำให้หนูย้อนกลับมาคิดถึงตัวเองค่ะ จากที่ถามคุณครู คุณครูบอกว่าเด็กๆส่วนใหญ่จะไปกลับโรงเรียนเองทั้งๆที่เขาพึ่งอ.2-3 ตื่นมากินข้าว แต่งตัวเอง อาจจะเพราะด้วยครอบครัวที่ไม่พร้อม แต่เด็กขนาดนี้น้องยังรู้หน้าที่ตัวเอง พอกลับมาคิดถึงตัวเองเรามีครบทุกอย่าง ทำไมเราถึงไม่ใช่โอกาสของตัวเองให้คุ้มค่า ยังมีคนอื่นที่เขายังลำบากกว่าเราตั้งเยอะ เขายังพยายามทำตัวเองให้ดีเลย รู้สึกว่าได้แรงผลักดันในชีวิตมากขึ้นค่ะ

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
หลังจากที่ได้ไปทำกิจกรรมร่วมกับเด็กๆ เพื่อนๆส่วนใหญ่ก็จะพูดว่า เสียดายที่มีเวลาน้อย ถ้ามีโอกาสหนูก็อยากกลับไปอีกค่ะ และในความรู้สึกส่วนตัวอีกอย่างคืออยากให้น้องๆได้รับโอกาสดีๆ เพื่อที่จะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นค่ะ

Reflection 14

1.ความคิดหวังก่อนเรียนรู้
คือจริงตื่นเต้นมากที่ได้ออกไปเรียนนอกสถานที่และยิ่งไปที่ที่ปรกติคนเราๆคงไม่ได้ไปกัน ซึ่งตอนแรกที่เห็นอาจารย์โพสว่าเหมือน อย่านำของมีค่าไปติดตัว หรือการแต่งตัวให้เรียบร้อย ซึ่งมันทำให้ตัวผมเอาคิดว่า เห้ย สถานที่แบบนี้มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ คนในนั้นเค้าน่ากลัวมากขนาดนั้นเลยเหรอแต่พอไปถึงที่แล้ว พวกเค้าไม่ได้น่ากลัวแบบที่เราคิดไว้ทีแรกเลย จริงๆน่าจะเรียกว่าชุมชนแออัดมากกว่าที่คนทั่วๆไปเรียกว่าสลัมเพราะมันดูหดหู่มากๆ ซึ่งตัวเองนั้นเคยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก่อน เลยเหมือนพอคุ้นชินกับสิ่งที่เคยเจอมา แต่ตอนทีไปที่นี่รู้สึกว่าเค้ายังดูดีกว่ามากอาจจะเป็นเพราะมีมูลนิธิมาช่วยพัฒนาด้วย

2.ประสบณ์การเรียนรู้
จากตัวผมเอง ผมพอจะมีเพื่อนที่อยู่ในสังคมแบบนี้ ซึ่งเอาจริงๆ ในสังคมแบบนี้มันจะมีสิ่งที่ไม่ดี พวกการพนัน สิ่งเสพติด ซึ่งแน่นอน สิ่งเสพติดมักเป็นสิ่งที่วัยรุ่น และเด็กที่กำลังอยากรู้อยากลองต้องพบเยอะ ซึ่งเด็กที่พวกผมไปเจอมานั้นเค้ายังใสๆไม่รู้เรื่องอะไร ไม่อยากจะคิดเลยถ้าวันนี้ไม่มีมูลนิธิเข้ามาช่วยดูแลแล้วสังคมของพวกเข้าจะแย่ขนาดไหน

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ซึ่งจากการที่เด็กพวกนี้มีคนคอยมาให้ความรู้สอน ก็อาจจะทำให้พวกน้องๆไม่เข้าไปยุ่งกับพวกสิ่งเสพติดแต่ด้วย เด็กแล้วอยากรู้อยากลอง ซึ่งถ้ามองจากประสบการณ์ตัวผมเอง ผมอยู่ในครอบครัวที่ออกจะเรียบร้อย ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนี้แต่ดัวยความเป็นวัยรุ่น อยากลอง ก็ลองทุกอย่าง แต่ด้วยความโชคดีหรือยังไงไม่รู้ ก็ได้พวกพี่ๆ เพื่อนๆที่ เป็นเด็กในสลัมแถวบ้าน คอยห้าม ซึ่งเด็กพวกนี้บางคนอาจจะมองว่าเค้าเป็นพวกสลัม ขี้ยา น่ากลัวแต่ควาจริงแล้ว คนทุกคนมีทั้งมุมดีและไม่ดี ซึ่งบางคนอยู่ในสลัมอาจจะ มีมุมที่ดีมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตสวยหรู กว่าด้วย

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ในชีวิตจริงๆแล้ว ถ้าเรามองในมุมของสลัม เค้าอาจจะไม่ได้มีชีวิตที่สบาย มีของดีดีกิน แต่บางทีเค้าอาจจะมีความสุขกับการที่เค้าใช้ชีวิตแบบนั้น โดยที่คนบางกลุ่ม มีชีวิตดีที่อยู่ดี แต่เค้ากลับต้องทุกข์ด้วยคำว่า เงิน ที่ต้องคอยเหนื่อย หรือ เครียดมากๆ เพื่อหามันมา ซึ่งสำหรับตัวผมเอง เมื่อก่อน เคยมองว่า เงินคือปัจจัยหลักของชีวิต เงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่พอเจอประสบณ์บางประสบการณ์ (อาจจะเล่าในครั้งถัดไป555) ก็ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก จากที่เคยไปจุดสูงสุดของชีวิต กลับมาต่ำสุดของชีวิตมาก จนมานั่งคิดได้วาสุดท้ายแล้ว คนเราตายไป เงินก็นำไปด้วยไม่ได่ มีแค่ความสุข ความทรงจำดีๆ เวรกรรมที่จะตามเราไปด้วย

5.การนำไปใช้ประโยชน์กับตัวเอง
การนำไปใช่ประโยชน์กับตัวเอง จริงมันไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่นพะครับเพราะเหมือนเคยผ่านมาบางแล้วแต่ก็ได้แนวคิดแบบเวลาอยากทำกิจกรรมอะไรต่างๆที่เหมือนข่วยเหลือสังคมอยากจะมาช่วยเด็กที่นี่มากขึ้น เพราะเหมือนพวกเค้าต้องการอะไรจากสังคมมากกว่านี่ การที่สังคมยอมรับพวกเค้าได้น่าจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว

6.การเรียนรู้จากเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
จริงๆคิดว่าเพื่อนน่าจะกังวลเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของที่แถวนั้น แต่พอเพื่อนๆไปอยู่ในสภาพแถวนั้น ไปเจอน้องๆ เจอผู้คน ซึ่งดูเหมือนเพื่อนๆจะเปิดใจมากขึ้น จริงๆ เด็กควรจะโตมามีอนาคตที่ดี เหมือนที่มีคนเคยบอก เราโตมาจะเป็นยังไงอยู่ที่สภาพแวดล้อม แต่ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเองด้วยว่า เราจะคุมหรือคอนโทรตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

7.ข้อเสนอแนะ
จริงๆ อยากให้พาเข้าไปในเรือนจำ เพราะคนพวกนี้ต้องการ การยอมรับจากสังคมมากกว่า เพราะคนในเรือนจำส่วนใหญ่ที่เข้าๆออกๆ มักจะเป็นหน้าเดิมๆ เพราะสังคมไม่ให้การยอมรับคนพวกนี้ทำให้เหมือนบีบบังคับให้เค้าต้องกลับไปทำอาชีพเดิมๆ อีก

Reflection 15

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ คือ หวังที่จะไปพบหรือดูชุมชนที่ย่ำแย่แตกต่างจากในเมืองมากๆ คงเป็นประสบการณ์การแปลกใหม่พื้นที่แปลกใหม่ การใช้ชีวิตที่แปลกใหญ่อย่างที่ไม่เคยเจอในชุมชนปกติ

2.ประสบการณ์การเรียนรู้ คือ ได้เห็นลักษณะชุมชนการเป็นอยู่ของครอบครัวทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ลักษณะของชุมชนและได้ทำการเล่นกับเด็กๆ รู้สึกว่าเด็กมีความตื่นเต้นมากๆที่ได้เจอ เราอาจเป็นสิ่งที่เด็กไม่ค่อยได้เจอ ได้กลับไปเล่นแบบเด็กๆถึงไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ แต่พอเห็นเด็กๆสนุกก็ดีใจแล้วครับ

3.ประสบการณ์การการเรียนรู้เดิม คือ ส่วนตัวแล้วสภาพสังคมหรือการใช้ชีวิตเหมือนปกติคนทั่วไป แต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายเท่าไหร่ ซึ่งก็เคยไปพบเจอการใช้ชีวิตแบบคลองเตยอยู่บ่อยครั้งแต่ในส่วนของเด็กๆไม่เคยเจอเด็กที่ตื่นเต้นมากขนาดนี้เวลาเจอกับคนแปลกหน้า

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น คือ ไม่ใช่ความรู้ใหม่มากเท่าไหร่ เนื่องจากตัวผมอยู่ต่างจังหวัดอยู่แล้ว อาจจะพบเจอชุมชนการใช้ชีวิตการดำเนินชีวิตแบบนี้มาเยอะ แต่อาจไม่พบกับความแออัดแบบนี้เยอะมากและเพิ่งเคยพบเจอเด็กๆที่อยู่ในชุมชนแบบนี้เพิ่งรู้ว่าเด็กมีความตื่นเต้นมากที่ได้เจอพวกเราแอบดีใจมากๆ รู้สึกเหมือนเป็นคนสำคัญเห็นเด็กแบบนี้ก็อยากอยู่กับเด็กๆไปนานแต่ไม่ได้เพราะเนื่องจากเวลาจำกัด

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน คือ คนเรามีต้นทุนชีวิตที่ต่างกัน ในเมื่อเราเกิดมามีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่าเขาสภาพสังคมการเป็นอยู่ดีกว่าเขา เราก็ควรใช้โอกาสนี้ทำสิ่งที่ถูกที่ดีตามโอกาสที่เราได้รับแทนพวกเขาซึ่งอาจจะต้องการทำอะไรหลายๆอย่างแต่เขาไม่สามารถไม่มีโอกาสได้ทำ

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์ด้วย คือ จากการได้พูดคุยกับเพื่อนๆ เพื่อนที่อยู่ในกรุงเทพก็บอกว่าไม่ค่อยได้เจอสังคมแบบนี้เป็นประสบการณ์ใหม่และเพื่อนต่างจังหวัดบางคนซึ่งก็เคยเจอสภาพสังคมความเป็นอยู่แบบนี้มาก่อน ในส่วนที่แปลกสำหรับทุกคนก็คงเป็นเรื่องเด็กๆที่มีความน่ารักและก็สนใจในตัวพวกเรามากๆ

Reflection 16



Reflection 17

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
ผมคิดว่าจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากการไปนอกสถานที่ครั้งนี้ เพราะผมคิดว่าเรามีโอกาสน้อยมากที่จะได้พูดคุย และได้มาเห็นสถานที่ที่คนในชุมชนต่างๆพักอาศัยอยู่ ผมก็อยากมาเห็นว่าสลัมคืออะไร ผมมีความรู้น้อยมากเกี่ยวสลัมในกรุงเทพ เคยเห็นแค่ในทีวี เพราะว่าผมเกิดต่างจังหวัด ซึ่งก็อยากมาเห็นอยากรู้ว่าสังคมที่เค้าเรียกว่าสลัมจะน่ากลัวอย่างที่เค้าว่าไหม

2.ประสบการณ์เรียนรู้
จากที่ผมได้เห็นตั้งแต่อยู่บนรถตู้ ก็ดูเป็นบ้านคนทั่วไป บ้านติดๆกัน ก็ใช้ชิวิตปกติมีร้านค้า มีร้านข้าว ติดที่คนจะเยอะ ปริมาณฝุ่นก็เยอะ ถนนแคบ
ได้เข้าไปในชุมชนเชื่อเพลิงนอก เดินเข้าไปนิดเดียวก็ถึงโรงเรียนเลย ได้เข้าไปตอนเด็กๆทำกิจกรรม เล่นเกมกันอยู่พอดี ครูเลยให้เข้าไปเล่นด้วย เป็นเกมเก้าอี้ดนตรี น้องบางคนก็เขิน ๆ ที่เห็นคนแปลกหน้า แต่บางคนก็เต้นออกมาโดยไม่ได้สนใจ ซึ่งน่ารักมากครับ ได้ฟังครูใหญ่ที่นั้นบอกว่าเด็ก ๆ ที่นี้จะมีเก่งกว่าเด็กทั่วไปอยู่ คืออยู่เตรียมอนุบาล ,อนุบาล 1-3 หลายคนสามารถเดินทางไปกลับบ้านเองได้ เพราะว่าพ่อแม่เค้าไม่ค่อยมีเวลาว่าง ส่วนมากหาเช้ากินค่ำ คิดว่าเด็ก ๆ เก่งกันมากเลย เพราะตอนอนุบาลแม่ผมมาส่งผมยังร้องไห้ทุกเช้าอยู่เลย ได้เห็นความสดใสจากเด็ก ๆ ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ ได้เล่นเกม ได้เรียนเขียนอักษร ได้ระบายสี ครูใหญ่ยังบอกอีกว่าเด็ก ๆ รุ่นนี้ เบื่อง่ายเลย หากิจกรรมพวกเกมมาให้เล่นบ่อยๆ เด็กจะรู้สึกสนใจเป็นพิเศษ สลับกับการเรียน เพื่อให้เด็ก ๆ สนใจการเรียนด้วย

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
การได้ออกมาเรียนรู้นอกสถานที่ครั้งนี้ เห็นการเป็นอยู่เล็ก ๆ ของคนในชุมชน ได้รับความรู้สึกว่าคนที่เป็นคุณครูของเด็ก ๆ จะต้องเสียสละ และอดทนสูงแน่ ๆ รับรู้ได้ว่าคุณครูแต่ละคนมีความใจดี มีพลังงานเยอะ ได้อยู่กับเด็ก ๆ เยอะน่าจะมีผลด้วยส่วนนึง ผมไปอยู่กับเด็ก ๆ แปปเดียวยังรู้สึกกระตือรือร้น อยากทำความรู้จัก อยากเข้าไปเล่นด้วย

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ผมได้รู้ว่าชุมชนสลัมที่เห็นในทีวี กับของจริง ไม่ได้เป็นเหมือนกันทั้งหมด เท่าที่เห็นก็แค่เป็นชุมชนแออัดเฉย ๆ ไม่ได้น่ากลัวอะไรมาก แต่แอบตกใจตอนเค้าตั้งวงเล่นไพ่กันกลางซอย ซึ่งแอบคิดในใจว่าเค้าไม่กลัวตำรวจกันเลยหรอ

หลังจากเจอเด็ก ๆ แล้วผมคิดได้ว่าอยากจะสต๊าฟความสดใสของเด็ก ๆ ไว้ ให้เค้าได้สดใสแบบนี้ต่อไป แต่ทำไม่ได้ ก็อยากจะให้เด็ก ๆ เลือกทางที่ดี เชื่อว่าถ้าได้รับโอกาสในการศึกษาแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ น้องจะเลือกทางที่ดี ที่ถูกต้องแน่ ๆ ครับ

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง
ผมได้เห็นความสดใสของเด็ก ๆ อยากจะเก็บไว้ให้น้องยิ้มนาน ๆ อยากจะช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน ทั้งครอบครัว เพื่อน และคนรู้จัก เท่าที่เราสามารถช่วยได้ และไม่เดือนร้อนตัวเอง อาจจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ สำหรับเราที่เป็นผู้ให้ แต่สำหรับผู้รับอาจจะเป็นสิ่งที่เค้าต้องการ ถ้าเผื่อผมช่วยเหลือได้ก็อยากที่จะช่วยเหลือครับ

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
ตอนที่ทำกิจกรรมเสร็จแล้ว กลับมานั่งรวมแล้วให้เพื่อน ๆ พูดถึงชุมชนแต่ละที่เห็นได้ว่าน้อง ๆ ดีใจมากที่เราไปหาน้องยิ้มให้ตลอด ตอนเรากลับน้อง ๆ วิ่งเข้ามาจับมือ ถ่ายรูปกัน น้องๆน่ารักกันทุกคนเลย ปกติผมจะไม่ค่อยชอบอะไรที่ควบคุมไม่ได้ คุยไม่รู้เรื่อง เช่น เด็ก ,แมลงสาบ แต่พอได้ไปก็รู้สึกชอบเด็ก ๆ มากขึ้นครับ ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย รู้สึกเค้าน่ารักกับเรามากก

Reflection 18

ก่อนมาที่สลัมคลองเตยผมก็คิดไว้ว่าน่าจะภาพประมาณไหนเเต่ก็เเค่จินตนาการไปไกลคิดว่าคล้ายๆกับอินเดียที่เคยเปิดดูในยูทูปและก็ไม่เคยหาภาพหรือข้อมูลอะไรหรอกเเต่มาจริงๆก็รู้สึกแออัดอยู่น่ะและก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าอยู่นักเเต่น่าอยู่กว่าภาพในหัวที่จินตนสกาไว้อยู่เเต่ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเด็กที่ศูนย์อะไรนักหรอกเพราะมัวเเต่จินตนาการ

พอไปถึงที่ศูนย์เด็กเเละพบคุณพ่อบาทหลวงกับพี่ๆที่เป็นทีมงานก็รู้สึกว่าประทับใจเเละดีใจที่มีคนสนใจใส่ใจกับเด็กที่สลัมคลองเตยเเละที่อื่นๆในกทมและปริมณฑลที่ตั้งมูลนิธิให้เกิดขึ้น เพราะตอนนั้นไม่ค่อยมีเบื้องหลังเกี่ยวกับศูนย์เด็กเท่าไหร่นักว่าใครต้องดูแลหรือมีงบประมาณจากภาครัฐไหม

ตอนไปเยี่ยมน้องๆกลุ่มผมก็ไปศูนย์เด็กตรงเเฟลตเข้ามาก็ไม่ค่อยน่าอยู่เท่าไหร่น่ะเเถวๆนั้นตามที่บอกไปเเต่ก็ไม่ได้เเย่มากส่วนเพื่อนอีกกลุ่มก็เดินเข้าไปต่อในซอยเพื่อไปอีกศูนย์เด็กนึง

ศูนย์เด็กตรงเเฟลตที่ผมไปมันไม่ต้องเดินไงคือขับรถมาจอดตรงข้างหน้าเลยก็เลยไม่รู้ว่าของเพื่อนคนอื่นๆเป็นยังไงเเต่ก็ได้ถามอยู่เพื่อนๆก็บอกว่าดูน่ากลัวอยู่

ตอนไปถึงกลุ่มผมก็ไปเล่นกับน้องๆเลยตั้งแต่เตรียมอนุบาลถึงอนุบาล2แต่อนุบาล3เเค่ไปคุยเฉยๆ
ผมรู้สึกว่าน้องๆน่ารักเเจ่มใสมากต่างกับชุมชุมที่ดูมืดหม่นเเละเเออัดทำให้ผมลืมไปเลยว่าเราอยู่ในสลัมคลองเตย

ขณะที่เล่นกับน้องๆผมก็สังเกตอะไรหลายๆอย่างทั้งการที่น้องๆอนุบาล3ที่ดูไม่ค่อยพูดดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเด็กอนุบาล1 2 มากจนตกใจอยู่

อีกอย่างก็คือเพื่อนบางคนเข้ากับเด็กได้ดีมากจนผมแปลกใจ ก็รู้สึกดีใจที่เห็นเพื่อนในด้านนี้น่ะส่วนผมเองก็กลางๆน่ะพอได้อยู่ในการเข้าหาเด็กอาจเพราะเคยมีหลานอยู่ที่อายุห่างกันเกือบ10ปีทำให้พอเล่นกับน้องๆได้อยู่ และเข้าใจว่าเเค่ชวนน้องคุยหรือเล่นเเค่โยนลูกบอลส่งไปมาน้องๆก็มีความสุขมากที่เรามาเล่นกับน้องๆเเละเติมพลังด้านบวกให้กับเรามากอย่างที่พ่อบาทหลวงบอกว่าเราไปรับจากน้องๆไม่ใช่ไปสอนน้องๆ

เเต่พอจะกลับก็รู้สึกว่าน้องๆนี่จะกลับไงน่ะชุมชนดูอันตรายเเละเเออัดมีบางคนที่มีผู้ปกครองมารับเเต่มีบ้างที่กลับเองผมก็เลยรู้สึกกังวลใจอยู่

การที่เราไปศูนย์เด็กมาก็ทำให้เราสนใจเรื่องนี้มากขึ้นเเละทำให้รู้สึกว่าประเทศไทยก็มีปัญหาในด้านนี้อยู่เเละอยากให้รัฐบาลมาช่วยดูเเลเด็กๆเพราะเป็นอนาคตของชาติ เเละรู้สึกอยากไปเยี่ยมน้องๆตามที่ต่างๆถ้าสะดวกไป

ก็อยากเสนอเเนะก็ผมอยากไปอีกซักศูนย์นึงเพื่อเห็นข้อเเตกต่างของเเต่ละที่เเต่ก็เข้าใจในด้านเวลาของวิชานี้ เเต่ที่พาเรามาผมก็รู้สึกดีใจเเล้วที่เห็นด้านนี้

Reflection 19

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
รู้จากอาจารย์มาตั้งแต่สัปดาห์ก่อนหน้าว่าจะได้ไปในบริเวณคลองเตยซึ่งผมไม่เคยไปมาก่อน จึงคิดว่าต้องเป็นประสบการณ์ที่ดีมากอย่างแน่นอน

2.ประสบการณ์การเรียนรู้
วันนี้มาขึ้นรถตู้ช้ารู้สึกกลัวเป็นอย่างมากแต่โชคดีที่มีเพื่อนมาช้ากว่าผม รถตู้ได้พาไปส่งที่มูลนิธิMercy center ไปถึงได้พบกับบาทหลวงโจเซฟ เอชไมเออร์ ซึ่งท่านเป็นคนก่อตั้งโรงเรียนสำหรับเด็กในชุมชนโดยก่อนที่จะไปทำกิจกรรมท่านได้แนะนำให้คิดว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากเด็กจากการสังเกตุพฤติกรรมของเด็กเหล่านั้น หลังจากนั้นได้แบ่งกลุ่ม6คนไปตามสถานที่ต่างๆ โดยกลุ่มผมเดินทางไปที่ศูนย์เด็กปฐมวัยริมทางรถไฟ โดยระหว่างทางที่เดินไปรู้สึกถูกเพ่งเล็งจากคนในพื้นที่ คิดว่าน่าจะมาจากกลุ่มผมเป็นผู้ชายล้วน

พอไปถึงที่ศูนย์ได้พบว่ามีเด็กๆมารอทำกิจกรรมอยู่แล้ว โดยระหว่างทำกิจกรรมได้สังเกตุว่าพวกเด็กๆดูมีความสุขกับการมาของเราและตั้งใจทำกิจกรรมเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นได้สัมภาษณ์คุณครูที่ดูแล้วสถานที่ โดยผมถามท่านว่าอะไรที่ทำให้เลือกมาทำงานประเภทนี้ ท่านตอบว่ารูสึกมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือและมีความผูกพันกับเด็กเป็นอย่างมาก และยังเล่าให้ให้ฟังว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กที่น่าสงสาร มาจากครอบครัวที่ไม่สมบรูณ์แบบ บางคนพ่อแม่แยกทาง บางคนแม่ผูกคอตายต่อหน้า และบางคนถูกล่วงละเมิดทางเพศ พอได้ฟังเหตุการณ์ที่ท่านเล่าทำให้ผมรู้สึกโกรธกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม คนบางกลุ่มมีสิทธิพิเศษทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องเรียกร้องอะไรแถมยังมีคนบางกลุ่มสนับสนุนคนกลุ่มนี้ ส่วนคนอีกกลุ่มนึงแถบไม่ได้รับสิทธิอะไรเลย แถมยังไม่มีคนมาสนใจและถูกมองข้ามจากคนในสังคม ที่ทำให้โมโหเป็นพิเศษเมื่อคิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีการตั้งคำถามกับความไม่เท่าเทียมเหล่านี้และทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องปกติ หลังจากสัมภาษณ์เสร็จได้กลับไปที่มูลนิธิเพื่อเตรียมตัวกลับมหาวิทยาลัย

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ก่อนหน้านี้ไม่เคยทราบมาก่อนว่ายังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้รับโอกาสมากมายขนาดนี้ ซึ่งไม่มีใครมาให้ความสนใจที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
พอได้มารับรู้กับเหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้เข้าใจในกลุ่มคนต่างๆในสังคมมากขึ้น เมื่อเห็นว่าเด็กๆเหล่านี้ต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและขาดโอกาสต่างๆในสังคมอย่างมาก มันทำให้คิดว่ามีโอกาสที่สูงมากเมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะเลือกเป็นคนในแบบที่เค้าได้เติบโตมา เพราะไม่มีใครมาแก้ปัญหากับเรื่องเหล่านี้

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตัวเอง
คิดว่าถ้ามีโอกาสจะหาเวลามาทำกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เพราะตระหนักว่ายังมีกลุ่มคนไม่ได้รับโอกาสและถูกมองข้ามจากสังคมแบบนี้อยู่อีกมาก

Reflection 20

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : คาดหวังว่าจะได้พบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ หรือ อะไรใหม่ๆที่ไม่เคยเจอ ความหวังว่าจะไม่ต้องทำกิจกรรมที่ทำให้น่าเบื่อเจอเเต่อะไรที่ตื่นเต้น

2.ประสบการณ์เรียนรู้ : ได้รู้ว่ายังมีสลัมที่มีพื้นที่เยอะมากๆอยู่ใน กทม. ได้ฟังวิดิโอคราวๆของศูนย์ช่วยเหลือเด็ก ทำให้รู้เเนวทางคราวๆของศูนย์ รู้สึกดีใจมากๆที่มีคนที่ชอบทำเพื่อคนอื่นเยอะขนาดนี้ ได้รู้เกี่ยวกับสภาพในสลัมอย่างตอนเดินเข้าทางเข้าก็เป็นทางรถไฟ มอไซด์เข้าไม่ได้ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจมากเพราะเคยเจอซอยที่มอไซด์เข้าไม่ได้บ่อยๆ ได้เห็นเด็กๆที่ดูขาดความอบอุ่นมากๆ ตอนเดินเข้าไปโรงเรียนที่สอนน้องๆ เด็กๆก็รีบเดินเข้ามาจับมือ แล้วแต่ละคนก็บอกอยากเล่นด้วย ผมเลยคิดว่าเด็กๆคงจะเหงากันมากๆ เลยพยายามคุยเล่นกับน้องให้ได้มากที่สุดครับ

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม : ได้เห็นมุมมองใหม่ๆของสลัม ที่เราไม่เคยสัมผัสมากก่อน โดนปกติผมเคยเห็นสภาพในสลัมย่อยๆบ่อยๆ เเต่ที่นี้ใหญ่มากมีโรงเรียนที่สอนเเล้วก็ค่อยช่วยเหลือเด็กถึง22เเห่ง รู้สึกตกใจมากเพราะมันเยอะมากๆครับ เเล้วยังได้สัมผัสน้องที่ด้อยโอกาสบางคนโดนทารุณ เห็นได้ชัดว่าบางคนไม่กล้าที่จะเล่นด้วย เหมือนกลัวๆไม่ไว้ใจ บางคนก็ดูไม่ค่อยเปิดใจ โดยรวมเเล้วผมมีความสุขเเล้วก็ชอบมากๆครับที่ได้เจอน้องๆทำให้น้องยิ้มสนุกกันเเค่ไม่นานก็ยังดี

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : ได้รู้เกี่ยวกับ การทำงานของศูนย์ช่วยเหลือเด็ก การทำงานของคุณครูที่อยู่ในศูนย์เพราะได้ไปสัมภาษณ์มา ทำให้รู้ว่านอกจากครูจะสอนเด็กเเล้วยังต้องค่อยช่วยเหลือเด็กที่โดนทารุณกรรม บางทีต้องเเอบเอาเด็กที่โดนทำร้ายมาออกจากบ้าน
เพื่อเข้าไปอาศัยในศูนย์เเทน รู้สึกว่าคุณครู จิตใจเข้มเเข็งมากครับ ที่ต้องอยู่ในสถานที่เเละสถานการณ์เเบบนี้

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง : จะนำเอาความคิดความรู้สึกในวันนี้ที่ได้ มามอบความสุขให้กับน้องๆ ไปใช้กับที่อื่นครับ พึ่งรู้ว่าชอบที่จะไปอะไรเเบบนี้

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน : ตอนเเรกที่จะไปหาน้องๆก็เเยก
กลุ่มกันบนรถตู้ โดนกลุ่มผมเป็นผู้ชายทั้งหมดเลย ก็คิดว่าจะเข้ากันกับน้องๆได้ไหมเพราะผู้ชายเยอะเเต่พอจริงๆ ทุกคนก็เปลี่ยนไปหมดจากที่เดินกันเข้ามาเหนื่อยๆก็เป็นทำหน้าตายิ้มเเย้มคุยกับน้องพยายามจะเข้าหาน้องๆ เพื่อเล่นกันทุกคนรู้สึกดีใจเเละอบอุ่นดีครับ

7.ข้อเสนอเเนะ : ดีทุกอย่างเเล้วครับอาจารย์ ขอบคุณมากครับ

ตอนสุดท้าย

Comments