รวม Reflection ของการไปสลัมคลองเตย (1/3)

คลาสเราไปเยี่ยมเด็กๆ ที่ศูนย์เด็กเล็กของ Mercy Center วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๒ คิดว่าพี่ตู่และสตาฟของ Mercy Center น่าจะอยากอ่านด้วย ก็เลยเอามารวมๆ กันไว้ที่นี่ มีเด็ก ๓๐ คน เรียงตามลำดับการส่งค่ะ

ขอบคุณอ.หมอพนม เกตุมานที่ให้รูปแบบหัวข้อการเขียน Reflection ค่ะ

Reflection 1

ในวันนี้ป่วยไม่ค่อยสบายเลยรู้สึกอ่อนเพลียอยากนอนและไม่พร้อมไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ที่สลัมคลองเตย พอได้ขึ้นรถตู้จึงหลับตลอดทางจนถึงที่หมาย

ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ ผมคิดว่าน่าจะเป็นการที่เราได้ไปพบปะกับเด็กๆที่ประสบกับปัญหาครอบครัว เด็กที่ขัดสนด้านการเงิน หรือปัญหาด้านต่างๆ ให้เราได้ไปเห็นเค้าเพื่อให้เราได้เข้าใจว่ามีคนอีกมากมายที่ยังยากลำบาก เพื่อให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองมีมากขึ้นและช่วยเหลือผู้อื่นตามกำลังที่เรามีเมื่อมีโอกาส

2. ประสบการณ์การเรียนรู้ เมื่อถึงที่หมายคือ สลัมคลองเตยก็ได้ไปที่มูลนิธิ Mercy Centre ศูนย์ใหญ่ ซึ่งเป็นบ้านพักสำหรับเด็กเร่ร่อน และยังมีโรงเรียนที่คอยสอนเหล่าเด็กๆ ที่มีปัญหา ทางด้านครอบครัวหรือปัญหาต่างๆ โดยมูลนิธิแห่งนี้ก็จะให้การช่วยเหลือและดูแลเหล่าเด็กๆ ในตอนแรกทางทีมงานและคุณพ่อ(บาทหลวง) ก็ได้มาพูดคุยแนะนำเกี่ยวกับมูลนิธิ จากนั้นทางพวกเราก็ได้แยกกลุ่มกันไปยังจุดต่างๆ ของมูลนิธิที่คอยให้การช่วยเหลือในเขตสลัมคลองเตย โดยกลุ่มของพวกผมได้ไปยังเขตแฟลตที่ซึ่งมีศูนย์เมอร์ซี่ตั้งอยู่ ได้พบกับทางคุณครูและได้พบกับเหล่าเด็กๆ ที่กำลังทำกิจกรรมระบายสีอย่างสนุกสนาน เมื่อพวกผมเข้าไปก็ได้เห็นเหล่าเด็กๆ ที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและมีความสุขกับเพื่อนๆ กลุ่มของพวกเราก็ได้เข้าไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มของน้องๆ ตั้งแต่รุ่นเตรียมอนุบาลไปจนถึงเหล่าเด็กๆ ที่อยู่ในอนุบาลสาม ระหว่างที่เพื่อนๆ กำลังเล่นกับน้องๆ อย่างสนุกสนาน ผมก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับทางคุณครูที่เป็นผู้ดูแลศูนย์เมอร์ซี่แห่งนี้

คุณครูบอกว่าที่นี่เปิดมา 20 กว่าปีแล้ว และตัวครูผู้สอนเองก็ทำงานให้กับมูลนิธิแห่งนี้มานานกว่า 40 ปี แกบอกว่าที่นี่เป็นศูนย์ดูแลเด็กเล็ก โดยเด็กๆ ส่วนใหญ่ของที่นี่ครอบครัวพวกเขาต่างมีปัญหากันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ติดยา เสียชีวิต ทอดทิ้ง หรือปัญหาต่างๆ ถ้าหากไม่มีศูนย์นี้ก็คงจะมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้รับคำชี้แนะหรือความอบอุ่น ซึ่งเมื่อพอเด็กๆเหล่านี้เมื่อเติบโตไปอาจทำให้เค้ากลายเป็นปัญหาต่อสังคมในภายภาคหน้าได้ สิ่งที่ครูได้บอกผมไว้คือ แม้เด็กๆเหล่านี้จะมากจากครอบครัวที่มีปัญหา หรือตัวเด็กๆ ที่มีปัญหาเอง ซึ่งเกิดจากการชักนำไปในทางที่ผิดเช่น เด็กติดยา หรือ เด็กเร่ร่อนก็ตาม แต่ทางคุณครูก็ไม่เคยมองพวกเค้าเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดีเลย พวกเค้าก็แค่เหล่าเด็กๆที่มีปัญหาหรือถูกชักจูงไปในทางที่ผิดก็เท่านั้นเอง หน้าที่ของเราคือดูแลและให้โอกาสพวกเขาเพื่อให้พวกเขากลับมาเป็นที่ยอมรับในสังคมเมื่อพวกเค้าเติบโตขึ้นต่อไป

ในความรู้สึกผม ผมคิดว่าสิ่งที่เหล่าคุณครู ทีมงาน หรือทางคุณพ่อ(บาทหลวง) ได้ทำลงไปนั้น เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและรู้สึกเคารพพวกเขาเป็นอย่างมาก กับสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับสิ่งที่พวกเขาเสียสละ ถ้าหากไม่มีพวกเขาก็คงจะมีเหล่าเด็กๆ อีกมากที่ไม่ได้รับการดูแลและช่วยเหลือ และสิ่งที่ผมได้ในวันนี้คือการได้มองเห็นความสุขจากการให้ หรือการเสียสละช่วยเหลือผู้อื่น ถึงแม้มันจะเป็นการเสียสละของเหล่าคุณครูหรือทีมงาน แต่พวกเขาเหล่านี้ไม่มีท่าทีเหนื่อยหรือท้อใจเลย พวกเขาคอยดูแลให้ความรู้และให้ความอบอุ่นแก่เด็กๆ ผมจึงชื่นชมและเคารพพวกเขาเป็นอย่างมากที่ถึงแม้เหล่าเด็กๆ จะมีปัญหาจากครอบครัวหรือสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เหล่าคุณครูและทีมงานก็ยังคงสามารถรักษารอยยิ้มและความสุขของเด็กๆ เอาไว้ได้ มันเป็นความสุขภายในใจของตัวเองที่บอกไม่ถูกอย่างน่าประหลาด

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม หลายๆคนได้บอกผมไว้ว่า การรู้จักให้ก็คือความสุขอย่างหนึ่ง ถึงแม้ในสังคมทุกวันนี้จะมีการแก่งแย่งและการแข่งขันสูงเพื่อไขว่คว้าหาความสุข แต่ก็ยังมีเหล่าคนที่คอยให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอยู่อย่างแท้จริง และพวกเขาก็มีความสุขที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ด้วย มันจึงทำให้ผมได้เห็นภาพชัดเจนขึ้นถึงสิ่งที่หลายๆ คนเคยบอกผมไว้ว่า การให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนคือความสุขอย่างหนึ่ง ในวันนี้มันทำให้ผมได้เห็นภาพของคำพูดนั้นชัดเจนขึ้นยิ่ง

4. การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น พูดถึงเหล่าบุคคลที่เคยมีคดีติดยาหรือมีปัญหามาก่อน อย่ามองคนเหล่านี้ในทางที่ไม่ดีเลย ถ้าหากพวกเขาพร้อมที่จะกลับใจ เพราะพวกเขาอาจจะไม่ได้รับการสอนในสิ่งที่ถูก พวกเขาอาจจะถูกทอดทิ้ง หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้รับความอบอุ่นมาก่อน แต่เมื่อเขาอยากที่จะกลับใจ สิ่งที่เราควรทำคือให้โอกาส เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการอาจจะเป็นเพียงแค่การยอมรับจากคนในสังคมเพียงเท่านั้นเอง

5. การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตัวเอง ก็คงจะเป็นการให้และการช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น ถ้าหากเรามีกำลังกายและกำลังทรัพย์เพียงพอ เมื่อมีใครต้องการความช่วยเหลือ หากไม่เป็นการลำบากจนเกินไปก็ยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือครับ

6. การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน ได้เห็นว่าความไร้เดียงสาและรอยยิ้มของเด็กๆ คือสิ่งที่ทำให้ทุกๆ คนในกลุ่มผมมีความสุข ขอบคุณเหล่าทีมงานและคุณครูทุกคนที่ช่วยรักษารอยยิ้มของเด็กๆ เหล่านี้ไว้ครับ

Reflection 2

ในวันนี้เป็นการเรียนนอกสถานที่ของวิชานึ้ครั้งที่ 2 โดยคราวนี้ได้ไปที่สลัมคลองเตย ภาพในหัวตอนแรกที่รู้ว่าจะไปที่สลัมคลองเตยเท่าที่รู้คร่าวๆประมาณว่าที่นั่นน่าจะมีพวกความรุนแรงบ่อยครั้งหรือเรื่องยาเสพติด แล้วจะปลอดภัยมั้ย? แต่อาจารย์ก็บอกไว้อาทิตย์ที่แล้วว่าต้องลองไปสักครั้งเพื่อไปส่องดูชีวิตของคนที่นั่น ซึ่งมันก็จริงนะครับ เพราะว่าในชีวิตคนเราถ้าไม่มีธุระหรือเรื่องอะไรที่จะต้องไปทำก็คงไม่ไปเด็ดขาดเพราะภาพในหัวที่สลัมคงเป็นที่ที่แย่มากๆ แต่การไปครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คนอื่นไม่น่าจะมีและคงไม่กล้าลองเข้าไปแน่ๆ แต่ถ้าเราได้เข้าไปก็จะได้เห็นภาพจริงๆเลยว่ามันตรงกับภาพในหัวของผมตอนแรกหรือเปล่า

ตอนแรกที่ไปถึงที่ศูนย์ Mercy center ตอนเข้าไปผมเห็นแต่เด็กๆที่ใส่ชุดนักเรียนซึ่งตอนนั้นผมคิดว่านี่ใช่เด็กสลัมจริงๆหรอ หลับกันสบายเลย ทำไมดูไม่ต่างกับเด็กปกติเลย ซึ่งมารู้ทีหลังว่าที่ศูนย์นี้ดูแลเด็กในย่านสลัมคลองเตยโดยมีบาทหลวงโจเซฟและทีมงานดูแลโครงการนี้ ซึ่งผมเดาว่าน่าจะดูแลกันดีและอบอุ่นกันมากๆ ถ้าไม่บอกว่าเป็นเด็กในสลัมผมก็คงดูไม่ออกเลย หรือว่าผมอาจจะโตจากต่างจังหวัดด้วยมั้งครับเลยดูไม่ออก ไหนจะเรื่องโครงการการต่างๆในโรงเรียนเช่น ธนาคารขยะ ทำให้ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างกับโรงเรียนปกติเลย ก่อนที่จะออกจากศูนย์ไปทำกิจกรรมต่อ ผมเห็นบาทหลวงคุยกับเด็กๆแล้วดูอบอุ่นมากๆครับ แล้วผมก็ได้ฟังโครงการของศูนย์นี้ในเรื่องการเรียนต่อให้สูงถึงขั้นมัธยมศึกษา,วิชาชีพ และการดูแลเด็กพิเศษ ที่จังหวัดเพชรบุรี ทำให้ผมรู้สึกว่าศูนย์นี้ช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ขาดกับเด็กๆเหล่านี้ได้ดีมากๆ แล้วก็ไม่มีการแบ่งแยกเด็กๆเลย

ต่อมาตอนถึงโรงเรียนผมไปกับพี่ซะ ในช่วงทางเข้าผมก็เข้าใจแล้วว่าสลัมของจริงมันเป็นยังไง ทางเข้าไปในโรงเรียนนี่คือเป็นทางเดินได้คนเดียวชัดๆ สภาพแวดล้อมดูแออัดกันมากๆ ผมเห็นเกือบจะทุกห้องพักในสลัมเป็นห้องเล็กมากๆ แบบว่าเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เดินแค่สองสามก้าวจากเตียงก็ออกมาหน้าห้องได้แล้ว แต่ผู้คนผมดูแล้วก็ปกติดีนะครับ มีการทักทายกับผู้คนในสลัมระหว่างทางเข้าตลอด หรือเพราะว่าพวกผมมากับพี่ซะเลยรู้สึกว่าคนในสลัมก็พูดคุยเป็นกันเองดีนะครับ ไม่ต่างจากชุมชนเล็กๆที่ต่างจังหวัดเลย แต่ก็ต่างกันแค่สภาพแวดล้อมที่รู้สึกอึดอัดก็เท่านั้นเอง ตอนถึงที่โรงเรียนพี่ซะก็บอกว่าโรงเรียนที่นี่เคยเป็นโรงเชือดเก่ามาก่อน แต่ก็สร้างใหม่เป็นโรงเรียนเล็กๆ ห้องสี่เหลี่ยมที่อาจจะเล็กกว่าห้องเรียนในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ แต่น้องๆก็ดูอบอุ่นแล้วน่ารักกันมากๆ แทบไม่ต่างกับวัยอนุบาลของผมที่เรียนโรงเรียนเอกชนเลย

น้องๆกับคุณครูก็เป็นกันเองกับพวกผมมากๆ ตอนแรกผมกลัวว่าเราจะไปทำเด็กกลัวมั้ยนะ แต่ก็คงไม่แหละเพราะว่าผมเคยมีประสบการณ์เล่นกับเด็กนิดนึงก็น่าจะเข้ากับเด็กไม่น่ายากหรอก ครูที่โรงเรียนก็พาพวกผมทำกิจกรรมกับน้องด้วยการเล่นเกมส์เหยียบภาพสัตว์ตามภาพที่ชูขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้เล่นเกมส์นี้ด้วยเพราะว่าที่โรงเรียนนั้นผมเห็นเด็กพิเศษคนเดียวในศูนย์ ซึ่งน้องคนนั้นก็ลากผมคนเดียวจากกลุ่มที่มาด้วยกัน คุณครูก็แซวผมว่าเด็กคนนี้ถูกชะตากับเรานะ5555 น้องเค้าก็เล่นจับแขนเราทั้งหอมมือเรา ซึ่งผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันว่าจะเล่นกับเด็กพิเศษยังไงเพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน แต่ก็ทำได้แค่ลูบหัวน้องเบาๆแล้วพูดคุยด้วยเล็กน้องถึงแม้น้องเค้าจะดูโทรศัพท์ตลอดเวลาแล้วไม่ตอบเราก็ตาม55555 แต่น้องเค้าก็เกาะแขนเราตลอดเวลา

ผมเดาความรู้สึกกับความต้องการของน้องไม่ได้จริงๆ เลยทำได้แค่ให้น้องรู้สึกดีเมื่ออยู่กับเราก็เท่านั้นเอง ต่อมาคุณครูก็แยกผมกับน้องเค้าเพื่อที่จะพาผมไปทำกิจกรรมกับน้องๆที่เหลือ เลยได้เล่นเกมส์เก้าอี้ดนตรีแทนแต่ใช้แผ่นวงกลมแทนเก้าอี้เพื่อให้ทุกคนมาเหยียบในวงเดียวกันได้ ตอนนั้นเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กเลยครับ น้องๆก็น่ารักมากๆครับให้ผมอยู่ตรงกลางแผ่นวงกลมเลย แล้วมีน้องคนนึงเค้ามาเหยียบแผ่นวงกลมไม่ทัน คุณครูเลยให้ผมอุ้มน้องคนนั้นเข้ามาอยู่ในวงเดียวกัน เลยรู้สึกอบอุ่นมากๆเลยครับ ก่อนออกจากโรงเรียนคุณครูก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเด็กในโรงเรียนนี้มีหลายรูปแบบมาก ทั้งเด็กในสลัม,เด็กประเทศเพื่อนบ้าน และเด็กพิเศษที่พ่อแม่ไม่ยอมรับว่าเป็นจริงๆแล้วอยากให้เรียนรวมกับเด็กปกติ แต่เด็กพิเศษที่พ่อแม่ยอมรับว่าเป็นจริงๆเค้าก็จะส่งไปอีกโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนของเด็กพิเศษโดยเฉพาะ ทำให้ผมรู้ว่าที่นี่ไม่มีการแบ่งแยกประเภทเด็กเลย ทำให้รู้สึกว่าเด็กทุกคนถึงแม้จะแตกต่างแต่ก็เท่าเทียมกันจริงๆก็ตามรวมถึงการสนับสนุนที่ดีจากทางศูนย์,บาทหลวงโจเซฟและทีมงาน อย่างเช่นค่าอาหาร 20 บาทที่สารอาหารครบถ้วนและเรื่องการซ่อมแซมบูรณะโรงเรียน ตอนก่อนที่จะออกจากโรงเรียน น้องที่เป็นเด็กพิเศษยกสะพายกระเป๋าจะกลับไปกับพวกผมด้วยครับ5555

ต่อมาพวกผมก็ไปรวมตัวกันที่โรงเรียนอีกที่ก่อนกลับ ผมถึงก่อนกล่มอื่นเลยได้เล่นกับน้องๆเล็กน้อย แล้วตอนที่ทุกกลุ่มพูดสะท้อน ทุกกลุ่มก็พูดเป็นเสียงเดียวกันประมาณว่าทุกที่ก็อบอุ่นเหมือนกัน เด็กๆน่ารักแล้วก็ให้พวกเราเล่นด้วยกัน ต้องยอมรับว่าทุกศูนย์ดูแลน้องๆกันดีมากเลย ไม่รู้สึกว่าน้องๆเค้าขาดโอกาสเลย รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาของเด็กๆในระดับที่น้องเค้าสามารถจะไปได้โดยครูจะเป็นคนประเมินให้

การไปสลัมคลองเตยต้องยอมรับว่าภาพที่คิดในหัวตอนแรกกับหลังจากที่ไปมันต่างกันมากเลย ที่ศูนย์ Mercy center ดูแลน้องๆดีมากจนทำให้ผมรู้สึกได้ว่าน้องๆไม่ได้ต่างจากเด็กธรรมดาเลย ซึ่งเขาก็เป็นเด็กเหมือนกันแหละครับ แค่ต่างกันในเรื่องโอกาสและการสนับสนุนที่ดี รวมถึงสภาพแวดล้อมด้วย แต่ก็ได้การเติมเต็มจากศูนย์นี่แหละครับ อีกอย่างนึงคือการไปสลัมทำให้ผมรู้สึกว่าคนที่เจออะไรที่แย่ๆทั้งจากสภาพแวดล้อมรวมทั้งโอกาสเค้าก็ยังอยู่กันแบบมีความสุขได้ แล้วเราที่เป็นคนที่โตมาจากครอบครัวที่ดีกว่า สภาพแวดล้อมและมีโอกาสที่ดีกว่าทำไมเวลาที่เรารู้สึกทุกข์ใจหนักๆก็มักจะชอบคิดว่าคงไม่มีใครแย่ไปกว่าเราแล้วแหละ ต่อจากนี้ไปผมคงต้องมองมันใหม่แล้วแหละว่าเราไม่ได้เจอเรื่องที่แย่หนักๆมากอยู่คนเดียว ความทุกข์แค่นี้มันเล็กมากเมื่อเทียบกับคนในสลัมแต่เขาก็ยังอยู่กันได้ แล้วทำไมเราจะไม่ปรับตัวกับมันบ้างล่ะ ขอบคุณอาจารย์และศูนย์ Mercy center มากๆเลยนะครับที่ทำให้ผมปรับมุมมองบางอย่างในชีวิตไป รวมถึงเหมือนพาย้อนเวลากลับไปเป็นวัยเด็ก และพาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ที่คิดว่าคนอื่นคงไม่กล้าทำแล้วไม่คิดว่าตัวเองจะได้เข้าไปในสลัมแล้วปลอดภัยครับ

Reflection 3

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้-ตอนแรกคิดว่าการที่ไปเยี่ยมชมครั้งนี้คือแต่การที่เราได้ไปดูวิถีชีวิตของคนในสลัมคลองเตยอย่างเดียวไม่คิดว่าเราจะได้ไปเล่นกับน้องๆในโรงเรียนที่มูลนิธิเป็นคนดูแลอยู่ด้วย

2.ประสบการณ์การเรียนรู้-ถึงแม้จะเป็นแค่เพียงเวลาสั้นๆแต่การที่เราได้ไปเล่นกับน้องๆและเห็นด้วยว่าน้องๆมีความสดใส กระตือรือร้นที่อยากจะเล่นกับเรากลับเป็นอะไรที่ประทับใจมากและตอนที่กำลังจะกลับผมได้ก้มลงไปบอกน้องๆที่กำลังจะเดินกลับไปในห้องเรียนว่า”ตั้งใจเรียนนะ เป็นเด็กดีของพ่อแม่นะ” และมีน้องคนหนึ่งได้บอกกลับกับผมว่า “ผมเป็นเด็กดีของพ่อแม่อยู่แล้วครับ” มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื้นตันใจอย่างมากและคิดว่ามูลนิธินี้เป็นสิ่งสำคัญต่อเด็กๆนี้ที่จะเติบโตออกไปอย่างมีประสิทธิภาพได้

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม-ปกติแล้วถ้าเราจะไปเล่นกับเด็กที่ไม่รู้จักน้องๆเขาจะเกิดความกลัว ไม่อยากเล่นกับเราแต่กับน้องๆที่นี่ตอนผมไปถึงคือนั่งรอเพื่อที่จะไปเล่นกับพวกผมและเดินเข้ามาหาพวกผมอย่างที่อาจารย์บอกว่าเด็กๆพวกนี้ต้องการความรัก การเอาใจใส่

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น-การได้ไปพบเห็นความเป็นอยู่ของคนในชุมชนคลองเตยและได้มีโอกาสคุยกับคุณครูที่ประจำอยู่ที่โรงเรียน ได้รู้ว่าเด็กๆที่มาเรียนบางคนกำพร้าบางคนคุณครูต้องไปรับเองถึงที่บ้าน ได้เห็นความเต็มใจของคุณครูที่อยากช่วยเหลือน้องๆให้มีพร้อมทั้งความอบอุ่นและความรัก

5.การนำไปใช้ชีวิตประจำวัน-ทำให้ผมได้มองแง่คิดว่าการที่เราใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยในขณะที่น้องๆต้องอดมื้อกินมื้อกินอาหารไม่ครบ5หมู่มันทำให้รู้สึกว่าเราน่าจะนำเงินของเราเหล่านั้นมาแบ่งปันเป็นอาหารหรือช่วยเหลือน้องๆให้มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นแทน

6.การเรียนรู้จากเพื่อนที่ร่วมประสบการ์ณ-เพื่อนได้พูดถึงสิ่งที่เราค่อนข้างเห็นด้วยคือ ในขณะที่น้องๆต้องใช้ชีวิจฝตอยู่อย่างลำบากแต่ก็มีคนบางกลุ่มใช้ชีวิตได้อยู่อย่างสบายหน้าตาเฉยพร้อมที่จะโกงกินคนอื่นด้วย มันไม่มีความเป็นธรรมเลย.

Reflection 4

ในตอนแรกที่รู้ว่าจะต้องเข้าไปสลัมของเตยก็รู้สึกกลัวๆ เพราะเคยได้ยินมาในเรื่องไม่ค่อยดีเกี่ยวกับที่นี้มาก่อน

ตอนได้เข้าไปโรงเรียนก็รู้สึกเกร็งๆนิดหน่อย แต่พอครูที่โรงเรียนได้ชวนให้ลองเล่นกับน้องๆก็ทำให้ความรู้สึกเกร็งลดลง แล้วก็สนุกไปกับน้องๆในตอนนั้นในหัวไม่ได้คิดอะไรเลยคิดแค่ว่าเล่นกับน้องๆ สนุกกับน้องๆ แล้วทำให้น้องๆสนุก และมีรอยยิ้มที่ได้เล่นด้วยกัน. เพราะในตอนแรกที่เห็นจะมีน้องๆบ้างคนที่ดูไม่ค่อยยิ้ม หน้าตาดูเศร้าๆ แต่พอมาเล่นด้วยกันน้องเค้าก็เริ่มยิ้มขึ้นมา ทำให้เห็นแล้วรู้สึกดีขึ้นมา

โดยปกติแล้วหยกจะไม่ค่อยกล้าเข้ากับเด็กเท่าไร แต่พอมาในครั้งนี้หยกลองพยามายามจะเข้าหาน้องๆ มีความรู้สึกเกร็งๆกับน้องในช่วงแรกๆ แต่พออยู่ไปด้วยสักพักก็รู้สึกว่าเข้ากับน้องๆได้ดีขึ้น น้องๆบางคนคุยเก่งมากเลยแล้วก็มาชวนเราคุยด้วย และได้รับรู้ถึงความสดใสของเค้ารู้สึกดี และมีความสุขมากเลยที่ได้คุยกับพวกเค้า

ได้รู้มาจากครูที่โรงเรียนที่ได้เข้าไปว่า เด็กที่มาอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้มีหลายรูปแบบทั้งเป็นเด็กที่อยู่ในชุมชนแห่งนี้ และเด็กที่ไม่ได้อยู่ในชุมชนแห่งนี้ เด็กบางคนมาจากต่างจังหวัด หรือแม้กระทั่งเด็กพิเศษ ทำใหรู้ว่ามีเด็กที่มาเรียนที่นี้มาจากหลากหลายที่กันมากๆ แต่เค้าก็อยู่เล่นและเรียนรู้กันได้ดี

การที่หยกได้มีโอกาสเข้าไปคุยกับน้องๆครั้งนี้ ทำให้หยกอยากที่จะเข้าหาเด็กมากขึ้นและเริ่มทำความรู้จักกับเด็กมากขึ้น

เพื่อนบางคนในกลุ่มสามารถเข้าหาน้องได้เก่งมากเลย หยกก็เลยได้ลองมองจากเค้าแล้วเอามาลองใช้และปรับมาใช้ในแบบของหยกเองในการที่จะเข้าหาเด็กๆ

Reflection 5

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
เคยดูตามละคร ภาพในสลัมว่าเป็นยังไง ในหัวมีภาพอยู่เต็มไปหมด ทั้งน่ากลัว คนไม่ดีพลุกพล่าน แต่พอไปถึง ก็ค่อนข้างน่ากลัวถ้ามาคนเดียว มีความแออัด แต่เห็นภาพการใช้ชีวิตของคนในสลัมที่ปกติ ไม่มีภาพอย่างที่คิดไว้ว่าจะอันตราย มีร้านค้าขายของกัน เอื้อหนุนเกื้อกูลกัน น่ารักแปลกตาดีค่ะ

2.ประสบการณ์เรียนรู้
การไปสลัมคลองเตยในครั้งนี้ ทำให้เรียนรู้ได้หลายอย่างมากเลยค่ะ การใช้ชีวิตของคนในสลัมก็เหมือนการใช้ชีวิตของเราทั่วๆไป แต่อาจจะแออัด คับแคบ และฝุ่นละอองเยอะกับการใช้ชีวิตใจกลางเมือง หนูได้ยินที่ครูคนนึงพูดเรื่องสิ่งเหล่านี้จะคัดกรองคนที่อ่อนแอให้อยู่ไม่ได้ หนูมีความคิดเห็นเพิ่มเติมว่า ถึงเราจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะทำอะไรให้มันดีขึ้นได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่างด้วย
การได้ไปที่ศูนย์เด็กเล็ก ก่อนที่จะไปถึง หนูตื่นเต้นมาก เพราะหนูกลัวน้องจะดื้อ และไม่คุ้นกับคนแปลกหน้าที่มาหา แต่พอไปถึง หนูกลับได้เซอไพรส์กลับ น้องๆน่ารักมาก ดีใจมากที่เราไป เข้าไปเล่นด้วย ตอนได้เล่นกับน้องๆหนูรู้สึกได้ถึงความรู้สึกน้อง มีความสุข ดีใจ ตื่นเต้น สนุกสนานรวมไปหลายๆอย่าง หนูรู้สึกดีมากๆกับการมาครั้งนี้เติมพลังให้หนูได้ รู้สึกถึงความบริสุทธ์ของรอยยิ้ม ยิ้มที่น้องส่งมาถึงหนู หนูยังจำความรู้สึกนั้นได้อยู่เลยค่ะ

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
การเรียนรู้นอกห้องเรียนครั้งนี้ เห็นถึงความจริง ความเรียลของชีวิตคนเรา การให้ เป็นสิ่งสำคัญ แต่การได้รับก็ทำให้รู้สึกดีมากๆเช่นกันค่ะ ซึ่งในครั้งนี้ เป็นการได้รับความสุขส่งต่อ รู้สึกถึงการให้และการได้รับค่ะ มีความสุขมาก

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
รู้ว่าสลัมในกรุงเทพ ค่อนข้างแออัด อยู่ใจกลางเมือง มีความวุ่นวาย มีผู้คนหลากหลายแบบ แต่ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นเลย คือ มีคนส่วนหนึ่งได้ออกไปทำสิ่งต่างๆเพื่อตัวเอง เพื่อคนอื่น เพื่อคนในสังคม ไม่ได้มีแต่คนไม่ดี

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง
หนูจะพยายามช่วยเหลือทุกคนให้ได้มากที่สุด ให้ได้เท่าที่ให้ได้ และไม่เดือดร้อน อาจจะเป็นการให้ที่ไม่ใช่การบริจาคของ แต่อาจจะเป็นให้ความสุข หรือให้รอยยิ้ม
และมีความสุขกับเรื่องง่ายๆให้ได้มากที่สุด
จะให้ยิ้มให้กับคนอื่นบ่อยๆ เพราะการได้รับรอยยิ้มจากน้องๆก้ทำให้รู้สึกดีได้ เลยจะแบ่งปันให้คนอื่นยิ้มด้วยค่ะ

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
ได้ช่วยกันทำกิจกรรมกับน้อง ให้น้องเล่นกับเรา และฟังตอนที่เพื่อนพูดเรื่องที่แยกกันไปแต่ละที่ ทำให้รู้สึกได้ถึงความรู้สึกเดียวกัน คือ น้องๆทุกคนน่ารักมาก ดีใจมากที่เรามาหา และถ้ามีโอกาส ดูทุกคนก็อยากมาเล่นกับน้องๆบ่อยๆค่ะ

Reflection 6

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ : ตื่นเต้นค่ะเพราะไม่เคยไปที่นี่เลยนี่เป็นครั้งแรก เพราะหนูเคยไปแค่มูลนิธิเด็กอ่อน หรือเด็กอนุบาลไม่เคยไปที่เป็นชุมชนจริงๆแบบนี้ คาดว่าคงได้เห็นการใช้ชีวิตจริงๆ สภาพแวดล้อม และอะไรหลายๆอย่างค่ะ

2.ประสบการณ์เรียนรู้ : ก็ได้ลงพท.จริงโดยหนูได้ไปชุมชนเพลิงนอกค่ะ เริ่มจากทางเดินที่เข้าไปคือมันไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีห้องเรียนเล็กๆ ตั้งอยู่ในนี้ได้ค่ะแว๊บแรกที่เดินเข้าไปในห้องเรียนของน้องๆสิ่งแรกที่เห็นคือความสดใสในแววตาของน้อง มันมีแต่ความไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ออกมาแทบทุกคนเลยค่ะ จากนั้นคุณครูก็จัดให้น้องๆ ล้อมเป็นวงกลมเพื่อทำกิจกรรมเก้าอี้ดนตรี  น้องๆทุกคนพร้อมมากค่ะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พวกหนูก็ได้ร่วมเล่นด้วย ต่อมาก็กิจกรรมลุกนั่งน้องทุกคนเก่งมากค่ะมีสมาธิที่ดีมาก ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่หนูรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของน้องๆความพร้อมในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ

ที่สำคัญน่าจะเป็นความสุขที่มันออกมาจากแววตาเสียงหัวเราะรอยยิ้มต่างๆ ถึงห้องเรียนจะเล็กไม่มีแอร์ไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายแต่มันสร้างสิ่งเหล่านี้ให้น้องๆ ได้แล้ว

มันอะไรที่วิเศษและดีมากค่ะไม่จำเป็นต้องมีของแพงๆเลย มีแค่ความตั้งใจจากคุณครูความรักความเมตตา หนูเชื่อว่าน้องๆ ทุกคนได้รับความรู้ความสุขอย่างมากมายจากที่นี่จากคุณครูที่น่ารักของพวกเขา

จากนั้นได้สัมภาษณ์คุณครูที่ประจำ ก็ยิ่งที่ให้หนูชื่นชมน้องๆมากยิ่งขึ้น ว่าส่วนใหญ่จะช่วยเหลือตัวเองโดยเดินทางไปกลับโรงเรียนเอง แม้พวกเขาจะเด็กกันมาก ๆแล้วคิดอดห่วงแทนพ่อแม่ไม่ได้เนื่องจากด้วยสภาพแวดล้อมมันอาจจะไม่อำนวยมากมาย และน้องๆ มีหลายช่วงอายุอยู่ร่วมกันซึ่งดูรักกันดีค่ะเล่นกันอย่างสนุกสนาน

ประทับใจมากที่ก่อนพวกหนูน้องๆวิ่งเข้ามาถ่ายรูปเล่นกันแบบไม่กลัวเลยน่ารักมากๆค่ะ หลังจากนั้นก็ได้เดินผ่านชุมชนเพื่อมาขึ้นรถก็ได้เห็นสภาพภายในที่เป็นทางเดินเลนส์เดียวไม่ใหญ่และไม่เล็กมอไซต์วิ่งได้ ถือว่าแออัดในระดับนึงบ้านติดๆกันไม่มีสิ่งใดกั้นแบบชัดเจนบางบ้านก็เล็กมากๆทุกอย่างแทบมารวมกันจากทีสังเกตเห็น บางบ้านก็มีการปูกระเบื้องที่ดีขึ้น มีผู้สูงอายุหลายบ้านเลยค่ะ แต่ภายในชุมชนก็มีร้านโชว์ห่วย ร้านตามสั่งเล็กๆนะคะถือว่าเจริญไม่ได้ถึงกับไม่มีอะไรเลย แอบผ่านวงไพ่ด้วยค่ะเล่นกันจริงจังมาก555 ผ่านชุมชนเพลิงในแอบส่องเด็กๆ ที่นี่ก็น่ารักค่ะสดใสเหมือนกันเลยค่ะ

3.ความสัมพันธ์เกี่ยวกับการเรียนรู้เดิม : ตอนแรกนึกไว้ว่าสภาพต่างๆจะไม่ดีเท่านี้ค่ะ อะไรหลายๆอย่างอาจจะยังเข้าไม่ถึงและคิดว่าคงแออัดมากกว่านี้ แต่อาจจะเป็นเพราะมาในเวลาที่ทุกคนอาจจะยังไม่ได้กลับมาพักเลยไม่เจอผู้คนมากนัก จริงๆแรกๆที่เดินในนั้นก็แอบกลัวนะคะเราไม่คุ้นชินด้วย แต่ทุกคนก็ดูโอเคกับการมาของพวกหนูค่ะ แต่แอบเห็นผู้ใหญ่สูบบุหรี่ใกล้ๆห้องเรียนของน้องๆก็น่าเป็นห่วงไม่อยากให้น้องๆได้กลิ่นสิ่งเหล่านี้มากตั้งแต่อายุยังเด็กเพราะเราก็ไม่รู้ว่าเวลาที่ชุมชนมีผู้คนอาศัยเยอะเขาจะสูบแบบใกล้ๆเด็กแบบนี้มั้ย

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น : รู้สึกชีวิตมีอะไรให้เราได้เห็นได้เรียนรู้อีกเยอะเลยค่ะ นี่เป็นแค่ส่วนนึงจากไม่รู้กี่ชุมชนที่เป็นแบบนี้ ลึกๆในสิ่งที่เราไม่ได้สัมผัสยังไม่ได้มองเห็นมันอาจจะดีกว่านี้หรือแย่กว่านี้ก็ได้ เห็นน้องที่มาเรียนแล้วรู้สึกชีวิตที่ผ่านมาของเรา เราทำมันดีพอรึยังดีพอสมกับพ่อแม่ทุ่มทุนให้กับเรามั้ยไม่ว่าจะค่าเทอมที่แสนแพงตั้งแต่อนุบาล ค่าเสื้อผ้าอุปกรณ์การเรียนต่างๆจนทุกวันนี้ เราได้รับสิ่งเหล่านี้มาแบบไม่ขาดเลยเราใช้มันคุ้มรึยัง เรายังรู้สึกไม่มีความสุขไม่พอใจในสิ่งที่เรามีอีกหรอ ในเมื่อยังมีอีกหลายชีวิตในสังคมที่ยังไม่เคยได้มีแบบที่เรามีด้วยซ้ำ พวกเขามีเพียงไม่กี่อย่างมีสิ่งเล็กๆน้อยๆ แต่พวกเขาก็สามารถมีความสุขได้กับของที่อาจจะไม่ได้แพงหรูหรา อาหารที่ไม่ได้ส่งมาจากภัตรคาร แต่พวกเขากลับเห็นค่าและใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์มากๆมีความสุขกับสิ่งที่มี รู้สึกอยากให้ทุกคนมีควาาคิดที่เปลี่ยนใหม่ ให้รู้จักพอกินพอใช้ให้มากขึ้น อย่าไปยึดติดความสุขจากราคาหรือมูลค่าของสิ่งใดก็ตาม ให้หันมาใส่ใจให้ค่ากับสิ่งที่มีแล้วหนูเชื่อว่าทุกคนจะมีความสุขมากกว่าที่เคยค่ะ รู้สึกอยากขอบคุณอาจารย์นะคะที่ได้พาไปในสถานที่แบบนี้มันมีประโยชน์มากจริงๆ

5.การนำไปใช้ประโยชน์ : นำมาเป็นแนวคิดในการใช้ชีวิตกับตัวเองค่ะ รู้สึกพอใจกับชีวิตของตนเองมากขึ้นเห็นค่ากับสิ่งต่างๆมากขึ้น อยากขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างดีมากๆ อยากตอบแทนเขาให้ดีมากที่สุดเหมือนกับที่เขามอบชีวิตให้กับเรามา ถ้ามีโอกาสจะกลับไปสถานที่แบบนี้อีกแบบที่เคยไปบริจาคของเล็กๆน้อยๆคิดว่าจะเป็นประโยชน์แก่เด็กๆค่ะ อาจจะไม่สามารถนำไปสอนคนอื่นที่ไม่ได้มาด้วยได้มากเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าการที่เขาไม่เห็นกับตาคงรู้สึกไม่เท่าเราหรอกและอาจจะทำให้มีความเห็นต่างกันค่ะ

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน : ก็รู้สึกว่าทุกคนแฮปปี้นะคะถึงแม้จะมาสถานที่แบบนี้ ทุกคนได้เห็นรอยยิ้มจากคุณครูน้องๆที่มีแต่ความสดใสความสุขมันเหมือนได้เติมพลังบวกมากๆเลยค่ะ

Reflection 7

1.ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
สิ่งแรกที่นึกขึ้นมาได้เลย คือ อยากไปเห็นอยากไปลองสัมผัสดูว่าเป็นยังไง อยากรู้ว่ามันจะน่ากลัวเหมือนที่เคยได้ยินคนแต่ก่อนพูดไว้หรือเปล่า

2.ประสบการณ์เรียนรู้
การได้ไปที่สลัมคลองเตย เหมือนได้เห็นโลกกว้างขึ้น กว่าที่เราเคยได้เห็นในทีวี เพราะได้มาสัมผัสจริงๆ ตอนที่นั่งรถเข้าไป รู้สึกว่าทางค่อนข้างคับแคบ สภาพแวดล้อมดูแออัดไปหมด พอมาถึงที่ศูนย์ ได้เข้าไปนั่งฟังเกี่ยวกับศูนย์ว่าจัดตั้งมาเพื่ออะไร มันทำให้เราคิดได้ว่า ยังมีคนที่เขาต้องการความช่วยเหลือต้องการโอกาสเหมือนๆกับเรา พอถึงเวลาที่พี่ๆที่ศูนย์พาแยกกันไปเป็นกลุ่มๆตามศูนย์ต่างๆ พอไปถึงระหว่างทางเดินเข้าไปรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมค่อนข้างทรุดโทรม ทางเดินเข้าก็ดูคับแคบ แต่ไม่ได้รู้สึกแออัดมาก อาจเป็นเพราะช่วงเวลานี้ผู้คนยังไม่พลุกพล่าน ให้ความรู้สึกคล้ายๆตลาดน้ำตลาดโบราณที่เราเคยได้ไปเดินเที่ยว เพียงแต่ว่าที่นี่ บ้านแต่ละหลังมีพื้นที่จำกัดอยู่ติดๆกันมากทำให้ดูแล้วค่อนข้างแออัดเลยทีเดียว ใช้เวลาเพียงนิดเดียวในการเดินไปถึงศูนย์เด็กเล็กที่พี่พามา ตอนที่เราเข้าไปข้างใน รู้สึกได้เลยว่าเด็กดูดีใจมากที่เราไปหา ตอนแนะนำตัว เด็กๆให้ความสนใจมากดูมีความสุข ไม่ค่อยดื้อเลย พอได้ไปพาเด็กๆทำกิจกรรมรู้สึกสนุก และมีความสุข เหมือนเด็กๆช่วยเติมเต็มความสดใสในชีวิตให้ สร้างรอยยิ้มเสียงหัวเราะให้กับเรา จากที่สังเกตเห็นและได้สอบถาม ก็จะมีเด็กบางคนที่อาจจะมีความแตกต่างออกไปจากเพื่อน ต้องการการดูแลและความเข้าใจมากกว่าเด็กคนอื่น พอถึงเวลาที่ต้องกลับ รู้สึกยังอยากอยู่เล่นกับเด็กต่ออีกหน่อย เพราะเด็กๆดูมีความสุขมากที่เรามาหาและเล่นไปกับเขาด้วย

3.ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ความเข้าใจผู้อื่น อารมณ์ความรู้สึกของเด็กๆที่ได้เจอ การรับฟังสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

4.การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ทำให้รู้ว่า ในสังคมเรายังมีกลุ่มคนอีกมากที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการโอกาส อีกมาก ทำให้เรามองเห็นและใส่ใจคนอื่นๆรอบตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้จะมากจะน้อยไม่สำคัญ และยังทำให้รู้ว่าชีวิตคนเราทุกคนมีคุณค่าในตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะเป็นใครหรือสิ่งมีชีวิตอะไรก็ตาม

5.การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตของตนเอง
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในครั้งนี้ ทำให้เราอยากที่จะช่วยเหลือเด็กๆ หรือคนที่เขาขาดโอกาส ถ้าเราสามารถช่วยได้ก็อยากจะช่วยด้วยใจจริง นำความรู้สึกในด้านบวกนี้มาช่วยเป็นแรงผลักดันให้ตัวเองผ่านพ้นความรู้สึกแย่ๆที่เกิดขึ้นไปให้ได้

6.การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
จะเห็นได้เลยว่าเพื่อนๆทุกคนดูมีความสุขจริงๆ ที่ได้มาเรียนรู้และทำกิจกรรมแบบนี้ บางคนมองภายนอกอาจจะดูนิ่งๆไม่สนในสิ่งรอบตัว แต่พอเพื่อนๆทำกิจกรรมกับเด็ก ก็รู้สึกดี รู้สึกว่าทุกคนจิตใจดี แฮปปี้กับสิ่งที่ทำอยู่จริงๆ เหมือนทุกคนได้รับพลังบวกจากเด็กๆที่ศูนย์กันทุกคนเลย

Reflection 8

ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้ (คิดอย่างไร คาดหวังอะไร)
คาดหวังว่าจะได้ไปเห็นชีวิตในชนชั้นทางสังคมที่ต่างออกไป การใช้ชีวิตของผู้คน ตอนแรกคิดว่าจะให้ไปเดินดูในชุมชนการเป็นอยู่ของชาวบ้าน ผมอยากจะคุยกับชาวบ้านว่ารู้สึกยังไง และความสุขของพวกเค้าเป็นอย่างไร ในตอนแรกที่คิดเอาไว้ ทำให้ผมรู้สึกสนใจในคาบเรียนนี้เพราะได้ออกจากห้องเรียนไปเรียนรู้สังคมภายนอก

ประสบการณ์เรียนรู้ (เรียนรู้อะไร อย่างไร ชอบ ไม่ชอบ)
การเรียนรู้จากกิจกรรมนี้คือ การได้พบกับเด็ก ๆ การเรียนรู้จากเด็ก ๆ อย่างที่คุณพ่อพูดในตอนแรก ได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเด็ก ๆ ที่ยังคงเป็นผ้าขาวอยู่ ถึงแม้สังคมรอบ ๆ อาจจะไม่ได้มีคุณภาพ ๆ ที่ดีสักเท่าไหร่ แต่พวกเด็ก ๆ ก็ดูมีความสุขในวัยของเค้าได้ ผมได้พูดคุยกับพวกเค้าบ้าง ไม่มากเท่าไหร่เพราะเวลาค่อนข้างน้อย ได้สัมผัสว่าความสุขเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ที่เรามองว่านิดเดียวพอเราลองมองย้อนกลับไปในวัยเด็กสิ่งเหล่านั้นแถบจะเป็นความสุขในโลกเล็ก ๆ ทั่งใบของเราเลย นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้ระบบการจัดการกับการดูแลๆ เด็ก ๆ ทั่งการเรียน การกิน การพัฒนาในด้านต่าง ๆ วิธีที่สังคมดูแลเด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสกว่าคนอื่น ได้พูดคุยกับเด็ก ๆ และคุณครูผู้ดูแล อันที่จริงผมก็อยากไปคุยกับชาวบ้าน แถวนั้นด้วยแต่ก็คงดูแปลก ๆ ความรู้สึกจากการเรียนรู้ รู้สึกเศร้าและสงสาร เพราะรู้สึกว่าทำไมเราถึงเลือกเกิดไม่ได้ทำไมถึงต้องมีชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกันขนาดนี้ อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีแล้วที่ได้อยู่ในจุดที่ดีกว่าคนหลาย ๆ คน

ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ความสุขของเด็ก ๆ บางคนเป็นตุ๊กตาพลาสติกตัวเล็ก ๆ ในขณะที่ตอนเด็ก ๆ ผมมีรถของเล่นบังคับราคาหลายพันผมยังรู้สึกอยากได้เพิ่มอีกตังหาก สิ่งเหล่านี้มันทำให้ผมตั้งคำถามต่อไปว่า ความสุขจริง ๆสำหรับผมคืออะไรแล้วมันขึ้นกับอะไรกันแน่ ตอนนี้คงยังไม่มีคำตอบให้ตัวเองแน่ ๆ คงต้องให้เวลาตอบคำถามให้ อีกสิ่งหนึ่งที่ผมลองคิดเล่น ๆ ดูก็คือหลายคนมักจะพูดว่า คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้ ซึ่งผมได้ถามน้อง คนนึงว่าโตขึ้นอยากทำอาชีพอะไร น้องก็ตอบมาว่า “อยากเป็นหมอค่ะ” ซึ่งความฝันของน้องเค้าคงไม่มีทางเป็นจริง เพราะน้องเค้ามีปัญหาทางสมองจากกรรมพันธุ์ซึ่งรักษาไม่ได้ คนหลายๆคนเลือกเกิดไม่ได้ และยังเลือกที่จะเป็นไม่ได้จริงๆ อีกสิ่งที่ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งท่เพิ่งดูโดยหนังพูดถึงการแบ่งชนชั้นทางสังคม หนึ่งในประโยคที่มันเด้งเข้ามาในหัวระหว่างการไปเรียนรู้ครั้งนี้คือ เราเป็นคนรวยที่ใจดี หรือเราเป็นคนใจดีเพราะเราเป็นคนรวยกันแน่ ผมเขื่อว่าถ้าเลือกได้ก็ไม่มีใครอยากเกิดเป็นโจรหรอก นี้ก็เป็นอีกคำถามนึงที่ต้องหาคำตอบต่อไปครับ

การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ได้เรียนรู้ ถึงระบบการดูแลเด็ก ๆ ที่ด้อยโอกาสในสังคม การเป็นอยู่ในชุมชนถึงแม้จะค่อนข้างน้อยไปหน่อยเนื่องจากเวลา เรียนรู้ถึงความสุขที่แตกต่างกันในวัยเด็กของผม และเด็ก ๆ ในชุมชน ได้เรียนรู้เทคนิคที่ช่วยให้เราผ่อนคลายโดยการคิดถึงความสุขของตัวเอง

การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตนเอง
สิ่งที่ได้จากภาพความสุขของเด็ก ๆ ผมได้ลองใช้กับเวลาที่ผมจะนอนแต่ว่านอนไม่หลับเพราะว่าในหัวของผมมันมักจะมีหลายเรื่องที่เป็นทั่งของปัจจุบัน หรืออนาคตวนเวียนอยู่ ผมจึงลองนึกถึงภาพเรื่องราวแห่งความสุขในวัยเด็ก ๆมันทำให้ผมผ่อนคลายขึ้น และนอนหลับได้ง่ายขึ้น และการให้กับคนที่ลำบากกว่าเราไม่ว่าจะด้านวัตถุหรือด้นจิตใจก็ตามเมื่อมีโอกาสและตัวเองไม่ลำบาก

การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่ร่วมประสบการณ์เดียวกัน
ได้เห็นมุมมองของเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายคนที่ไม่ได้เห็นในมุมมองอื่น ๆ หลาย ๆ คนเข้ากับเด็กได้ดีมาก ๆ มันเป็นมุมที่มองแล้วอบอุ่นมาก ๆ ครับ

ข้อเสนอแนะ
คาบนี้ดีแล้วครับ

Reflection 9

1. ความคาดหวังก่อนการเรียนรู้
ได้รู้ว่าจะมีการเรียนนอกสถานที่ที่สลัมคลองเตย คิดว่าเป็นการไปดูชีวิตชุมชน

2. ประสบการณ์เรียนรู้
ได้มีการไปสถานที่มูลนิธิที่สอนหนังสือเด็กๆ ในชุมชนคลองเตย โดยได้ก่อนที่จะเข้าไปยังสถานที่เด็ก ได้มีการผ่านชุมชนของสลัมคลองเตย ว่ามีการใช้ชีวิตอยู่เป็นยังไง ความรู้สึกแรกที่ได้ก้าวเข้าไป รู้สึกถึงความอึดอัดไม่ว่าจะเป็น ถนนที่เล็กมากแบบที่เดินสวนกันได้แค่สองคน สภาพการเป็นอยู่ ในชุมชนที่ผมได้เข้าไป ได้พบกับกลุ่มชุมชนที่กำลังเล่นการพนันกันอยู่ มีความเป็นอยู่ที่แออัด แล้วหลังจากนั้นจึงได้ถึงสถานที่ที่สอนเด็กในชุมชน แว๊บแรกที่เข้าไปนั้น เด็กๆกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน ทันที่ที่เด็กได้เห็นกลุ่มพวกผม เด็กๆก็สนใจกันแล้วก็วิ่งเข้ามาหา ชวนให้เล่นด้วยกัน แล้วก็ได้มีกิจกรรมที่เล่นกับน้องๆ มันเป็นช่วงเวลาที่สนุกมากแต่ก็แสนสั้น เมือพวกผมต้องรีบขึ้นรถกลับเพราะมีเวลาที่จำกัด ในช่วงเวลาที่ได้เล่นสนุกกับเด็กๆ ทำให้ผมลืมทุกอย่างว่าก่อนเข้ามารู้สึกอึดอัดในชุมชน เหมือนเด็กที่เล่นสนุกๆ เป็นช่วงเวลาที่ดีมาก เด็กก็อยากให้พวกผมอยู่กันต่อ มันเป็นเหมือนกับว่าเด็กที่ยังไม่รู้อะไร แค่มาเรียนแล้วมาเล่นกับเพื่อนๆ ไม่ต้องมานึกถึงชีวิตต่างๆ เพราะยิ่งโตความสนุกก็ลดลง แล้วก็มีภาระที่มากขึ้น สิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น

3. ความสัมพันธ์กับการเรียนรู้เดิม
ในโดยเดิมนั้นปีที่ผ่านมาผมได้ไปค่าย ดงตาลอาสา ที่ไปช่วยสร้างโรงเรียน สอนหนังสือเด็กๆ และไปช่วยชุมชน เป็นค่ายที่สนุก เพราะผมชอบที่จะอยู่กับเด็กๆ ชอบที่จะสอนหนังสือน้องเขา เล่นกับน้อง มันเป็นเวลาหลายวันที่อยู๋ในค่ายนั้น เวลาที่เรากลับจึงรู้สึกซึมเล็กๆ เด็กๆเหมือนกับที่ชุมชนคลองเตย อยากให้พวกเรากลับไปหาเขาอีก ถ้ามีโอกาสได้ไปก็จะไปอีก

4. การเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น
ในช่วงก่อนมาเรียนก็มีปัญหาที่ทำให้ตัวเองไม่ค่อยสบายใจ และอารมไม่ค่อยสู้ดีนัก แต่พอได้มาเล่นกับเด็กๆ เหมือนกับตัวเองได้สนุกไปด้วย ลืมปัญหาต่างๆ ทำให้ยิ้มได้ เพราะมีเด็กๆ แล้วก่อนกลับได้มีเด็กขอให้อุ้มหลายคนมากๆ ทำให้ผมคิดถึงตัวเองสมัยเด็กๆ ที่ชอบให้คุณพ่ออุ้ม เหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็กนั้นอีกครั้ง

5. การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตตัวเอง
โดยทางญาติลูกพี่ลูกน้องมีลูกกัน ทำให้ผมมีหลานให้เล่นกันเยอะ ก็เวลาที่มีปัญหาหรือไม่สบายใจ เด็กก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้อารมณ์กลับมาดีอีกครั้ง รู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้เล่นกับเด็กๆ ถึงแม้จะเล่นโดยไม่รู้จักเหนื่อยก็ตาม

6. การเรียนรู้จากกลุ่มเพื่อนที่มีประสบการณ์
ได้ถ่ายรูปส่งให้เพื่อนดูว่าไปเล่นกับเด็กๆ ทำให้เขาสนใจ เพราะวิชาที่เรียนของเขามีแต่การเรียนการสอนในห้อง การเรียนแบบนี้นั้นหายากมากในชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นการได้ถึงประสบการณ์ไปดูชุมชน ที่ทำให้รู้สึกว่าบางทีเรารู้สึกเหนื่อยรู้สึกเบื่อกับชีวิตตนเอง แต่พอได้ไปดูในชุมชน เป็นชุมชนที่เขาหาเช้ากินค่ำกัน เป็นชีวิตที่เร่งรีบ ก็ทำให้ชีวิตเราดูสบายไปเลย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะชวนเพื่อนๆไปกันสำหรับคนที่ไม่ได้เรียน

Reflection 10

มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล(ศูนย์เมอร์ซี่)

" ประสบการณ์ที่วิเศษที่สุด"

ขอบคุณรูปจากนิวตรอน
คลองเตยหรือสลัมคลองเตย เป็นชื่อที่มักจะได้ยินเเละคุ้นหูอยู่เสมอเมื่อมีคนพูดถึงที่เเห่งนี้ สำหรับภาพที่อยู่ภายใต้ความคิดของผมเเละได้ยินจากคนอื่นคงหนีไม่พ้นสภาพที่เป็นชุมชนเเออัด มีตรอกซอกซอยเเคบๆ มีคูน้ำเน่าเสีย ขยะเกลื่อนกลาด ไม่มีความเป็นระเบียบ เป็นศูนย์รวมของผู้ไร้บ้าน เป็นที่อันตรายสำหรับบุคคลภายนอกเเละเป็นพื้นที่สุ่มเสี่ยงกับเรื่องของยาเสพติด เเต่ถ้าคุณได้อ่านบันทึกนี้ของผมเเล้ว มุมมองของคุณต่อคลองเตยจะเปลี่ยนไป

หลักจากกำหนดการการมา Mercy Centre ที่ดูเเลเด็กในคลองเตย ถูกประกาศจากอาจารย์ ผมนึกถึงสิ่งหลายๆอย่างว่าเราจะเจออะไรบ้างได้เรียนรู้อีกสังคมหนึ่งซึ่งห่างไกลจากที่เราอยู่ จะต้องเตรียมตัวยังไงจะปลอดภัยไหม มีอะไรที่เราพอจะเอาไปให้กับน้องๆบ้าง ค้นหาข้อมูลทุกๆด้านก่อนที่จะไปเเละตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้วันนี้มาถึง

ณ วันเดินทาง พวกเราเดินทางกันด้วยรถตู้3คัน ใช้เวลาเดินทางไม่นานจนผมเปลกใจว่าตรงที่ที่เราอยู่กับที่ที่พวกเขาอยู่นั้นไม่ห่างกันมากเเต่ทำไมถึงมีความเเตกต่างกันยิ่งนัก ทางเข้าของศูนย์ต้องเลี้ยวผ่านซอยเล็กๆ มีรางรถไฟคั่นกลาง เมื่อมองไปรอบๆก็พบกับบรรยากาศที่ผมดูในกูเกิ้ล ในตอนนั้นก็ยังพูดกับเพื่อนว่า "ก็ดูไม่เเย่อย่างที่คิดนะ" เมื่อเดินทางตามการนำทางของ Google Map เราก็มาถึง มูลนิธิส่งเสริมการพัฒนาบุคคล(ศูนย์เมอร์ซี่)หรือ HDF Mercy Centre ภายนอกนั้นดูคล้ายๆกับโรงเรียนอนุบาล คุณครูที่มูลนิธิออกมาต้อนรับด้วยอย่างยิ้มเเย้มเเละอบอุ่น ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง

เมื่อเข้าไปในตัวอาคารผมรับรู้ถึงความสงบเงียบ ความผ่อนคลาย คลามปลอดภัยเเละความหวังจากที่นี่ บรรยากาศร่มรื่นถูกโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ มีบ่อน้ำ ห้องต่างๆดูน่าเข้าไปเยี่ยมชม สภาพโดยรอบดีจนทำให้ผมนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีที่เเบบนี้ท่ามกลางชุมชนเเออัด คุณครูที่มูลนิธิให้พวกเราไปนั่งรอเพื่อนที่ห้องรับรอง มีโปรเจคเตอร์ตั้งอยู่หน้าห้อง อากาศเย็นจนหนาว มีเครื่องดื่มให้ดื่มระหว่างนั่งรอเเละสามารถมองเห็นเข้าไปถึงห้องธุรการของมูลนิธิที่เต็มไปด้วยเอกสารมากมาย ทางมูลนิธิจัดการการต้อนรับด้วยการกล่าวทักทายจากคุณพ่อโจเซฟซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมูลนิธิเเละบรรดาคุณครูในมูลนิธิ สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตจากคุณพ่อคือเเทนที่จะกล่าวถึงประวัติการก่อตั้ง ความเป็นมา การทำหน้าที่ของคุณพ่อในมูลนิธิเเต่กลายเป็นว่าคุณพ่อให้ความสำคัญกับเด็ก อยากให้เราเรียนรู้กับเด็ก มีความรู้ ความเข้าใจ ความเคารพต่อเด็กๆ

ผมรู้สึกได้ถึงความรัก ความทุ่มเท ความเอาใจใส่ที่คุณพ่อโจเซฟได้ให้กับเด็กๆมาตลอดหลายสิบปี มันน่าทึ่งมากที่คุณพ่อได้เป็นผู้ให้กับใครหลายๆคน ต่อมาก็มาฟังการบรรยายจากครูจี๋ถึงประวัติเเละงานด้านต่างๆที่ทำให้กับเด็ก ผมรู้สึกถึงความใส่ใจที่มีต่อเด็กทุกคนไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม คอยจัดการดูเเลทั้งการใช้ชีวิต การศึกษา ความเป็นอยู่ สอนให้ดูเเละตัวเองได้ทั้งในปัจจุบันเเละอนาคต เมื่อการบรรยายจบก็ต้องเเบ่งกลุ่มละ 5 คนเป็นจำนวน 6 กลุ่มเพื่อไปเยี่ยมเเละเรียนรู้กับน้องๆในเเต่ละศูนย์ย่อยของมูลนิธิ เสียดายตรงที่ว่าเราไม่ได้ไปหาน้องๆที่อยู่ที่ศูนย์ใหญ่เพราะเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของน้องๆ เเต่ขณะที่ผมกำลังเดินไปขึ้นรถก็พบน้องๆกลุ่มหนึ่งทั้งผู้ชายเเละผู้หญิงอยู่หน้าทางเข้า เห็นน้องกลุ่มผู้ชายนั่งกินขนมไส้สับปะรดอย่างเอร็ดอร่อย มีคุณครูบอกว่าน้องคนนี้ยังไม่ได้รองเท้า พอจะเดาได้ว่าน่าจะเป็นน้องที่ทางศูนย์ดูเเลอยู่

ผมถูกจัดกลุ่มกับเพื่อนผู้หญิงอีก 4 คนเเละมีครูพี่เเนนเป็นผู้พาเราเข้าไป รถมาส่งพวกเราตรงที่ใต้สะพานข้างทาง มีทางให้เลี้ยวเข้าไปทางด้านซ้าย ต้องเดินเข้ามาเเละข้ามฝั่ง ตรงนี้บรรยากาศถึงจะมืดเเต่ก็ไม่ได้น่ากลัว มีร้านอาหารตามสั่ง ร้านส้มตำไก่ย่างอยู่ต้นทางจนทำให้ผมรู้สึกหิว ผู้คนก็ดูเป็นคนปกติ ยังไม่เจอคนที่ดูอันตราย เมื่อเดินมาเรื่อยๆครูพี่เเนนก็เล่าถึงศูนย์ที่จะไป ผมรู้สึกค้างคาใจกับน้องๆที่เราเจอก่อนออกมาจากศูนย์ใหญ่เลยถามครูพี่เเนนเเล้วได้ความว่า คือน้องๆที่เรียนโรงเรียนยานุส คอร์ซัคเเห่งเอเชียอาคเนย์ เป็นน้องๆที่ไปกลับระหว่างโรงเรียนกับบ้าน ก็จะอยู่ในการดูเเลของมูลนิธิเช่นกัน ผมเดินทาเรื่อยๆจนหยุดที่ซอยเเคบๆ ทั้งสองข้างถูกมุงด้วยสังกะสีเป็นทางยาว เลยให้ครูพี่เเนนนำทางเเละผมเดินปิดท้าย พอเข้ามาข้างในเริ่มรู้สึกถึงความเเออัดเพราะบ้านเรียนถูกสร้างใกล้ๆกันเเละวัสดุมักจะเป็นไม้เเละสังกะสีจึงไม่เเปลกใจว่าทำไมถึงเกิดไฟไหม้อยู่บ่อยครั้ง เข้าไปเจอเเต่คุณยาย คุณป้านั่งอยู่หน้าบ้านเเละร้านขายของมองมาที่กลุ่มของพวกเราอย่างสงสัย บรรยากาศเงียบๆเพราะเป็นช่วงที่เด็กอยู่มูลนิธิในชุมชนเเละพ่อเเม่ออกไปทำงาน

ไม่นานผมก็ถึงกับมูลนิธิศูนย์ย่อย ชุมชนเย็นอากาศ 2 สภาพภายนอกไม่ต่างจากบ้านของผู้คนเเถวนั้น สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ มี2ชั้น พื้นปูด้วยเสื่อน้ำมัน ให้บรรยากาศที่คล้ายกับต่างจังหวัดที่ผมเคยไป ในศูนย์นี้มีน้องๆกว่า 60 คน ตั้งเเต่อนุบาล 1- อนุบาล 3 มีคุณครูอยู่ 4-5 คน ผมตื้นเต้นบวกกับประหม่าเมื่อเข้าไปถึง ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ต้องเริ่มจากอะไรก่อนดี คุณครูหัวหน้าศูนย์คือ คุณครูเเนน ครูที่ดีเเสนใจดีของเด็กๆ น้องๆเข้าเเถวรอเราอย่างเป็นระเบียบ ส่งเสียงเจี้ยวจ้าวพูดคุยกันเมื่อเห็นพวกเราที่เป็นคนเเปลกหน้า ครูเเนนบอกกับน้องๆว่าวันนี้พี่ๆจะมาทำกิจกรรมด้วย มาเล่นด้วย น้องๆก็เฮกันใหญ่เเละมีทีท่าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด บ้างก็ยืนขึ้น บ้างก็ยกไม้ยกมือ บ้างก็เริ่มไปหยิบของเตรียมจะเอามาเล่นกับพวกพี่ ครูเเนนให้พี่ๆเเนะนำตัวตัวที่ละคนเเล้วให้น้องๆพูดชื่อทวนชื่อพี่ๆอีกรอบให้น้องจำชื่อพี่ได้

ผมชอบเสียงใสๆของน้องๆเวลาประสานเสียงพูดกันมาก เมื่อมาถึงตัวผมผมพยายามพูดชื่ออย่างช้าๆให้น้องพูดได้ง่ายขึ้นเพราะชื่อมี 2 พยางค์ จากนั้นครูเเนนจะเเบ่งกลุ่มพี่ๆไปด้านบนเเละอยู่ข้างล่าง ตอนเเรกผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรที่เมื่อเเบ่งพี่ไปด้านบนสองคนเเล้ว เเต่พอเรียกให้พี่อีกสองคนเดินตามไปจนเหลือผมคนเดียวเล่นกับน้องด้านล่างซึ่งเป็นน้องอนุบาล3 วัยกำลังพูดเก่ง ซนเก่ง ความรู้สึกมากมายผุดขึ้นมาในหัวว่า เอาเเล้วไงจะเล่นอะไรดีวะเนี่ย เขินน้องๆจนทำตัวไม่ถูกบวกกับตาคุณครูอีก3คนที่เพ่งมองมาที่ผมว่าพี่คนนี้จะทำอะไรต่อ ผมรู้สึกเกร็งมากๆ ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มเลยอะไรเหล่าน้องๆผู้ชายก็พากันเดินเข้ามาหาผมมาพูดคุยว่า "ทำไมพี่ตัวสูงจัง" "พี่กินอะไรถึงโต" "ผมอยากสูงเหมือนพี่" "พี่กินผักมั้ย" นั่นทำให้ผมต้องนั่งลงมาคุยกับน้องๆเพราะต้องๆตัวเล็กเเค่ต้นขา ผมบอกน้องๆว่า ตอนเด็กๆพี่กินข้าวเก่ง กินตามที่คุณพ่อคุณเเม่บอก กินผัก กินนมเเล้วก็เล่นกีฬา ถ้าอยากสูงเหมือนพี่น้องๆต้องทำให้ได้นะ น้องๆก็รับปากครับกันยกใหญ่

มีน้องบางคนที่ดูจะติดผมเป็นพิเศษมาจูงมือผมไปเล่นเเละให้ผมเล่นอยู่ข้างๆ ผมพยายามเป็นพี่ชายให้ดีที่สุด ขณะที่ผมยังงงๆว่าจะเล่นอะไรก็มีน้องผู้หญิงถือลูกฟุตบอลมาให้เล่นเตะบอล ครูเเนนให้น้องๆจัดเป็นวงกลม น้องๆยังเถียงกันไปมาว่าจะเตะหรือโยนเเต่ผมเห็นว่ามีทั้งน้องผู้ชายเเละน้องผู้หญิงปนๆกันเลยให้น้องๆโยนจะดีกว่า เเล้วครูเเนนก็ให้จัดเเถวใหม่เเยกฝั่งชายหญิง โยนสลับกันไปมาเเละผมอยู่คนสุดท้าย มันทำให้น้องเรียนรู้ถึงการเเบ่งปันกัน เรียงลำดับการเล่น เมื่อถึงคิวที่น้องบางคนยังสับสนว่าจะโยนให้ใคร เพื่อนๆก็พากันบอกอย่างพร้อมเพียงทำให้ไม่เกิดการเเย่งบอลกันเลย ผมเลยพลอยสนุกไปกับน้องๆด้วย พอเล่นกันครบ2รอบ ครูเเนนก็ให้น้องๆนั่งเป็นวงกลมเพื่อเล่นมอญซ่อนผ้า เป็นการละเล่นที่ผมไม่ได้เล่นมาสิบกว่าปีเเล้ว น้องๆดูตั้งอกตั้งใจพร้อมที่จะเล่น ผ้าถูกเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลอ่อน น้องคนเเรกเป็นผู้ชายเป็นคนเดินถือตุ๊กตาหมี ผมร้องเพลงร่วมกับน้องๆพลางปรบมือตามจังหวะเพลงเเละเจ้าหมีก็มาตกอยู่ที่หลังผม น้องๆต่างเรียก พี่ๆตุ๊กตาอยู่ที่พี่ ผมคว้าหมีเดินตามน้องที่รีบวิ่งมายังที่ว่างของผม เนื่องด้วยเป็นตาเเรกเลยยอมให้น้องไปก่อน ให้น้องได้เกิดเสียงหัวเราะขบขัน น้องๆต่างชูมือขึ้นมาเรียกให้ไปวางพี่หมีผมเลยเลือกน้องที่นั่งเงียบๆก่อนเเละรีบเดินเว้นจังหวะให้น้องวิ่งมาจนเกือบทันเเละผมก็นั่งลงทันในที่สุด ให้น้องเป็นคนเล่นต่อ อยากให้น้องๆได้เล่นกันเองโดยที่มีผมเป็นเพื่อนอีกคนหนึ่ง พอน้องๆเล่นกันอีก4-5รอบ ครูเเนนให้น้องๆขึ้นไปที่ชั้นสองเพราะครูมีเรื่องจะคุยกับพี่ ในใจตอนนั้นผมเอะใจว่าเราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่าครูถึงให้หยุดทั้งๆที่เวลาเพิ่งผ่านไปไม่ถึง30นาที ครูเเนนถามผมว่ามีอะไรจะถามไหม ระหว่างรอเพื่อนๆลงมาจากข้างบนเลยถามถึงว่า ในการมาเรียนของน้องๆมีค่าใช้จ่ายอย่างไรหรือทางศูนย์ใหญ่ออกค่าใช้จ่ายให้ สรุปคือ มีค่าใช้จ่ายวันละ 20 บาท ซึ่งผมคิดว่าเป็นราคาที่ดีมากๆสำหรับผู้ปกครองที่จะได้พาลูกหลานมาเจอเพื่อน เจอสังคม มาเรียนรู้ เเละได้กินข้าวครบ5หมู่

เมื่อเพื่อนๆลงมาข้างล่างพวกเรานั่งล้อมวงร่วมกันกับคุณครูเเนนเเละครูพี่เเนน ผมได้ทราบถึงความรับผิดชอบ ความเอื้ออารีย์ของศูนย์นี้ คุณครูเองก็มาจากคนในชุมชนมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือดูเเลเด็กในชุมชนด้วยกัน ผมว่าคนในชุมชนด้วยกัน คนในพื้นที่ย่อมรับรู้ถึงปัญหาเเละสามารถมีเเนวทางเเก้ไข การรับมือได้ดีที่สุด น้องๆล้วนเเต่เป็นเด็กในชุมชนนี้ที่ผู้ปกครองต้องไปทำงาน มีปัญหาทางบ้าน ไม่มีคนดูเเล บ้างก็มีคุณยายที่ป่วย ผมจึงเห็นว่าไม่ใช่เเค่เด็กที่คุณครูจะดูเเลเเต่ยังดูเเลไปถึงครอบครัวของน้องด้วย เมื่อคนในชุมชนช่วยกันประคับประคองกันย่อมเป็นสิ่งที่ดีเสมอ ด้านการศึกษาน้องๆก็จะได้เรียนรู้ไม่ต่างจากโรงเรียนอนุบาลทั่วไปทั้งวิชาการเเละการเรียนรู้ด้านอื่นๆเพื่อการส่งเสริมพัฒนาการอย่างสมวัย การจัดการเรื่องโภชนาการที่ดีให้น้องๆได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อร่างกายที่เเข็งเเรงเห็นได้จากท้องน้องๆที่เเน่นกันมาก ด้านจิตใจที่ถึงเเม้ที่บ้านจะมีปัญหาน้องๆก็ดูสดใสร่าเริงเเละมีคุณครูคอยช่วยอยู่ตรงนี้ เเละที่พิเศษสุดคือการดูเเลเด็กพิเศษ จากการสอบถามกับคุณครูเเนนผมทราบว่ามีน้องที่เป็นเด็กพิเศษถึง 2 คนคนเเรกที่เป็นเด็กนิ่งๆจะไม่เข้ากลุ่มกับเพื่อนเเละน้องอีกคนที่สามารถอยู่กับเพื่อนได้ดี ทางคุณครูเองก็มีเเนวทางที่จะดูเเลน้องๆทั้งสองคนได้เป็นอย่างดี เเละสุดท้ายที่ผมฝากไว้กับคุณครูคือ นอกจากน้องที่เป็นเด็กพิเศษก็มีน้องผู้หญิงที่ถือลูกบอลที่ผมกล่าวไว้ด้านบนยังมีความเป็นหัวโจกกับเพื่อนๆ ยังไม่ค่อยยอมเเบ่งปันของเล่นกับเพื่อนก็เลยอยากให้คุณครูเเนะนำน้องเรื่องการเเบ่งปันของกับเพื่อนๆ

ก่อนจากผมได้ถามถึงการกลับมาของที่นี่ คือ เราสามารถนำของมาให้น้องๆที่นี่ได้เองหรือจะเอาไปให้ศูนย์ใหญ่เพื่อนำฝากมาให้ได้ก็ได้ เเต่สำหรับผมเเล้ว ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าเมื่อใดที่ผมพร้อมทั้งเงินเเละการเดินทาง ผมจะกลับมาที่นี่ ขาที่ค่อยๆก้าวออกมาจากตรงนั้นผมหันกลับหลังไปมองเห็นที่ที่เเม้จะเป็นเวลาสั้นๆเเต่เราได้รับรู้ถึงความสุขจากน้องๆเเละอีกเเง่มุมหนึ่งของสังคมเล็กๆในชุมชนที่คนภายนอกมองว่ามีเเต่สิ่งไม่ดีทั้งๆที่ภายในมีเเสงสว่างจากตรงนี้ ผมใจหายที่ต้องไปเเละเเม้ไม่ได้บอกบ๊ายบายกับน้องๆเลย นับเป็นสิ่งที่เสียดายมากที่สุด ได้เเต่หวังว่าอุปกรณ์การเรียนที่เอาไปให้จะถูกส่งมาถึงน้องๆที่นี่ด้วย

เมื่อต้องเดินทางกลับกลุ่มของผมมารอรถจากศูนย์มารับไปรวมกับเพื่อนกลุ่มอื่น ผมยังได้ทราบจากจากครูจี๋เเละครูพี่เเนนว่าทั้งสองคนเป็นคนที่เติบโต ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนเเละอุทิศตนเพื่อเด็กๆรุ่นหลัง ครูพี่เเนนก็เป็นเด็กที่อยู่ในการดูเเลของครูจี๋เเละลูกครูพี่เเนนก็อยู่ในการดูเเลของศูนย์เช่นกัน ผมเห็นถึงการช่วยเหลือกันของทุกคนในชุมชนต่อๆกันมา เห็นความสำคัญต่ออนาคตของเด็กในชุมชม ให้เขาได้เติบโต เรียนรู้ มีความพร้อมทั้งร่างการจิตใจ อาหาร การเป็นอยู่ การศึกษาที่ดี เเม้จะอยู่ในที่ที่หลายๆสิ่งหลายๆอย่างไม่เอื้ออำนวยก็ตาม เพื่อให้เขาได้เติบโตเป็บบุคคลที่ดีของประเทศเเละเป็นส่วนหนึ่งในการทำประโยชน์ให้สังคมต่อไปในอนาคต

ตอนต่อไป

Comments