From yoga to gym training

เพื่อนผู้เป็นแรงบันดาลใจ
Photo Credit: ลิ้ม
จุดเปลี่ยนของการอยากลอง Gym Training คือ เห็นเพื่อนสนิทที่ไม่เคยออกกำลังกายใดๆ ไป Work out กับเทรนเนอร์แล้วนางดูแข็งแรงขึ้นมาก น้ำหนักลด ดูมีพลัง ชั้นเลยอยากลองบ้างเพราะรู้สึกว่าตัวย้วยมาก นอกเหนือจากการฝึกโยคะที่ทำอยู่แล้ว

ช่วงนี้ชั้นพบว่าการฝึกสองอย่างนี้มีบางอย่างที่คล้ายๆ กัน

Yoga then

ชั้นฝึกโยคะมาเกิน ๑๐ ปี ช่วงพีคของความอินคือฝึก Ashtanga yoga สัปดาห์ละห้าหกวันๆ ละ ๒ ชม. ทำทุกอย่างเพื่อให้ทำท่าได้ดี ฝึกตอน 6.30 น. เป็นมังสวิรัติ กินน้ำมะพร้าว ล้างพิษด้วยการอดอาหาร (Fasting)  การฝึกแบบ Mysore Ashtanga มีการพัฒนาที่"วัด"ได้ชัดเจน คือ ทุกคนฝึกท่าชุด (Sequence) เดียวกัน ต่างคนต่างฝึกในห้อง ครูจะให้ท่าเท่าที่เค้าคิดว่าสมควรกับเรา เค้าจะไม่ให้ท่าเพิ่มจนกว่าเราจะทำอันที่มีอยู่ได้ดี  ชั้นชอบฝึกและชอบแข่งขันด้วย อยากทำท่าที่ยังทำไม่ได้ให้ได้

เพราะโยคะ ชั้นก็ได้ข้ามขอบความกลัวหลายอย่าง เช่น จะทำ Headstand ได้ต้องไม่กลัวล้ม คือ ต้องล้มก่อนถึงทำได้น่ะ เมื่อเราล้มแล้วไม่เจ็บ ก็ไม่กลัว  หรือทุกครั้งที่ทำ Dropbacks (ยืนแล้วแอ่นหลังโค้งลง เอามือไปแตะพื้นเป็นสะพานโค้ง) ชั้นต้องโน้มน้าวตัวเองว่ามีงทำๆ ไปเหอะ เพราะเราจะมีเหตุผลล้านอย่างที่จะไม่ทำ

คำขวัญของครูใหญ่หรือกูรูจิ Sri. K. Pattabhi Jois คือ Practice and all is coming.  ชั้นจึงไม่เคยเรียกว่า เล่นโยคะ แต่มันคือการฝึกโยคะ กึ่งๆ Spiritual practice.

สำหรับคนที่ห่วงภาพลักษณ์อย่างชั้น การฝึกท่าที่ทำไม่ได้คือการฝึกไม่กลัวทุเรศด้วย เพราะฝึกห้องเดียวกันกับเพื่อน ชั้นต้องล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อหน้าคนอื่น มันเป็นการฝึกที่ดี ชั้นให้ค่าต่อการให้โอกาสตัวเอง ลองแล้วไม่ได้ ดีกว่าไม่ได้ลอง

อีกด้านของการมีเป้าหมายชัดและอยากทำให้ได้ คือ ระหว่างที่ฝึกนี้ ชั้นก็บาดเจ็บเป็นระยะๆ เจ็บหน้าอก (จนไปหาหมอเพราะคิดว่าตัวเองเป็นมะเร็งเต้านม หมอบอก คุณก็หยุดฝึกก่อน) ข้อมือเจ็บ Hamstring เจ็บ

Titibhasana
Photo Credit: Shanti
บางครั้ง โยคะไม่ได้ส่งเสริมชั้น แต่ชั้นใช้ร่างเพื่อตอบสนองอีโก้ตัวเองว่ากูเก่ง

พอหลุดจากช่วงพีคเพราะครูย้ายไป ชั้นก็ยังฝึกโยคะอยู่ตามคลาสปกติ ฝึกเองบ้าง ชั้นชอบความรู้สึกหลังฝึกเสร็จ โปร่ง โล่ง ตัวเบา การฝึกโยคะทำให้มีพลัง

Gym training now

เริ่มเทรนตั้งแต่กันยา 2561 ชั้นใช้เทรนเนอร์เพราะเพื่อนใช้และนางชอบ ชั้นฝึกที่สตูดิโอที่มีสอนโยคะอยู่แล้ว ไม่ต้องเดินทางหลายที่

การใช้เทรนเนอร์เหมือนมีครูส่วนตัว เป็นการบริการเฉพาะบุคคล (Customized service)  เมื่อเริ่มกิจกรรมใหม่ มันเหมือนย้ายบ้าน ชั้นและครูต้องปรับตัวเข้าหากัน สไตล์เราต่างกันเยอะด้วย ครูชั้นผ่อนคลาย อะไรก็ได้ แต่ชั้นจริงจัง เป๊ะ ก็ต้องสื่อสารกันซักพักว่าชั้นต้องการอะไร เช่น เวลาเริ่มและเวลาเลิก วิธีการนัดเทรน ด้วยความที่ฮีเป็นคนอะไรก็ได้ ก็จะเป็นชั้นที่ร้องขอนั่นนี่ เท่าที่ผ่านมาฮีก็ทำได้ตามที่รีเควส

ชั้นเชื่อในเรื่องการสื่อสารตรงๆ ถ้าครูให้ไม่ได้ ชั้นก็ยอมรับและเปลี่ยนคน (ข้อดีของระบบทุนนิยมที่ผู้จ่ายเงินเป็นผู้เลือก) ถ้าทำได้ตามที่ร้องขอ ชั้นก็จงรักภักดี (Loyal) กับเค้า รู้สึกไว้ใจและนับถือมากขึ้น

นอกเหนือจากความเป็นมืออาชีพของครู ชั้นคิดว่าเคมีระหว่างเรากับเทรนเนอร์น่ะสำคัญ ถ้าคลิกแล้วจะทำให้การฝึกสนุก  ในแง่นี้ ก็ขอขอบคุณครูของเรา

ช่วงแรกๆ ชั้นรู้สึกเขินๆ ไม่เป็นธรรมชาติ ที่จะต้อง Work กับคนแปลกหน้าอย่างใกล้ชิด พอเทรนกันไปซัก เริ่มชิน เหมือนฮีเป็นญาติ เป็นเพื่อน มาสัมผัสร่างเราได้  คล้ายๆ ฝึก Mysore yoga เพราะครูโยคะก็มาช่วยเราอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

ไปในที่ๆ คุณไม่เคยไป (Go to where you have never been before..)

ชั้นชอบความท้าทาย บางครั้งเทรนเนอร์ให้ยกน้ำหนักที่ชั้นสัมผัสหนแรกแล้วก็ "เห้ย หนักฉิบ จะทำได้เหรอ" แต่ก็..เอาวะ... ถ้าเค้าคิดว่าเราทำได้ เราก็น่าจะทำได้ ส่วนใหญ่ก็จะทำได้จนครบเซ็ตจริงๆ  ถ้าให้ทำเองโดยไม่มีครู ชั้นไม่ทำน้ำหนักที่เค้าให้ทำแน่นอน เพราะคิดว่าคงทำไม่ได้ ชั้นมองว่าการมีเทรนเนอร์คือการยืดขอบความเป็นไปได้ของตัวเอง

แต่ก็มีบางครั้งที่เค้าประเมินเราต่ำ ชั้นก็บอกไปว่าอันนี้ง่ายนะ เค้าก็ปรับให้ ชั้นมองว่าตัวเองมาเทรนเพื่อฝึกร่าง ไม่ได้มาชิลล์

ในอีกมุม ครูที่สอนอะไรก็ตามคือโปรโมเตอร์ เป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ (Spritual support) ของนักเรียน บางทีเทรนเนอร์แค่มาแตะๆ มือจับเหมือนช่วยยก ให้เรารู้สึกว่ามีคนช่วย ชั้นก็ได้กำลังใจละ บางทีฮีก็จะพูด "เหลืออีก x ทีเอ๊ง!!" ชั้นรู้สึกเหมือนมีเชียร์ลีดเดอร์ข้างๆ ตัว คอยดูให้เราเข้าเส้นชัย

ส่วนที่ชอบของ Weight training คือ Muscle tone ชอบเวลาแขนและไหล่มีเส้นกล้าม เนื้อไม่เหลว ไม่ห้อยต่องแต่ง ชอบที่เวลาฝึก ได้อยู่กับลมหายใจ ชอบเวลาที่ร่างกายไปจนสุดขอบ แล้วมันหมดแรงจริงๆ ยกไม่ขึ้นแล้ว ชั้นได้เห็นลิมิตตัวเอง I give it all I've got!

นอกเหนือจาก Weight training ก็ต่อยมวย ทำ High intensity interval training (HIIT) ที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ คือ ทำให้หัวใจเต้นแรงๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วก็พัก แล้วก็ทำซ้ำ  ในโยคะ เราไม่ค่อยได้ทำ Cardiovascular exercise เท่าไหร่

Weight training มีตัวเลขชัดเจน เช่น จำนวนครั้งต่อเซ็ต จำนวนเซ็ต น้ำหนักที่ทำได้ เข้าทางคนที่หมกมุ่นกับตัวเลข  ส่วนชั้นไม่ได้จำว่าทำอะไรได้เท่าไหร่ เป็นหน้าที่ครูที่จะจำ ชีวิตชั้นมีเป้าหมายเยอะพอแล้ว

ชั้นอยากให้ร่างกายมีความยีดหยุ่นและความแข็งแรง  โยคะให้พื้นฐานความยืดหยุ่น การใส่ใจใน Alignment และสมาธิ  Weight training ให้ความแข็งแรง ชั้นทำท่าโยคะบางท่าได้เพราะแข็งแรงขึ้น เช่น Pincha Mayurasana กับกำแพง 

InBody Machine

My Latest InBody Result
ด้วยความวิศวกรของชั้น ชั้นชอบตัวเลข อะไรที่จับต้องได้ชัดๆ แต่ตัวเลขเองก็ไม่ได้ให้ภาพทั้งหมด ที่สตูดิโอมีเครื่อง InBody ที่วัด น้ำหนัก %Fat, Muscle mass, Muscle mass ตามแขน ขา ตัว แถมเก็บข้อมูลในอดีต พล็อตกราฟให้ด้วย  ชั้นรู้สึกปลี้มเวลาเห็นตัวเลขเราดีขึ้น แต่ก็ได้เห็นคนที่หมกมุ่นกับมันมากๆ  อารมณ์เสียเมื่อตัวเลขไม่เปลี่ยนหรือไม่ดี ทำให้ย้อนกลับมาถามตัวเองว่าชั้นเทรนไปเพื่ออะไร ไอ้เครื่องนี่ แม่นยำเท่าไหร่ก็ไม่รู้

Social media

ปรากฏการณ์เรื่องชีวิตเราบน Social media ก็น่าสนใจ ถ้าไม่ตระหนักรู้ มันยิ่งเสริมความหมกมุ่นและอีโก้ของเรา

จริงๆ ไม่ว่าโยคะหรือเทรนอะไร มันก็กลับมาเรื่องเดียวกัน  บางทีเราโพสรูปหรือวีดีโอเพราะเราอยากให้คนอื่นชื่นชม พอเค้าไม่ปลี้ม ก็เครียดอีก  สำหรับชั้น มันเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพหรือประชาสัมพันธ์ นอกจากให้เราได้ฟีดแบ๊กหรือฝึกความไม่กลัวผิดหวัง

Intermittent Fasting (IF, การอดอาหารเป็นช่วงๆ)

เป็นการกิน x ชั่วโมง และอด 24-x ชั่วโมง พระและแม่ชีก็ทำ IF กลายๆ  อดในที่นี้คืออดจริงๆ ไม่กินน้ำหวานด้วย แต่กินน้ำชาได้

เป้าหมายคือให้ระบบย่อยได้พัก จะทำให้มันทำงานได้ดีขึ้น Growth hormone จะหลั่งช่วงเราหิว

ชั้นพบว่ามันเหมาะกับร่างกายชั้นมาก ชั้นพยายามกินและออกกำลังในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน เพราะเวลากลางคืนเป็นเวลาพักของร่างกาย  ชั้นหยุดกินหลังบ่ายสาม

ชั้นพบว่าชีวิตมันง่ายขึ้น ไม่ต้องหาอาหารไป ๑ มื้อ น้ำหนักลดไม่มาก แต่ %Fat ลดลงอย่างต่อเนื่อง และ Muscle mass เพิ่ม  ตัวกระชับขึ้น รู้สึกมีพลัง ไม่ต้องคอยกังวลว่าอะไรกินได้ กินไม่ได้ แค่หยุดกินเมื่อหมดเวลา

Other stuff

ช่วงนี้ชอบฝังเข็มมาก เลิกนวดไทยไปเลย เพราะฝังเข็มเอาอยู่ ชั้นฝังที่ท้องและที่หน้าด้วย ที่ท้อง ทำเพื่อปรับสมดุล ช่วยให้การเผาผลาญ (Metabolism) สมดุล  ชั้นคิดว่ามันทำให้ชั้นอยากอาหารน้อยลง ความร้อนเย็นสมดุลขึ้น เดิมชั้นเย็นเกินไป เหงื่อไม่ออก ตอนนี้เริ่มเหงื่อออก

ชั้นชอบฝังเข็มที่หน้าเพราะมันช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อหน้า ดีกว่านวดหน้าเยอะ

เขียนไปเขียนมา เหมือนบันทึกการดูแลร่างตัวเองที่ทำตอนนี้ จริงๆ มีอีก...






Comments