My bitchy me

เพื่อนสนิทบอกว่าชั้นเป็นพวกทำลายโลกสวย จริงๆ ชั้นไม่ได้ตั้งใจเลย แค่ตรงไปตรงมาและ Realistic มากๆ

ความคิดเร็ว อ่านเยอะ โลจิกดี มันทำให้ชั้นเห็นความขาดโลจิกแล้วเราชี้ให้เค้าเห็น เหมือนลูกศรที่วิ่งเข้าเป้า ซึ่งบางที ถ้าไม่สนิทกัน ไว้ใจกัน ก็ทำให้วงแตกได้ เพราะ Brutally Honest สุด

ชั้นช่วยทำงานลงทะเบียน ทำเว็บ ให้กับการเดินเพื่อธรรมะที่หนึ่ง ปัญหาที่เราพบคือหลายๆ คนร่างกายไม่พร้อมสำหรับทาง แต่เค้าอยากเดินด้วยศรัทธา (aka ดื้อ ในบางบริบท) บางเส้นทางลำบากมาก ในป่า รถเข้าไม่ถึง ชั้นเพิ่งรู้ว่าปีที่แล้วมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายมาเดินเส้นแบบนี้ แล้วพระที่รู้ก็อนุญาต หมอพยาบาลไม่รู้เรื่องเลย มารู้ทีหลังก็สยองกันไป และไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกในปีนี้

จากการทำงานนี้มาหลายปี ชั้นรู้ว่าคนที่มาเดินก็ไม่ "ปกติ" อ่ะ มีความบ้าหลากหลายกันไป ชั้นเองก็ไม่ปกติที่ไปช่วยงานนี้ แล้วโลจิกปกติที่ Play safe ของหมอ พวกเค้าจะฟังเหรอ ชั้นบอกได้เลยว่าอย่าหวังว่าจะป้องกันได้ 100% ขนาดหมอคนหนึ่งที่เพิ่งผ่าตัดสมองยังไปเดินเลย แล้วหมอคนนี้จะบอกคนไข้ในสภาพเดียวกันกับตัวเองว่าไม่ให้ไปเดินไหม

เราแจ้งเรื่องการเตรียมตัว และรายการสิ่งของที่ให้เตรียมมาทั้งในเว็บ แผ่นพับ และเฟสบุ๊ก  เราถามโรคประจำตัวตอนลงทะเบียน ชั้นยังไม่เคยเห็นใครกรอก "มะเร็ง" หรือ "เพิ่งหายจากการเป็นมะเร็ง" เค้าก็กรอกโรคเบสิก เช่น ความดัน เบาหวาน ภูมิแพ้ เราไม่สามารถดูจากหน้าแล้วจะรู้ว่าเค้าป่วยเป็นอะไร สกรีนไม่ได้ถ้าเค้าไม่แจ้งเรา

ชั้นบอกได้อย่างเดียวว่าเราทำได้แค่ตั้งรับ เพราะโลจิกปกติใช้ไม่ได้กับคนที่มาเดิน บางคนถอดรองเท้าเดิน ขนาดเริ่มจะเป็นหนองแล้วยังไม่ยอมใส่รองเท้า หมอที่ทำแผลให้บอกว่าแทบจะกราบให้ใส่  เราจะได้เจอคนพิเศษแบบนี้ทุกๆ ปี

มันก็สอนธรรมะเรา เราช่วยเท่าที่ช่วยได้ แต่ถ้าเค้าอยากจะทำอย่างที่เค้าอยากทำ เค้าก็จะทำอยู่ดี อยู่ในงานเดียวกัน ก็ต้องช่วยกันไป

วันนี้ชั้นได้โอกาสประชุมงานเวิร์คช็อปปีหน้า เราก็ได้เป็น Bad-ass Critic อีก ชั้นพูดตรงๆ หลายเรื่อง ไม่ได้พูดด้วยอารมณ์โกรธ ซึ่งคิดว่าอันนี้เป็นคีย์หลักที่ทำให้คนฟังไม่รู้สึกว่าถูกละเมิด (Offended) คำพูดชั้นก็เอาตรงแบบเป้ากระเด็น เช่น เรื่องจำนวนคนมาเรียน ชั้นบอกว่าน้อยขนาดนี้ไม่คุ้มค่า Overhead ถ้าเป็นธุรกิจก็เจ๊ง และเงินที่เราใช้ในโปรเจคนี้ไม่ใช่เงินเรา

อีกอันชั้นก็พูดกับอ.ศึกษาศาสตร์เรื่องเวิร์คช็อปที่อ.อยากเปิดให้นศ.ครู ชั้นถามว่า ขอถามโง่ๆ เลยนะ ถ้าจำเป็นจริงอย่างที่อ.ว่า ทำไมไม่เปิดเป็นวิชาในหลักสูตรไปเลย ก็ได้คำตอบว่ามีเจ้าพ่อเจ้าแม่ของวิชาอารมณ์นี้อยู่แล้ว พี่ณัฐบอกว่า การเปิดด้วยคำว่า "ขอถามโง่ๆ เลยนะ" ทำให้คนฟังรู้สึกว่าเราไม่ได้ทำตัวเหนือกว่าเวลาเราถาม

ชั้นรู้สึกว่าการคุยแบบที่ชั้นใช้สมองได้สุดๆ ชั้นสนุก แต่ถ้าให้มาเหนียม เกรงใจ เอาสมองเก็บไว้บ้านนี่ อันนี้ไม่ต้องประชุม เสียเวลา ให้เซ็นรับรองการประชุมอย่างเดียวก็ได้

ในระหว่างที่คุย ชั้นก็รู้สึกว่าเค้าไม่ได้มีอารมณ์กับชั้น ดูรับได้ แต่เพื่อให้ชัวร์ ตอนแยกจากกันแล้ว ชั้นก็ขอโทษทางไลน์ ชั้นบอกเค้าว่าชั้นแค่ต้องการท้าทาย อยาก put them on the edge.  คือถ้าไม่อยู่ที่ขอบ ก็ตกเหวไปเลย

การที่เค้ารับได้ทำให้เรา Respect เค้าเพิ่มด้วยว่าเค้าใจกว้าง

ชั้นอินกับงานแบบนี้ ชั้นท้าทายเพื่อจะเช็คด้วยว่าเอาจริงไหม รับได้ไหมกับคอมเม้นเรา ถ้ารับไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ เปลืองพลังงาน

The Privilege Of A Lifetime Is Being Who You Are.  C.G. Jung

Comments