เทอมนี้ของฉัน (Week 2.5)

รูปไม่เกี่ยวเลย แต่ชอบพระปรางค์วัดอรุณ
Temple of Dawn
ชั้นคิดว่าชั้นเรียนรู้ในวิชา Communication and Leadership มากกว่าใครๆ ในห้อง รู้สึกว่าพื้นที่ยืนอยู่มันขยับ Ground shifting โยกไปอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่ได้รู้สึก Groundless รู้สึกมั่นคง แต่แค่ความเชื่อที่เรามีอยู่มันเคลื่อนไป

ชั้นเคยเป็นผู้ชนะในการแข่งขันในระบบการศึกษา เรียนเก่ง เรียนในโรงเรียนที่มีการแข่งขันสูงมากมาตลอด แล้วชั้นใช้การแข่ง การกดดัน เป็นเครื่องมือในการถีบตัวเองขึ้นไป ชั้นได้ทุนฯ ไปเรียนอเมริกา ที่ๆ ซึ่งเชื่อใน Survivals of the fittest.  ชั้นเคยเชื่อว่าการแข่งขันจะทำให้เราเก่งขึ้น เอาศักยภาพของเรามาใช้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็จริงในบางแง่ เราได้เห็น Facebook iPhone Netflix แต่ในขณะเดียวกัน สังคมมันก็เริ่มเครียดขึ้นเรื่อยๆ

Side note การแข่งนี้ทำให้เราโคตรเครียดเช่นกัน เคยเป็นคนนอนไม่หลับมาเป็น ๑๐ กว่าปี ตอนนั้นก็รู้ว่าไม่ปกติ ไปหา Therapist แต่ก็อยู่ๆ กับมันไป ชั้นหายมาจาก Insomnia ได้ ๑๐ กว่าปีละ

ในวิชานี้ ชั้นให้เด็กเขียน Reflections หลังจากเรียน นี่แค่วีคที่สอง แต่ชั้นรู้สึกว่าได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตคนอื่นเยอะมาก เด็กกลุ่มนี้ที่มาเรียนวิชาชั้น หลายๆ คนไม่ได้ชอบเมเจอร์นี้มากนัก เหมือนอยากหาอย่างอื่นที่ไม่ใช่วิชาวิศวะจ๋า เด็กบางคนรู้สึกเบื่อการแข่งขัน รู้สึกเศร้าที่ไม่ได้เป็นผู้ชนะ ชั้นรับรู้ว่าภาวะซึมเศร้าเกิดอย่างแพร่หลายในหมู่เด็กมหาลัย บางคนเห็นได้ชัดจากหน้าตา บางคนก็ไม่ออกทางหน้า คนที่ดูร่าเริงผิดปกติก็เป็นได้ คือ จริงๆ ใครๆ ก็เป็นได้อ่ะ

อีกภาวะหนึ่งที่เห็นในหมู่ผู้ใหญ่คือการมี Romantic/Sexual relationship กับผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว มันไม่ใช่แค่ในละคร เมีย 2018 แต่มันเป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้นและเกิดกับเพื่อนเราที่ดูปกติมากๆ มีอาชีพการงานที่ดี ดูเป็นคนเรียบร้อย เป็น "คนดี"

ชั้นมองว่าภาวะซึมเศร้าในเด็กและอาการขาดความรักในผู้ใหญ่เป็นความป่วยของสังคม ไม่ใช่ความผิดปกติของปัจเจกซะทีเดียว  เหมือนอย่างที่ James Hillman พูดว่ามันเป็นอาการของสังคมที่ไม่ Healthy มันไม่ใช่แค่เรื่องความอ่อนแอ ความผิดศีล

To end on a positive note:  ชั้นอ่าน Reflections ของเด็กเยอะมากจนเริ่มแยกได้แล้วว่าปัจจัยที่ทำให้งานเขียนน่าอ่านคือสมดุลระหว่างข้อมูล (Head) และความรู้สึก (Heart) คือ ถ้าข้อมูลเยอะจัด มันแห้งแล้ง อ่านแล้วเบื่อ แต่ถ้าอีโมเยอะมากก็มึน รู้สึกว่าเยอะไป กระทั่งนิยายยังต้องมีทั้งสองด้าน

เราพบอันนี้ตอนที่เราเขียน Proposal ขอเงินคณะมาจัด Workshop อันแรกเขียนวิชาการจ๋ามาก เพื่อนอ่านแล้วคำถามเยอะ อ่านแล้วไม่เก็ต ชั้นแทบฉีกอันแรกทิ้ง เขียนใหม่ในมุมของชั้นเอง ชั้นรู้สึกว่าอันที่สองทรงพลังกว่ามาก Introduction มันทะลุทะลวงกว่า อิมแพ็กมากกว่า

เทอมนี้ชั้นรู้สึกตื่นเต้นกว่าทุกๆ เทอมที่เคยสอนมา เหมือนเป็นการเดินทางไปยังที่ๆ ไม่เคยไปมาก่อน

Comments