Write to live


จริงๆ เราเขียนเพราะว่าไม่เขียนไม่ได้  มันเป็นพลังที่ขึ้นมาในตัวเรา ที่ต้องการจะเอาออก บางทีตอนเริ่มเขียน ยังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรออกไป

สองปีที่ผ่านมาเป็นปีที่สำคัญในเชิงการเติบโตของตัวเอง ได้ผ่านหลายสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำ เช่น การทำงานกับคน นิสัยเดิมชั้น Introvert มากๆ อยู่กับหนังสือหรือให้ทำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ง่ายกว่าอยู่กับมนุษย์  ไม่ได้ตั้งใจจะทำงานที่ปฏิสัมพันธ์กับคน แต่ก็มีเหตุให้ต้องทำ

เรารู้สึกว่าเรามีพลังมากๆ เวลาเรามีภาพฝันในหัวชัด ถ้าสิ่งที่เราทำมันชัดมากในตอนแรก พอทำไปซักพัก มันเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่เกินกำลังที่เราจะทำได้คนเดียว มันเริ่มจะสิ้นหวัง  

หรือว่าจริงๆ อาจจะไม่ใช่สิ้นหวัง แต่หมดแรงก็ได้

ชั้นสนใจเรื่องการเรียนแบบที่มีความหมายกับผู้เรียนและผู้สอน  ชั้นไม่ชอบทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ คือ ถ้าจะสอน เพียงเพื่อสอบผ่าน สอบเสร็จลืม ชั้นว่ามันหวังน้อยไป น่าเบื่อ เปลืองพลังคนสอนเปล่าๆ  ชั้นอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ในทัศนคติ หรือทักษะก็ได้ แต่มันต้องมีอะไรที่ไม่เหมือนเดิม

จริงๆ เราก็ไม่ได้หวังมากเลยนะตอนแรก 

เขียนเพื่อให้ตัวเอง Concentrate ได้
ระหว่างฟังเพื่อนสะท้อนใน Workshop
พอเราเปลี่ยนห้องเรียนของเราได้แล้วในระดับหนึ่ง ก็อยากจะเปลี่ยนห้องเรียนอื่นๆ บ้าง มันมีความเชื่อมโยงกัน เราไม่สามารถอยู่บนเกาะของเราคนเดียว เด็กที่มาถึงเราก็มาจากสายพานของวิชาอื่นๆ  เราอยากอยู่ในที่ๆ มีความหมายด้วย  มันเป็นพลังงานของสถานที่  ชั้นอยากให้คนทำเพราะเห็นความหมายของสิ่งที่ทำ มากกว่าทำเพราะต้องทำ หงุดหงิดหรือไม่ทำเลยถ้าต้องทำอะไรที่ชั้นหาความหมายใดๆ ไม่ได้

ชั้นสนุกกับการมีพื้นที่การเรียนรู้ร่วมกับอาจารย์ในภาค ในคณะ  ชั้นเสพติดพลังงานของพื้นที่แบบนั้น ที่สิ่งที่ทำมีความหมาย  อาจารย์หลายคนได้ประโยชน์จากการอยู่ในพื้นที่แบบนี้ ผ่าน Workshop ผ่านวงสนทนา แต่ภาระหน้าที่ของพวกเรามากเกินกว่าที่จะมาเจอกัน พูดคุยกันแบบเห็นหน้า มันอาศัย Commitment 

ชั้นเริ่มท้อ เร่ิ่มเบื่อ ไป Workshop ล่าสุดก็สนุกและได้เรียนรู้ แต่มันก็ไม่มาก เหมือนมีความขุ่นมัวอะไรบางอย่างที่รอการระเบิด  พอพี่ณัฐให้แชร์ปิดวง มันก็ออกมาเอง ฮีเป็นคนที่เหนี่ยวนำความเปราะบางของชั้นออกมาได้มากที่สุด คุยเรื่องอื่น ไม่ต้องถูกโค้ชอย่างเป็นทางการ ยังขึ้นมาเลย  

พอได้ name ความสิ้นหวังแล้วทำให้โล่ง ระบายออกทางกายด้วยน้ำตา  I get emotional when I talk about something that is so dear to me.  

พี่ณัฐบอกว่า เธอคือความหวัง ชั้นก็หึ!  นึกในใจว่า Hope is what is killing me.    

จาก Workshop ชั้นขับรถมาทำงานต่อที่พัทยา ที่ภาควิชาจัด Conference  ชั้นมาถึงสองทุ่ม เหนื่อยและหิว พอเช็คอินปั๊บ หันไปเจอนิสิตป.โทที่มาช่วยงานกำลังจะไป 7-11  ฝากมันซื้อข้าวเสร็จ ก็หันไปเจออาจารย์ที่มางาน ที่เคยเป็นลูกศิษย์ปริญญาเอกของชั้นมาก่อน  รู้สึกถีงคุณค่าของอาชีพนี้ขึ้นมาทันที  เราได้เคยดูแลเขา แล้วเขาก็ดูแลเรา ไม่ต้องเดินออกไปซื้อเอง

บางทีชั้นก็มองภาพใหญ่เกินไป มุ่งแต่ Mega project จริงๆ ก็มีความดีงามเกิดขึ้นตลอดเวลา  การเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของคน ในช่วงที่เค้าพร้อมที่จะเปลี่ยน มันเป็นงานที่เปี่ยมพลัง และทรงความหมาย  

ที่งาน Conference ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะเป็น CEO แต่น้องที่ทำอยู่ลาคลอด ไม่มีใครตัดสินใจ ชั้นแก่พอและกล้าพอที่จะสั่ง ก็ได้สั่ง พบว่าชั้นสามารถทำงาน Event Organizer ได้สบายๆ ประสบการณ์การช่วยงานที่วัดและจัด Workshop หลายๆ อัน เตรียมให้เรามาทำงานนี้ได้ 

ได้เด็กป.โทมาช่วยงานนี้เยอะ ขอบคุณพวกมันมาก ช่วยเต็มที่  ถ้าไม่ได้เด็กๆ งานไม่ออกมาดีแบบนี้ได้ ชั้นค่อนข้างพอใจมาก  ชั้นเชื่อว่าเราจะรู้จักกันดีมากๆ ถ้าได้ทำงานด้วยกัน


ฉันคิดว่าการศึกษาระดับมหาลัยคงจะไม่เปลี่ยนในเร็ววันนี้ โดยเฉพาะในมหาลัยที่ยังกินบุญเก่าอยู่ คือ ไงๆ ก็มีคนสมัครมากกว่าจำนวนที่นั่งที่มี ชั้นไม่คาดว่าจะเห็นความเปลี่ยนแปลงใน 5-10 ปีนี้ ตราบเท่าที่มหาลัยยังให้ค่าแต่กับการตีพิมพ์ papers  การสอนคงเป็นแบบเดิมที่เคยทำมาหลายสิบปี ตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต

แต่จริงๆ ก็มีสิ่งเล็กๆ เกิดขึ้นได้ทุกวันในแง่ของความสัมพันธ์  ชั้นรู้สึกว่าที่มนุษย์อาจารย์ที่ชอบสอนยังทำงานนี้อยู่ได้ ปัจจัยสำคัญคือเค้าชอบปฎิสัมพันธ์กับเด็กและชอบการเรียนรู้  ถ้าไม่ชอบสองอย่างนี้ ก็ต้องชอบทำวิจัย ชอบเขียน papers ถ้าหลุดจากนี้ ก็อยู่ยากละ มีหลายคนที่ลาออกไป หรือพูดว่าจะไปในไม่ช้า

ชั้นเองก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร จะอินเรื่องนี้ไปได้นานแค่ไหน จริงๆ คงอย่างที่เคยอ่านเจอ You can only do small things with great love.


Comments