Hello Holiday

Photo Credit: Nuttarote.
ชั้นรู้สึกเหมือนวิ่งอยู่ตลอดเวลาเกือบเดือน สารพัดสิ่งต่อเนื่องกัน สอน, คุยกับนิสิต, เตรียมสอน, ทำงานให้ธุรกิจที่บ้าน, ลงทะเบียนค่ายเณร, เตรียม Workshop, ทำหนังสือ มันคงหลายสิ่งมากจนเครียดไม่รู้ตัว ส่งผลให้ประจำเดือนมาช้า วันนี้ที่เริ่มผ่อนคลายจริงๆ มันก็มาซะที

ตอนทำก็ไม่เหนื่อย แต่พอหยุด ถึงได้รู้สึกว่าเหนื่อยว่ะ  ชั้นมีความโลภ อยากทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน  และถ้าทำอะไร อยากจะไปให้สุดขอบ

ปีสองปีที่ผ่านมา ได้จัด Workshop ให้ภาควิชาและคณะหลายอัน แต่อันที่เพิ่งเสร็จไปเป็นอันแรกที่เป็นสาธารณะ ไม่ใช่ของเรา และคนที่มาจ่ายเงินมา  เป็นโชคดีที่คนจัดการหลักไม่อยู่ เราเลยได้ทำจริงๆ โดยมีลูกศิษย์มาช่วย

ความกังวลเบื้องต้นคือกลัวจะปี๊ดขึ้นเวลาไม่ได้ดั่งใจ คือ ตอนชั้นสวมบทเป็นอาจารย์อยู่มหาลัย มันมีความยกย่องโดยอัตโนมัติจากคนอื่น  แต่ตอนเป็นผู้ประสานงานมันก็อีกอย่าง และชั้น represent องค์กรนี้ที่สอนเรื่องการสื่อสาร จะหน้าหงิกก็ไม่ควร  ในประเทศนี้ เวลาคุณเป็นอาจารย์ เค้าก็ให้คุณเป็นไปตลอด ทุกที่ ทุกเวลา มี Rank ที่สูงกว่าคนทั่วไป เค้าก็ยังเรียกเราว่าอาจารย์ทั้งที่วัดและที่อื่นๆ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษตลอดเวลา ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ทำงานง่าย คนเกรงใจ

ปรากฏว่าข้อนี้ผ่าน ไม่ได้ปี๊ด เพราะก่อนหน้านี่ปี๊ดไปหลายทีกับเจ้าของงานหลัก

Credit: Nuttarote
พอทำงานกับคนที่ต่างกับเรามาก ทำให้เราได้เรียนรู้จักตัวเองเยอะจริงๆ  เห็นความที่เราไม่ไว้ใจคนอื่น ยิ่งพอมีเรื่องราวของเค้าในอดีตจากคำบอกเล่าของคนอื่น เราก็ยิ่ง extrapolate and exaggerate ว่าเค้าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้  จะเป็นอุปสรรคต่อ"งานฉัน"  ความกังวลนี้ทำให้ฉัน overreact แล้วเจ้าตัวก็รู้ได้ว่าถูกระแวง โชคดีที่เค้าไม่ take it personal เพราะว่าจริงๆ แล้ว Exiled part ของฉันถูก trigger ให้มีปฏิกริยา และขอบคุณความขี้ปี๊ดและความอยากเคลียร์ของเรา เพราะว่ามีอะไรก็คุยเลย พอเคลียร์แล้วก็ผ่าน

ชั้นก็ขอบคุณเขาที่ทำให้ชั้นเปลี่ยนใจ และ Confirm ว่าคนเรามันเปลี่ยนกันได้  Something is not what it seems to be.

ความตลกร้ายของการช่วยจัด Coaching workshop คือ จริงๆ ชั้นไม่ชอบให้ใครมาโค้ช ชั้นรู้สึกว่ามันเป็นการเยียวยาชั่วคราว เหมือนทายาแก้คัน ถ้ายังไม่หายจริง ก็ยังคันอยู่นั่นแหละ  และชั้นก็เห็นคนที่เคยถูกโค้ช มันก็ยังอยากถูกโค้ชอยู่นั่นแล้ว เหมือนเสพติด  ชั้นไม่อยากเสพติดกับปัจจัยภายนอก

พอเอาเข้าจริง อย่างที่พี่ณัฐว่า มันไม่จำเป็นต้องมีโค้ชที่เก่งเลย แค่ได้คุย และเมื่อถึงเวลา เราก็ได้รู้บางอย่างเกี่ยวกับตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ

งวดนี้ ตอนฉันได้จับคู่โค้ชกับพระอาจารย์ฉันเอง  ฉันได้รู้จัก"ด้าน" ของท่านที่ชั้นเคยเห็นบ้าง แต่ไม่ได้เห็นชัด  จริงๆ ชั้นดึงดูดกับตัว "เอนหลัง" ที่ผ่อนคลาย สบายๆ นี้ของท่าน  Part หลักของฉันที่เลือกมาคุยคือ Performer ที่ทำนั่นทำนี่  ท่านโน้สถามว่าไม่มีตัวขี้เกียจบ้างเหรอ  ฉันบอกว่ามี ตัวขี้เกียจนี่จะทำในสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำในตอนนั้น เช่น ทำหนังสือ งานที่จำเป็นต้องทำ เช่น ตรวจข้อสอบ กลับไม่ทำ

ท่านโน้สถามว่า แล้วฉันเติมพลังจากอะไร ฉันบอกว่าจากตัวคุณนาย ที่ไปทำเล็บ นวดตัว นวดหน้า ฝึกโยคะ กินอาหารสุขภาพ ช้อปปิ้ง ที่สั่งให้คนอื่นทำนั่นทำนี่แทนตัวเพื่อถนอมพลัง  ช่วงที่ยุ่งๆ นี่ ตัวคุณนายไม่ได้ออกเลย ทำให้เหนื่อย

จริงๆ มีอีกตัวที่ลืมเล่าคือตัวนักบวช ชั้นนั่งภาวนาสั้นๆ ก่อนนอนทุกคืน และทำสั้นๆ ตอนเช้า ถ้าไม่ได้ภาวนา คงสติแตกไปนานแล้ว

ฉันเขียนบันทึกสิ่งนี้ส่งให้พี่ณัฐอ่าน ฮีสะท้อนว่า Performer นี่ถูกขับเคลื่อนด้วยการบังคับ ส่วนตัวขี้เกียจนี่ถูกขับเคลื่อนด้วย Passion ความชอบ  โจทย์ของฉันก็เลยเป็นว่า จะทำอย่างไรให้ Performer ถูกขับด้วย Passion บ้าง  ตอนที่พี่ณัฐพูดคำว่า Self love นี่ ความเปราะบางภายในโดนกระทบอย่างแรง เรานี่คงรักตัวเองไม่พอ หรือรักตัวเองผิดทาง

ประเด็นเรื่องทำส่ิงที่ชอบทำนี้ เกี่ยวข้องกับความเมตตาตนเองด้วย  ฉันมีความเชื่อว่า ฉันเมตตาคนอื่นน้อยไปเพราะเมตตาตัวเองน้อย มันคือสิ่งเดียวกัน  ฉันเป็นคนที่มีวินัยพอควร บังคับตัวเองได้ แต่บางทีคงบังคับมากไป  ชีวิตมันแห้งแล้ง เครียด

ตัวที่สะท้อนว่าฉันต้องการความผ่อนคลายคือครูของฉันทั้งสองคน พระอาจารย์และพี่ณัฐ เป็นคนที่โคตรผ่อนคลาย และมีความเชื่อเหมือนกันว่างานที่ดีจะออกมาตอนเราผ่อนคลาย ในขณะที่ฉันเชื่อว่า มีงานให้ทำ ก็ทำๆ ไป ไม่จำเป็นต้องรออารมณ์ คือ ฉันเชื่อว่า Fake it until you have it.  ไม่อยากทำก็ทำๆ ไป เดี่ยวมัน Flow เอง  จริงๆ ฉันคงใจร้อน ขี้เกียจรอให้อารมณ์มา...

ประเด็นเรื่องเมตตาก็น่าสนใจ ฉันจับคู่กับน้องอีกคนหนึ่ง น้องชี้ให้เห็นว่าพี่คิดว่าพี่เมตตาไม่พอเพราะพี่เปรียบเทียบอ่ะ ถ้าพี่ไม่เมตตา คนเค้าจะชวนมาทำงานด้วยเหรอ (จริงๆ เค้าไม่ได้ชวน เสนอตัวเอง) หรือจะมีลูกศิษย์มาช่วยเหรอ ฉันก็อืม..ขนาดเมตตา ชั้นยังมีเป้าเลย คือ มีภาพในหัวว่าต้องเป็นงั้นงี้

ภาพในหัวของผลลัพธ์ที่ต้องการนี่มีตลอด กระทั่งเอาอาหารเช้ามาให้เพื่อน ก็ยังมีภาพว่ามันจะต้องเป็นไง และถ้าไม่ได้ตามภาพและเป็นคนที่ใส่ใจมาก ก็มีหัวเสียอีก

ฉันเชื่อว่า เวลาเที่ยวด้วยกัน Hang out ด้วยกัน มันก็รู้จักกันในระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องทำงานด้วยกันนี่จะโคตรรู้จัก ยกระดับหรือลดระดับความสัมพันธ์เลย  งวดนี้ฉันก็รู้สึกว่าได้รู้จักหลายๆ คนดีขึ้นมากจากการทำงานด้วยกัน

มีเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันรู้สึกว่านางไม่ชอบฉัน ตอนท้ายเค้าก็มาบอกขอโทษ จริงๆ ขอโทษหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญที่เค้าจริงใจกับความรู้สึกแล้วมาบอกเรา ก็เออ..ฉันว่าความจริงใจเป็นจุดแข็งของฉันอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน

โชคดีที่เราไม่ไปไหนช่วงสงกรานต์ มีหนังสือ School that learns ที่จะต้องอ่านให้จบภายในสงกรานต์นี้ อยากใช้ชีวิตคุณนายอย่างที่เคย ฝึกโยคะ

พี่ณัฐบอกเสมอว่าจักรวาลจะส่งคนหรือสถานการณ์ที่ทำให้เราได้เรียนรู้ ซึ่งจริง Having met and worked with him is indeed a spiritual journey.

Comments