Clear Reflection after Vision Quest (1/x)

จบจากการอดอาหารในเควส แต่ละคนมีโอกาสเล่าเรื่องของตัวเองช่วงปลีกวิเวก คนฟังถามเพื่อช่วยให้คนเล่าชัดเจนในตัวเอง

ต่อจากนี้เป็นการถอดเทปช่วงสะท้อนของฉันเอง

ปกติเวลาซื้อของก็จะไม่ได้ดูให้ทั่ว สมมติว่าเราจะเอาเสื้อเชิ้ตสีขาว เราก็ดูเสื้อเชิ้ตสีขาว วัสดุแบบนี้ คัตติ้งแบบนี้ ราคานี้ ซื้อเลย จะไม่ shop around

ตอนเลือกโลเคชัน (ที่จะปลีกวิเวก) รู้อยู่แล้วว่าไม่เอาริมน้ำ พอไปถึงเรารู้ละ เราอยากได้ภูเขาแล้วก็พื้นราบ ร่มพอ มีต้นไม้ พอไปเจอสปอตแรกก็เอาเลย ไม่ได้เดินหา ขี้เกียจด้วย แต่ก็เช็คพลังงานนิดหนึ่ง ก็นั่งอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง  พลังงานโอเคก็ขนสมบัติ เอาเต็นท์ไปกาง

บ่ายแรกพอเสร็จจากนู่นนี่นั่นตอนเช้า เราก็รู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยแล้ว ไม่ได้กินกาแฟด้วย ปกติอยู่กรุงเทพฯกินกาแฟเยอะมาก แล้วมันก็เริ่มมีอาการของการขาดคาเฟอีน ก็เริ่มปวดหัว แล้วตอนเช้าก็มีพิธีกรรมอีก กว่าจะได้ลากเต็นท์ตัวเองขึ้นไป กางเต็นท์เสร็จก็เหนื่อยมาก ในเต็นท์มันร้อน ก็ไม่ได้นอนในเต็นท์ เอาผ้ามาปูแล้วนอนเลยแล้วก็หลับ พอหลับเสร็จมดเริ่มไต่ ก็เลยคลานเข้าไปนอนในเต็นท์ตัวเอง แล้วก็นอน

วันสองวันแรกก็ไม่มีอะไรมาก นอนเยอะมาก เรารู้สึกว่าเวลาเราไม่ได้อาหาร ร่างกายเรามัน automatically ลด activity คือปกติเป็นคนที่ทำอะไรเยอะมาก ในแต่ละวันจะทำหลายสิ่ง ตารางจะแน่น พอเป็นแบบนี้มันก็ดี เป็นการ slow down

วันที่สองก็เริ่มมีการปวดท้องจากการไม่ได้อาหาร ก็เอายาแก้ปวดไป ความน่าสนใจสำหรับเรา เรารู้สึกว่าการไม่ได้อาหารก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แล้วทำให้ความคิด ใจเราค่อนข้างเคลียร์

ฉันสนใจกระบวนการตอนใกล้ตาย คือ เรารู้ว่าเวลาใกล้ตายร่างกายเราจะค่อยๆ shut down เหมือนร่างกายเราเป็นระบบ คือฉันเป็นวิศวกร ฉันมองร่างกายเป็นระบบ สมมติมันเป็นโรงงาน มันต้อง shut down อะไรที่ไม่จำเป็นก่อน แล้วระบบที่สำคัญมันจะเก็บไว้ เพราะฉะนั้นระบบที่ไม่สำคัญคือการย่อยอาหารซึ่งมันใช้พลังงานเยอะมาก มันจะ shut down ระบบนี้ แล้วพลังงานทั้งหมดก็ขึ้นมาอยู่ข้างบนทำให้สมองฉันชัด ตอนกลับมาจากเควส รู้สึกว่าถ้าฉันใกล้ตายแล้วร่างกายมันหยุดรับอาหาร สมองฉันจะเคลียร์ ก็รู้สึกดีว่าตอนใกล้ตายฉันจะชัด

วันที่ 2 กิจกรรมที่ทำคือ พี่ณัฐบอกให้ลองเอาคู่กรณีมานั่งคุย หมายถึงเรามีประเด็นกับใครเราก็ imagine เขามาอยู่ตรงหน้า ฉันไม่ได้มีหิน ฉันมีต้นไม้อยู่ 2 ต้น คือ ปกติพี่เขียนบันทึกอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้คิดว่าการพูดออกเสียงมัน powerful เราก็คิดว่าก็ฉันเขียนบันทึกอยู่แล้ว แต่พอเราพูดออกมามันมีพลังกว่าเขียน ก็พูดๆ กรณีที่ 1, 2, 3  พอจบทั้งหมดทั้งมวลก็เขียนจดหมายถึงเขา แล้วเราก็มีลิสต์ว่าเรากลับไปเราก็จะคุยกับเขา

อีกอย่างหนึ่งที่พี่ณัฐแนะนำให้ทำ คือเขียนว่ากลับไปทำอะไร ฉันก็พรีดเต็มหน้า แล้วฉันก็แทบอยากกลับกรุงเทพฯ ไปทำเลยเพราะเยอะจัด ใกล้เปิดเทอมด้วย วันที่ 3 ก็เริ่มนึกถึงว่าออกไปจะทำอะไร

คิดถึงอาหารบ่อยมาก คือ คิดถึงว่าเดี๋ยวจะกินนู่นกินนี่กินนั่น  เที่ยงคืนของวันที่ 3 จะขึ้นวันที่ 4 ฉันมีโอวัลตินทรีอินวันอยู่ในกระเป๋า พอเที่ยงคืนก็กินเลย ฉันรู้ว่าโอวัลตินมันละลายในน้ำเย็นได้ถ้าเราเขย่า  แล้วก็กิน Snickers bar เราคิดว่าฉันไม่ได้กินอาหารมา 3 วัน มันน่าจะอร่อยมากๆ แต่ปรากฎว่ามันอร่อยแค่คำแรกเหมือนดูดบุหรี่อ่ะ Imagination ฉันไพศาลกว่ารสชาติอาหารที่แท้จริง ผิดหวัง

เรามีหนังสือเสียงอยู่ในมือถือ เราก็นอนฟัง Audible มีนำภาวนาและระหว่างนั้นก็นั่งภาวนาไปด้วยบางครั้ง

วันที่สามนอนเยอะมาก คือนอนข้ามวันข้ามคืน วันที่สามฝนตก เริ่มเป็นห่วงว่าเต็นท์จะน้ำท่วมหรือเปล่า น้ำอยู่ใต้เต็นท์ เรามี fly sheet เราก็รู้สึกขอบคุณเต็นท์เรา คือเต็นท์พี่ดี เรารู้ว่าคีย์มันอยู่ที่ฉันต้องตอกสมอแบบดึงเปรี๊ยะแล้วน้ำมันจะได้กระจายออก แต่ท้ายที่สุดน้ำมันก็ไปอยู่ใต้เต็นท์ฉัน ฉันก็ต้องคอยมากวาดน้ำใต้ชีท แล้วน้ำก็ค่อยๆ ซึมขึ้นมา แต่ฉันก็มีแผ่นรองนอนอยู่ เหมือนฉันนอนอยู่บนเกาะแล้วข้างๆ มันซึม แต่ฉันก็นึกถึงทุกคนว่าจะรอดรึเปล่า

เพื่อน: สิ่งที่ชอบที่สุด สิ่งที่รู้สึกที่สุดในการฟัง คือ พอเข้าใกล้พี่หญิงแล้วรู้สึกว่าทุกอย่างมันดูง่าย จัดการได้ Mindset นี้เป็นพี่ มันมีอะไรวะ มองทุกอย่างเป็นระบบ ซึ่งไม่ใช่ชีวิตเรา หนูว่านี่เป็นสิ่งที่หนูต้องเดินเข้าไปเรียนรู้ ที่จะต้องเชื่อว่า That’s it.  แค่นั้นอ่ะมันจัดการได้  นี่ก็เลยอยากรู้ว่ามีอะไรที่ยากสำหรับพี่บ้างไหมคะ ที่รู้สึกว่ามันขัดอกขัดใจ

ฉัน: ก่อนหน้านี้ น้องชายก็บอกว่าเราจะชอบคิดว่าคนอื่นเหมือนเรา ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ เลยนะกว่าเราจะเข้าใจว่าคนอื่นไม่เหมือนเรา บางมิติมันเหมือน Empowerment แต่ที่จริงไม่ใช่ ฉันเคยคิดว่าถ้าฉันทำได้แกก็ต้องทำได้สิ แล้วบางทีมันก็ไปกดดันเขา เขาอาจจะทำไม่ได้ด้วยความสามารถหรือทำไม่ได้ด้วยความสนใจ แต่เราคิดว่าเขาต้องทำได้

มูเคยสะท้อนเรื่องความเข้าใจว่าคนอื่นรู้สึกยังไง คือ ฉันเข้าใจระดับหัว คือด้วยลอจิกอันนี้อย่างนี้ๆ แต่ฉันไม่ได้เข้าใจจนน้ำตาเอ่อทะลัก ฉันทำไม่ได้ มันยากมาก แล้วมันทำให้ฉันรู้สึกว่าเวลาใครเข้าใกล้ฉันเยอะในแง่ความรู้สึก ฉันจะ...ใกล้ไปละ จะมีกำแพงขึ้นมาอัตโนมัติ แล้วฉันรู้สึกจะอ้วกขึ้นมาเลยถ้าใครเข้ามาใกล้มากๆ

เพื่อน: ทำไมถึงเล่าเหมือนมีอารมณ์กับมัน

ฉัน : มันพึ่งเกิดก่อนมาเนี่ย

เพื่อน:  ทำไมมันถึงรู้สึกจะอ้วก

ฉัน: ฉันเรียนหนังสือมาเยอะ ฉันสามารถเข้าใจในแง่ตรรกะได้ คล้ายๆ เวลาเราเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ยังไงแต่มันไม่ได้เข้าถึงใจ มันเข้าถึงหัวอย่างนี้ แล้วบางทีเกิดความย้อนแย้งว่าเราเข้าใจ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้

มันเป็นความอึดอัดใจในระดับหนึ่งว่าฉันรู้ขนาดนี้ แต่ฉันไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ แล้วยิ่งเราอ่านมาเยอะขนาดนี้ เราฝึกมาขนาดนี้ ทำไมเราทำไม่ได้วะ มันเป็นความอึดอัด แล้วยิ่งเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน นี่ฉันก็ทำได้นะนั่นฉันก็ทำได้ เนี่ยฉันทำไม่ได้ในแง่ปฏิบัติธรรมหรือในแง่พัฒนาตัวเอง มาตรวัดทางโลกกับมาตรวัดอย่างอื่นมันคนละอันกันแล้วจะมีความอึดอัด

ฉันรู้ว่ามันมีทอล์กเยอะแยะมากมายเกี่ยวกับเรื่องจุดเปราะบาง มันมี TED Talk ที่ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Brene Brown เล่าว่าเขาไปสัมภาษณ์คนที่อยู่แบบเป็นเนื้อเป็นตัวจริงๆ อยู่อย่างจริงแท้ พบว่าคนที่สามารถมีชีวิตอยู่แบบจริงแท้คือคนที่เข้าใจและเข้าถึงจุดเปราะบางของตัวเอง คือแบบมันซิมเปิลมากๆเลยนะ ด้วยความที่ฉันเป็นนักวิจัย นี่มันพรูฟแล้วด้วยว่ามันจริงแต่ฉันไม่สามารถทำได้

เพื่อน : พี่หญิงว่าวงนี้เป็นวงที่ปลอดภัยไหม

หญิง : ก็ปลอดภัยนะ

เพื่อน : เมื่อกี้เรารู้สึกว่าพี่หญิงมีความรู้สึกสั่นไหว พี่หญิงสามารถแบ่งปันให้เราฟังได้ไหมว่าเมื่อกี้สั่นไหวเพราะอะไร

หญิง : ก็สั่นไหวเพราะว่า เราไม่ชอบจุดเปราะบางของตัวเอง ในภาษาคริสเตียนเขาเรียกว่า Holy Grail เป็นจุดที่เจอแล้วชีวิตจะเป็นนิรันดร์ คือมันอารมณ์แบบไอ้นี่คือจุดที่ฉันจะต้องไปให้ถึง แต่ฉันไม่สามารถอยู่กับมันได้ แต่ว่านี่คือจุดที่แกจะต้องทำ แล้วเรารู้สึกมันรับไม่ได้

เพื่อน :  แปลว่าพี่หญิงก็เจอแล้วว่าพอจะรู้แล้วมันคืออะไร

หญิง : ใช่ๆ

เพื่อน :  ใช่เรื่องที่พี่บอกว่าหาอาจารย์ทางธรรมแล้วพี่พบว่าตัวพี่เองคือคนที่เป็นอาจารย์ของตัวเอง นี่คือจุดที่พี่เจอแล้วพี่รู้สึกยังไงกับมัน คือว่าไม่อยากจะเป็นคนนี้ ไม่อยากแบกรับหน้าที่หรือว่าอะไรแบบนี้หรือเปล่า

หญิง : ก็ไม่เชิงประเด็นนั้น แต่มันเหมือนกับว่า มีความย้อนแย้งว่าเราอยากให้มีคนที่เข้าใจเรา แต่พอมีใครจะเข้าใจเรา แล้วเราก็แบบ มันไม่ใช่ขึ้นมาทางหัวด้วยไงคือมันอัศจรรย์ตรงที่มันขึ้นตรงความรู้สึก เช้านี้แม่งกูจะอ้วกละ แล้วมันก็อัศจรรย์ที่ว่าฉันมีสิ่งที่ฉันคุมไม่อยู่ แล้วเรื่องการคุมอยู่มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับพี่

พอเรามีทั้งฐานะทางสังคม เรามีเงิน เรามีนู่นนี่นั่น เราต้องการคอนโทรล แล้วเรารู้สึกไม่ secure มากเวลาเรา lose control ร่างกายฉันยังปฏิปักษ์กับฉันเลย มันขึ้นมาแล้วอะ ฉันไม่ชอบ

เพื่อน :  แล้วรู้สึกยังไงที่คนอื่นเข้าใจเรา เข้าถึงเรา ก่อนที่เราจะเข้าใจ process ของตัวเอง

หญิง : บางทีมันก็ดีแต่บางทีมันก็น่ากลัว คือเอาเข้าจริง เรารู้สึกบางทีเราก็กลัวตัวเองเหมือนกัน คือรู้สึกว่าบางครั้งเราก็จะดี แต่บางครั้งเรารู้เรามีความเสแสร้งได้ มันเป้นความเสแสร้งเนียนๆ ยกตัวอย่าง สมมติพี่จัดเวิรคช็อป ปกติพี่ก็ไม่แคร์เกี่ยวกับมนุษย์มาก แต่ในความที่ฉันเป็นโฮสต์ของเวีรคชอป ฉันก็ต้องเข้าไปคุยกับผู้คน เป็นไงบ้างคะ คือเราสามารถทำได้ แต่เอาเข้าจริงเราก็ต้องแบบฮึดขึ้นมา เพื่อที่จะทำอะ คือถ้าเกิดคนรู้จักฉันจริงๆ เขาก็จะเห็นประเด็นพวกนี้ว่าฉันเฟคได้

เพื่อน : แปลว่าไม่ได้อยากให้ใครเข้าถึงเรา และเราก็ไม่อยากไปเข้าถึงใครซี้ซั้วได้ไหม

หญิง : เราอยาก มันทั้งอยากและไม่อยาก คืออยากในแง่ที่ว่าเรารู้สึกว่า มันมีความกลัวว่าเวลามีคนเข้าใจเราเยอะๆ มันกลัวว่าแบบฉันเซฟตรงนี้นะเว้ย และมันอาจจะมีจุดที่ฉันยังไม่รู้จักตัวเองทำไมแกเห็นก่อนวะ คือเอาเข้าจริงพี่อยากจะควบคุมคนอื่นมากกว่าให้คนอื่นมาควบคุมเรา แล้วถ้าเขาเข้าใจเราก็แปลว่าฉัน lose my control อะไรเงี้ย

เพื่อน : สงสัยทันทีในหัวว่าเคยลอง slow slowเข้าไปทีละนิดไหมหรือว่าตอนนี้เห็นภาพว่าต้องพุ่งปุ๊บ พัง loss control พี่หญิงเคยแบบก้าวเข้าไปทีละติ๊ดๆๆมีไหมกับสิ่งที่ control ไม่ได้

หญิง : กำลังพยายามอยู่ อีกประเด็นหนึ่งที่เราไม่ชอบความไม่รู้ เราพึ่งรู้ตัวว่าเราไม่ชอบความไม่รู้ ตอนเรียน coaching มันก็จะมีประเด็นว่า เวลา coachy ไปไหนก็ไม่รู้ เราก็จะสะกดจิตตัวเอง ท่องว่า "ให้อยู่กับความไม่รู้ๆ"  คือบางทีเริ่มปุดๆ ขึ้นมาละ มึงจะไปไหนของมึงวะ เส้นเรื่องของมึงอยู่ที่ไหน มันก็เป็นแบบฝึกหัดของเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องของการอยู่กับความไม่รู้

เพื่อน : ทำไมพี่ต้องมาสนใจเรื่องนี้ด้วยทั้งๆที่ชีวิตนี้นี้ถ้าไม่มีเรื่องนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย พี่ก็เพอร์เฟคในชีวิตของพี่

หญิง : เออ ไม่รู้สิ เราคิดว่าถ้าเราไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ เหมือนการบ้านที่ยังทำไม่เสร็จ ฉันต้องมาอีกชาติหน้า ไม่ได้รู้สึกเบื่อกับการมาอีก แต่เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจที่จะรู้ อารมณ์แบบภูเขาน้ำแข็ง ฉันอยากรู้ว่าใต้ภูเขาน้ำแข็งฉันมีแรงขับอะไร คือเอาเข้าจริงฉันหมกมุ่นกับตัวเองเยอะ ฉันไม่ได้สนใจคนอื่นสักเท่าไร แต่ฉันสนใจตัวเองว่า ฉันมีแรงขับอะไรวะ ฉันทำอย่างนี้เพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าคนที่เข้าใจตัวเองอย่างสมบูรณ์เขามีแบบความสงบเย็นที่ไม่ต้องพยายาม แล้วมันแบบ totally อยู่ตรงนั้นจริงๆ เราอยากได้แบบ total presence

To be continued.

Comments