อยู่กับความเปราะบาง

ต้นไม้ใหญ่
Credit พี่ณัฐ
วันนี้ขณะที่ขับรถด้วยความเร็วสูง พร้อมทั้งฟังเพลงดังๆ ร้องเพลงมาในรถ ประสบการณ์การไป Quest ก็เริ่มตกผลึก

มีคนบอกว่าฉันแตกต่างจากคนอื่นที่ไปเควสต์ตรงที่ฉันไม่ได้แสวงหาอะไร จริงๆ ที่ต่างอีกอย่างคือแก่กว่ามากด้วย  แต่ว่าพอใกล้ๆ ถึงวัน ฉันก็หาประเด็นมาถามได้เอง เป็นเรื่องครูทางจิตวิญญาณ

ช่วงก่อนเควสต์ ขณะอยู่ใน Intuition workshop ฉันไปชนกับความเปราะบางของฉันโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่ณัฐมาอยู่เป็นเพื่อน แล้วกลายเป็นโค้ชฉันต่อ ปกติฉันไม่ชอบรับการโค้ช ไม่ได้เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง แต่คิดว่าการถูกโค้ชเป็นทางลัดทางอารมณ์ (Emotional short-cut) อยากพึ่งตัวเองได้ ฉันไม่อยากเสพติด Empathy

เอาเข้าจริงแล้ว ถึงฉันจะเขียนเล่านั้นนี่ทางบล็อกนี้ แต่ไม่มีใครเข้าถึงตัวฉันจริงๆ เท่าไหร่ ขนาดฉันเองยังเข้าไม่ถึงตัวเองเลย  ฉันไม่ชอบให้ใครเข้าถึงวิญญาณฉันมากนัก ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยและกลัวว่าจะถูกควบคุมโดยคนที่รู้จักวิญญาณฉันดี

แต่ข้อเสียของการตั้งกำแพงโดยไม่รู้ตัวคือฉันเองก็เข้าไม่ถึงตัวเอง (แล้วก็เข้าไม่ถึงคนอื่นด้วย) มีหลายอย่างในตัวฉันที่แปลกแยกจากตัวฉันเอง ดูคาดเดาไม่ได้ ไม่มีเหตุผล

การถูกโค้ชโดยพี่ณัฐ ทำให้วิญญาณของฉันรู้สึกเชื่อมโยงกับเค้าโดยปริยาย

ผ่านไป ไม่มีอะไร ฉันไปถึงเชียงใหม่ก่อนเควสต์เริ่ม เที่ยวเล่น กินอิ่ม นอนหลับ วันรุ่งขึ้น ฉันรู้สึกมวนท้อง อยากจะอ้วก รู้สึกไม่อยากไปเควสต์อย่างมาก  โทรไปปรึกษาพี่ณัฐก็ยิ่งไม่อยากไปเควสต์หนักกว่าเดิม รู้สึกปฎิเสธ ทั้งๆ ที่เค้านี่แหละเป็นผู้นำการเดินทาง

ฉันรู้สึกเหมือนว่าร่างกายปฎิเสธการเดินทางครั้งนี้ แต่สมองมันสั่งว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป และแกก็มาถึงเชียงใหม่นี่แล้ว

Credit พี่ณัฐ
พอนั่งรถไปถึงป้ายทางเข้าหมู่บ้าน น้ำตาก็ไหลออกมาอีก โดยไม่มีดราม่าอะไร

หลังจากอดอาหาร ๓ วัน เรากลับมาสู่โลกมนุษย์ที่มีอาหารหล่อเลี้ยง เราผลัดกันเล่าการเดินทางภายในของเรา จริงอย่างที่พี่ณัฐว่า การเล่า การได้รับการสะท้อน การถูกถาม ทำให้สิ่งที่เราได้เรียนรู้ชัดขึ้นจริงๆ

ณ ตอนนี้ที่มองย้อนกลับไป ฉันเข้าใจแล้วว่าฉันกลัวที่จะให้มนุษย์คนอื่นเข้าถึงฉัน มันมีความย้อนแย้งในตัวเองที่ว่าฉันอยากให้คนเข้าใจฉันโดยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก แต่ฉันก็ไม่ได้อยากให้คนอื่นเข้าใจฉันมากกว่าที่ฉันเข้าใจตัวเอง คือ ฉันอยากเข้าใจตัวเองมากทึ่สุด พอคนอื่นมีทีท่าว่าจะรู้จักฉันมากกว่าที่ฉันรู้จักตนเอง มันทำให้กลัว อาการมันเลยออกผ่านความไม่สบายทางกาย

Sub-consciousness ฉันมันรู้ได้ว่าถ้าไปเควสต์ จะต้องรู้สึก Connect กับพี่ณัฐกว่าเดิม  มันไม่อยากให้คนอื่นเข้าถึง my soul ก่อนตัวมันเอง

แต่ด้วยหมู่คณะที่อยู่ด้วย ดนตรี กิจกรรม ฉันก็โอเค เพลินๆ ไป ลืมเรื่องนี้

ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว ฉันก็ขอบคุณตัวเองที่พาร่างกายไป ได้เรียนรู้ว่าครูทางจิตวิญญาณคือใคร ยังไม่รู้ว่าจะอยู่กับความเปราะบางของตัวเองอย่างไร รู้ด้วยสมองว่าต้องศิโรราบ แต่ใจมันยังไม่ยอม

มีเรื่องอื่นที่ได้เรียนรู้ระหว่างอดอาหาร ๓ วัน เช่น กระบวนการตาย พอความตายชัด ความมีอยู่ก็ชัด

มีเรื่องสนุก มีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น ซึ่งควรค่าแก่การเล่ายาวๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่ชัดคือฉันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉันก่อนเควสต์

Comments