Drama therapy


ฉันมาที่มะขามป้อมอาร์ตสเปซเพื่อเข้า Workshop สองครั้ง ได้เจอน้องตุ๊ดคนหนึ่ง สมมติว่าชื่อจี ตั้งแต่คราวที่มาปีที่แล้ว รู้สึกว่านางเฟรนด์ลี่มาก เล่าเรื่องเก่งมาก ทั้งด้วยคำพูด จังหวะการปล่อยคำ น้ำเสียง ภาษากาย ฮามากๆ แบบไม่ใช่ฮาเพื่อฮา แต่มัน drive home some points และมีเรื่องของ Surprise 

เราไม่ได้คุยอะไรกันมาก เพราะปีที่แล้วคนมาเข้าร่วมเยอะ

ปีนี้ ฉันมาเวิรค์ชอบ "การออกแบบการเรียนรู้ที่มีหัวใจ" จำนวนคนน้อย และฉันอยู่ต่อหลังจากเวิรคช็อปเสร็จ ก็ได้คุยกันมากขึ้น

จีเป็นลูกของมิชชันนารีคาทอลิก พ่อเป็นคนอีสาน แม่เป็นคนเหนือ เป็นลูกคนที่สามจากทั้งหมดเจ็ดคนเพราะคาทอลิกไม่ทำหมัน ด้วยหน้าที่ พ่อแม่ย้ายที่อยู่บ่อย ลูกแต่ละคนเกิดต่างที่กัน และจีย้ายโรงเรียนบ่อย จึงเป็นคนเป็นมิตรมาก เพราะต้องหาเพื่อนใหม่อยู่เรื่อยๆ

คริสต์แบบโรมันคาทอลิกถือว่าการเป็นเกย์ หรือ LGBT เป็นความผิดปกติ ที่ต้องการการรักษา  เป็นเรื่องตลกร้ายที่ลูกของมิชชันนารีจะเป็นตุ๊ด พ่อและแม่ก็เนียนๆ ไม่ยอมรับถึงแม้ลูกบอกตรงๆ ว่าเป็น  แม่โทษว่าที่จีเป็นแบบนี้เพราะทำงานกับมะขามป้อม (ทำละคร)

ด้วยความหวังดี พ่อและแม่พยายามทำให้จีกลับมาเป็น"ปกติ" ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ตี, เชิญนักจิตวิทยาจากวาติกัน ๔ คนมารักษาด้วยการสะกดจิตโดยที่ไม่บอกเจ้าตัวก่อน บอกแค่ว่ามาพบพระเจ้า (อันนี้นางเล่าได้เห็นภาพมากๆ และฮามาก), การให้กลุ่มบราเธอร์--นักบวช มาพาจีขึ้นดอยหลวงเชียงดาว เพื่อสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าที่นั่น ด้วยความหวังว่าการสื่อสารกับพระเจ้าที่ดอยหลวงซึ่งเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ มีพลังกว่าสวดที่อื่น
Cafe and Gallery at Makhampom

นางบอกว่าตอนอยู่กับพ่อแม่ นางเป็นอากาศ ไม่ถึงกับไม่มีตัวตน แต่ตอบสนองเท่าที่จำเป็น แอ๊กติ้งการเล่าต่างๆ ที่เป็นเสน่ห์ของนางถูกเก็บไว้ เพราะพ่อแม่ไม่ยอมรับ

ฉันว่านางได้ความตลกมาจากพ่อด้วย  นางเล่าว่าพ่อของนางก็ทำอะไรแปลกๆ และถ่ายทอดการกระทำแปลกๆ ด้วยการเล่าแบบฮาๆ เช่นกัน  ฉันชอบเรื่องที่พ่อจีบแม่ แม่ซึ่งเป็นคนสวยและไม่สนใจพ่อเพราะพ่อไม่หล่อเลยและฉันเดาว่าคงจนด้วย พ่อจึงเข้าทางพ่อของแม่ ซึ่งเป็นคนอีสานเหมือนกัน  ตอนที่พ่อเห็นว่าแม่จะไม่รับรักแน่ๆ แล้ว ฮีก็ไปผูกคอตายที่หน้าหอพักของแม่ เรียกชื่อ "เทวา เทวา" ประมาณว่าถ้าไม่แต่งงานกับผมๆ จะผูกคอตาย  คนทั้งหอก็มายืนลุ้น ตอนที่ฟังจีเล่า ฉันก็แบบ...ไม่ต้องห้ามเหรอวะ... แต่ว่า..พ่อผูกคอตายใต้ต้นมะยม แค่เอาเชือกผูกกับกิ่ง ยังไม่ทันเตะเก้าอี้ออก ไม้มะยมก็หักแล้ว  แต่น่าจะได้ใจนางอ่ะ หรือว่านางสมยอมเพราะรำคาญ แต่งงานกันมีลูกหลายคน

แม่จีมีสีสันมากเช่นกัน  นางบอกจีว่าที่เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นเพราะกระเทยที่พัทยาตัดอวัยวะที่สำคัญที่สร้างชีวิตใหม่ออก พวกเราที่ฟังก็แบบ..Post-modern มากๆ  Deconstruct จนหาลอจิกไม่เจอ

สิ่งที่น่าอัศจรรย์สำหรับฉันคือช่วงที่จีเล่า ไม่เห็นความขมขื่น เหมือนการเล่าก็เป็นการเยียวยาในตัวเองส่วนหนึ่ง เป็นการทำให้เพื่อนที่ฟังและตัวเองมีความสุขส่วนหนึ่ง

ฉันวิเคราะห์เองว่านางผ่านช่วงเวลาทดสอบต่างๆ (ซึ่งยังมีอีก) มาได้เพราะว่ามีคนที่เป็นทุ่นซัพพอร์ตในชีวิตหลายคน เช่น บาทหลวงอิตาเลียนซึ่งนางไปเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังได้หมด ตอนที่จีโกรธที่แม่เอานางไปรักษากับนักจิตวิทยาโดยไม่บอกก่อน ก็ได้บาทหลวงคนนี้ช่วยเยียวยาตอนท่านมารู้ทีหลัง  นางชอบไปหาท่านเพราะท่านยอมรับในสิ่งที่นางเป็น และท่านมีลูกกวาดจากอิตาลีที่นางชอบ หาไม่ได้ในบ้านนอกแถวนั้น
ดอยหลวงเชียงดาว

นางรู้ว่านางเป็นตุ๊ดแน่ๆ ตอนประถมปลาย ได้ดูมิวสิควีดีโอของลิปกับออยแล้วรู้สึกขนลุกพรีบ (สมัยก่อนบ้านนอกไม่ค่อยมีทีวี)  ดูมิวสิควีดีโอ ฟังเพลง จีก็แต่งคอสเพลย์แล้วร้องเพลงตาม เต้นตามอยู่คนเดียวในห้อง  อยากได้กางเกงขาพลิ้วๆ ที่ตัดเป็นฉีกๆ เป็นริ้วๆ ก็เอากางเกงสีขาวที่พ่อใช้ออกงานมาตัด แล้วก็เต้นอยู่ในห้อง  เมื่อพ่อจะใช้ ลูกทั้งบ้านและพ่อแม่ก็ต้องช่วยกันหา ซึ่งนางก็ซ่อนกางเกงที่ตัวเองทำพังไว้อย่างดี เนียนๆ ช่วยหาด้วย  พ่อยังไม่รู้จนบัดนี้ว่ากางเกงสีขาวตัวนั้นหายไปไหน

ตอนเรียน จีเรียนไม่เก่ง อยู่ห้องบ๊วยๆ  ครูไม่อยากสอนเด็กไม่เก่ง ก็ไม่ค่อยสอนโดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ (วิชาอื่นฉันไม่ได้ถาม) เด็กๆ ก็ไม่ได้ว่าอะไร ดีซะอีก จะได้เล่น  จีบอกว่าขึ้นม.๔ แล้ว ยังนับ ๑ ถึง ๑๐๐ เป็นภาษาอังกฤษไม่ได้เลย

ภาษาอังกฤษห่วยๆ ก็ตามติดนางไปจนถึงมหาวิทยาลัย  นางเลือกครุศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษ เพื่อนร่วมห้องดูถูกว่าภาษาแย่อย่างนี้ ไปเรียนอนุบาลเถอะ นางก็ทำตามเลย..ไปซื้อหน้งสือนิทานภาษาอังกฤษมาหัดอ่าน หัดฝึก

ช่วงมหาลัย จีได้ทำงานอาสากับมะขามป้อม ออกค่ายละครเด็กในชุมขนห่างไกล ซึ่งทำให้ได้พบคนต่างชาติ ได้ฝึกพูดอังกฤษ จีบอกว่า นางพูดภาษาอังกฤษแบบเมียเช่า

เมียเช่าหรือไม่ แต่เมื่ออาจารย์จับฉลากให้พูดสปีชแบบไม่ให้เตรียมมาก่อน (Impromptu speech) นางก็พูดแบบมั่นใจจนอาจารย์ประทับใจ และได้ไปแข่งต่อที่กรุงเทพกับนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่นๆ  ได้รางวัลกลับมาสู่มหาลัย

หลังจากจบปริญญาตรี ต้องไปเกณฑ์ทหาร มีเรื่องที่น่าสนใจมากๆ เป็น Trying times แต่จะสุ่มเสี่ยงเกินไปที่จะเล่า ควรให้นางเล่าเองตัวเป็นๆ จะดีกว่า แต่นางก็ผ่านมาได้ ด้วยความแข็งแกร่งภายใน ความเป็นมิตร ทัศนคติ การร้องเพลง และการเต้นๆ ปลดปล่อยความทุกข์

วิวจากที่นอน ชอบหมอก
ตอนนี้นางเป็นสตาฟของมะขามป้อมอยู่ที่เชียงใหม่  ฉันชอบทัศนคติการใช้ชีวิต เช่น นางไม่กินกาแฟ เพราะเปลืองเงิน ถ้ากินวันละสองแก้ว ก็เก้าสิบบาท  อาหารเช้าคือฝรั่ง (ผลไม้) ครึ่งลูก ไม่ใช่กินคลีน จีบอกว่าที่คลีนคือกระเป๋าตัง  เค้าส่งเงินให้พ่อแม่เดือนละห้าพัน  ถ้าปกติมีค่ายที่มะขามป้อม ก็จะได้กินฟรีพร้อมค่าย  ตอนอยู่มหาลัย กิจกรรมหรือเสวนาอะไรที่ฟรีก็ไปหมด

นอกเหนือจากความ Entertaining ฉันชอบที่นางฉลาด มีไหวพริบ กระหายใคร่รู้ อ่านหนังสือเยอะ ชอบช่วยเหลือ มีจุดยืนของตัวเองและกล้าแสดงออกซึ่งจุดยืน เช่น Sexual orientation ของตัวเอง, ความเห็นทางการเมือง ในหลายๆ สถานการณ์ที่นางเล่า เป็นฉัน ฉันคงไม่ทำแบบนั้น  ฉันฟังแล้วเหมือนการยอมรับตรงๆ in the eyes ของคนที่ถาม เป็น act of rebelling การต่อต้านแบบอหิงสา ดูคานธีมากๆ

มันก็ทำให้ฉันวาดฝันว่าสังคมเราจะเป็นอย่างไรถ้าเรากล้าเผยในสิ่งที่เราเชื่อ สิ่งที่เราเป็น

สำหรับฉันเอง การได้ฟังเรื่องราวชีวิตของนางทำให้ฉันรู้สึกว่าที่ผ่านมา บางทีฉัน take it for granted ในสิ่งที่ฉันมี โอกาสที่ได้รับ คือ ทำตามสัญชาติญาณ อยากทำก็ทำ อยากกินก็กิน อยากซื้อก็ซื้อ ตามใจตัวเองเยอะ ไม่ได้ใคร่ครวญเท่าไหร่ มีเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองในการตามใจตัวเอง

ปิดไม่ลง แต่นีกถึงชื่อคอร์สภาวนาของตั้ม "ชีวิตคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์" Life is sacred.

ส่งให้นางอ่านเพิ่ออนุมัติ นางบอกว่า...

เธอออออออ พอเธอเขียนแล้วฉัน ฉันดูเป็นตุ๊ดเหล็กไหลมากกก 55555 / รู้สึกเป็นเกียรติมากกกเลย ที่เห็นคุณค่าในตัวของฉันเหมือนที่ฉันเห็น 555 ชอบบบบ / เธอเขียนได้ inspiring มากๆเลย ขอบคุณมากนะครับพี่หญิง / อ่อแค่อาจจะผิดตรงที่ ม.1 เป็น ม.4 ครับ แล้วก็ เลือกเรียน คณะครุศาสตร์ เอกภาษาอังกฤษครับ ที่เหลือใช่เลย และมีพลังมากกกก พออ่านที่พี่เขียนแล้ว ยังอยากคุยกับตัวเองเพิ่มเลย 55555

Comments