วงสนทนา

เมื่อวานกลุ่มคุยพบกันครั้งสุดท้ายของปี  น่าจะอีกสองเดือนกว่าจะได้เจอกันอีก ฉันรู้สึกมันเป็นบทปิดที่ดี  อยากเขียนเก็บไว้

วงคุยนี้เริ่มมาจาก Transformative learning (TL) workshop ที่คณะวิศวะของฉันจัด ๓ วันในเดือนมิถุนา ๕๙ โดยให้ขวัญแผ่นดินมาช่วยรันให้ มีพี่ณัฐ ณัฐฬส วังวิญญู เป็นกระบวนกรหลัก อาจารย์คณะวิศวะไปกันน้อย เพราะคิดว่าเป็น How-to workshop และอาจารย์วิศวะเอียนกับ another how-to workshop ก็ไม่ค่อยไปกัน ฉันจะล่มโครงการเพราะเสียดายเงิน โชคดีที่คณบดีอนุญาตให้เชิญอาจารย์คณะอื่นมาได้ จีงได้อาจารย์ ๒๒ คน พอที่จะไม่โหวงเหวงเกินไป และฉันรู้สึกว่าเงินคณะถูกใช้ไปในทางที่สมควร

(พอจัด Workshop มาสองอัน พบว่าการขอเงินคณะไม่ยาก หาคนมารันก็ไม่ยาก แต่เชิญอาจารย์คณะวิศวะมาร่วมท้าทายมากๆ  ต้องก้าวข้ามความขี้เกียจอธิบายของตัวเอง  ต้อง Hard sell)

จุดเริ่มต้นของ TL workshop ของเราคือนางมารในตัวของฉันไม่ยอม (The bitch in me refused to give in.)  ฉันเคยไปอันที่จัดโดยคนอื่น ฉันชอบมากแล้วชวนเพื่อนไปในปีต่อไป ชวนไปได้สองคน ลงทะเบียน จ่ายเงินเรียบร้อย แต่ว่ามันล่มเพราะผู้ให้ทุนเปลี่ยนใจ แต่ฉันอยากให้มีต่อไป  มันจะเกิดด้วยมือของฉันเอง if not anyone else.

Workshop ของคณะวิศวะก็ผ่านไปด้วยดี ฉันชอบที่อาจารย์ในคณะและนอกคณะได้พบกัน คุยกัน รู้จักกันมากขึ้น เรียนรู้อะไรบางอย่างด้วยกัน เปลี่ยนแปลงพร้อมกัน เวลาเราแชร์ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงกับบางคน มันทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนๆ นั้นลึกซึ้งขึ้น ช่วงยากลำบากก็เหมือนกัน  เป็น Quality time ไม่จำเป็นต้องนาน

เหมือนเราเริ่มกลิ้งหิน ฉันอยากให้มันนำไปสู่สิ่งอื่นต่อ พี่ณัฐแนะนำให้ลองมาเจอกันเป็นระยะๆ ฉันเรียกว่า TL Tribe Meeting เพื่อมาเช็คอินกัน คุยกัน ไม่ได้ตั้งใจที่จะเรียนรู้อะไรเพิ่ม การบอกว่าจะเรียนอะไรเพิ่มเป็นแค่น้ำจิ้ม ดึงดูดให้คนมา

ฉันเป็นพระเจ้าในโลกของฉันได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่เหลือ ก็แล้วแต่จักรวาล

พี่ณัฐและฉันรู้ว่าควรมี Facilitator เริ่มด้วยการเชิญหม่องซึ่งอยู่ในทีมพี่ณัฐที่อ.ได้เจอแล้วใน Workshop  หม่องชวนพี่ตู่มาด้วย ฉันเคยเจอเค้ามาก่อนแต่เค้าไม่ได้ไป TL กับเรา  ปรากฏว่าพี่ตู่มีพลังงานที่เหมาะกับเรา ด้วยอายุ ด้วยความตรงเข้าเป้าของฮี หม่องเด็กและซอฟท์เกินไปสำหรับ Hard-core skeptics เช่นมนุษย์อาจารย์  การมี Facilitator ช่วยให้วงเดินไป และฉันไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระมากไป

เราเจอกันสองสามอาทิตย์ครั้งๆ ละ ๓ ชั่วโมง นัดกันทางกลุ่มไลน์โดยใช้ Doodle  แล้วแต่วันเวลาที่กระบวนกรให้มา

สองสามนัดแรกเป็นช่วงเพิ่งเปิดเทอม อาจารย์ยังไม่ยุ่งมาก มากัน ๑๐-๑๒ คน ได้เช็คอินกันว่าเป็นไงช่วงนี้ คาบแรกมีกิจกรรมที่เป็นเนื้อหนังด้าน Non-violent communication

คาบแรก อาจารย์ชายคนหนึ่งคลิกกับบางอย่าง สมมติว่าอ.เอละกัน  อ.เอเป็นลักษณ์ห้า (Observer) เป็นโคตรของพ่อหมี คือ ใช้ความคิดแหลก Like brain on a stick ไม่ใส่ใจความรู้สึกและคิดว่ามันยากที่จะเข้าถึงความรู้สึกคนอื่น  อ.เอใช้ Smart watch เพื่อดูว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไรผ่าน Heart rate  พี่ตู่ท้าทายอ.เอว่าถ้าอ.เอเข้าถึงความรู้สึกของตัวเองได้ พี่ตู่จะกราบ

อ.เอลองไปสังเกตตัวเอง คาบต่อมา ฮีเล่าว่าตอนพาหมาไปเดินเล่น ลองปล่อยให้ตัวเองรู้สึก (คำในความจำของฉัน)  อ.เอได้พบความผ่อนคลาย และความสุขที่ไม่เคยเจอมาก่อน  ทั้งหมดนี้แสดงออกผ่านหน้าตาและพลังงานที่ออกมาจากฮี

ครั้งที่สาม มีอ.ที่ไม่ได้เข้าร่วม TL workshop เข้าด้วย (สมมติว่าเป็นอ.บี) เราคุยกันเรื่อง Deep listening  ตอนท้ายๆ นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนางเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ที่นางรู้สึกว่าถ้านางฟังด้วยท่าทีแบบอื่น ผลจะเป็นแบบอื่น นางเล่าไปก็น้ำตาไหล เสียงเปลี่ยน พวกเราที่เหลือก็รับฟัง พี่ตู่ก็ถามบ้าง แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าถามอะไร

พื้นที่ของวงทำให้อ.บีรู้สึกปลอดภัยที่จะเล่าได้ เมื่อเราฟังเรื่องที่เป็นประเด็นจริงๆ ของคนๆ หนึ่ง เป็นประจักษ์พยานของสิ่งที่พูด มันสร้าง Trust

ณ จุดๆ นี้ ความไว้ใจได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ  (Our trust has been established for real.)

ฉันเป็นคนที่ฟังไม่ค่อยเป็น ถนัดสั่ง พระอาจารย์ฉันเป็นผู้ฟังที่ดีมากๆ และการที่ท่านฟังฉันคงได้เปลี่ยนฉันมาหลายระดับ แต่ฉันก็ยังไม่ convinced ว่าการฟังที่ดีจะช่วยอะไรได้ งวดนี้ที่อ.บีเล่า ฉันเห็นว่าบางอย่างในนางได้คลี่คลาย ฉันเนียนๆ จัดโอกาสให้นางได้คุยกับ one of the best life coaches in Thailand (Who we shall not name.  Totally schmoozing time!) เพื่อให้ไปโค้ชต่อในประเด็นนี้ ปรากฎว่ามันไม่อยู่ตรงนั้นให้โค้ชแล้ว คือ ฮีแงะเก่งมากแล้วก็มีญาณทัศนะอะไรบางอย่าง ถ้าฮีแงะไม่เจอ คงเหลือน้อยมากแล้วอ่ะ แล้วนางก็ยอมให้แงะดีอยู่

ในบางครั้ง ตอนที่เช็คอิน เราได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่เป็นเรื่องใหญ่ในขณะนั้นของเพื่อน แต่เมื่อวงใหญ่ และมีหลายเรื่องใหญ่ เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้รับการคลี่คลาย

หลังจากสอบ Midterm ก็เหลือคนน้อยลง พี่ตู่ก็มาคนเดียว ก่อนหน้านี้มีหม่องหรือบลูมาด้วย  ครั้งที่สี่เป็นครั้งลองใจ มีคนมาห้าคน ฉันสองจิตสองใจว่าจะจัดดีไหม ฉันใช้ความรู้สึกของตัวเองว่าเอาเหอะ ไม่ได้ลำบากอะไร และฉันเป็นคนที่วางแผนแล้ว ตั้งใจแล้ว จะทำ กระทิงๆ ชนๆ ไป

ในแต่ละครั้ง กระบวนกรจะมาก่อนหนึ่งชั่วโมง เพื่อมาคุยกับฉันก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ฉันจับชีพจรกลุ่มผ่าน Facebook posts และฟังคนนั้นคนนี้ ถ้าเป็นอาจารย์ในภาคเดียวกันก็จะให้ background info ได้เยอะหน่อย

ครั้งที่สี่ คนมาห้าคน พี่ตู่เริ่มด้วย Check in เข้าเรื่อง Coaching แล้วฮีก็บอกว่าอยากจะ Demo ให้ดู  ก็ได้โค้ชอ.ซีซึ่งฉันอยากให้พี่ตู่ช่วยพูดคุย น้องเป็นคนดี ทำงานเยอะ แต่มีบางช่วงที่สะดุดๆ  ฉันฟังนางเล่า เราฟังนางเล่า ฉันรู้สึกดีที่ได้ฟังเฉยๆ ไม่คิด แค่รับรู้ ฉันรู้สึกว่ามันง่ายกว่าตอนฉันเป็นคู่สนทนาหลัก เพราะถ้าฉันเป็นตัวหลัก ฉันต้องคิดคำถาม ประเด็นที่จะตอบสนอง แต่ฟังแบบนี้ฉันก็แค่ฟัง

ฉันพบว่า ความเข้าใจ--แบบที่เข้าถึงใจ--ไม่ใช่เข้าสู่สมอง--can't be articulated into words sometimes. ฉันแค่รู้สึกว่าฉันเข้าใจอะไรบางอย่าง

ฉันได้เห็นพลังของการฟังในครั้งที่ห้า ล่าสุดนี้ อ.ซีมาด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย พลังงานที่ส่งออกมาไม่สับสนมากเท่าเดิม นางเช็คอินเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในแง่ทัศนคติต่อเรื่องที่เคยทำให้ทุกข์ใจ

ในครั้งที่ห้านี้ เป็นฉันเองที่พูดมาก ฉันมีประเด็นกวนใจเรื่องการให้คำแนะนำเวลาสอบวิทยานิพนธ์ ว่าจะทำอย่างไรให้ไม่ทำร้ายจิตใจคนฟังแต่งานก็ต้องได้  แล้วก็ประเด็นว่าจะเป็นที่ปรึกษายังไงให้เด็กได้คิดเอง ไม่สั่งมากไป สั่งอ่ะมันง่ายมากสำหรับฉันแต่เด็กจะไม่ได้เรียนรู้อะไร Advising ยากกว่า

มันก็ไม่ได้มีคำตอบและฉันยังคงต้อง work more on it. แต่ก็รู้สึกดีที่พบว่าอ.คนอื่นก็มีประเด็นเหล่านี้เช่นกัน

อีกเรื่องที่รู้สึกว่ามันเป็นธรรมชาติขึ้นคือความเป็นเพื่อนกับพี่ตู่ คือ ฮีประหลาด ตอนที่ฉันยังต่อไม่ติด ฉันก็จะงงๆ ว่า พูดจริงหรือพูดเล่นวะ พูดแบบนี้จะสื่ออะไร แต่พอต่อกันติด ความประหลาดมันทำให้ขำ เป็น Charm แล้วฉันพบว่าฉันเป็นตัวของตัวเองได้ ใช้พลังงานน้อยลงเวลาต้องพูดคุยกัน

สำหรับคนที่หมกมุ่นกับตัวเองอย่างยิ่งยวด การได้ดูแลคนอื่นเป็นการดูแลตัวเอง  ประโยคนี้ผุดขึ้นมาเองเมื่อเช้านี้

ถ้าจะปิด สรุป คงเป็นว่า ฉันได้ประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองว่าการฟังที่ดีและการอยู่ตรงนั้นจริงๆ ช่วยเยียวยาคนได้  ฉันเชิญคนมาสอนเรื่อง Deep listening ทั้งให้อาจารย์และนิสิต แต่เอาเข้าจริงลึกๆ เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อ  แม้กระทั่งโค้ชชิ่ง  ฉันคิดว่ามันแค่รู้สึกดีชั่วคราว  แต่พอได้เห็นผลจริงๆ ด้วยตัวเอง ฉันรู้สึก convinced

ในแง่ตัวเอง ฉันพบว่ายาแก้นิสัยขี้รำคาญคือทำในสิ่งที่มีความหมายสำหรับฉัน  ถ้าฉันเห็นว่าสิ่งที่ทำมีค่า มีประโยชน์ ฉันจะอึ๊บความรำคาญไว้ได้ แต่ก่อนเคยคิดว่ายาก และไม่พยายามจะแก้นิสัยนี้ ใช้วิธีหลีกเลี่ยงแทน แต่พอรู้ว่ามันแก้ไม่ยาก ก็ไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะรำคาญ  พอไม่กลัวก็ได้อิสรภาพ

จากนี้ ก็จะมี Collaborative Communication Workshop เดือนธันวา แล้วเราก็จะมาดูกันต่อไปว่าจะทำอะไรต่อ











Comments