Living an undivided life

อาการของความแปลกแยก
(Diagrams ทั้งหมดวาดโดยพี่ณัฐ คุณณัฐฬส วังวิญญู ผู้มาก่อนงานเริ่ม ๒ ชั่วโมง จึงมีเวลาใคร่ครวญและวาดรูป)

เราได้ฟังพี่ณัฐบรรยายเรื่อง Life as a ritual และ Living an undivided life ซึ่งคือเรื่องเดียวกัน  พี่ณัฐเริ่มด้วยลิสต์ของอาการชีวิตแบ่งแยก  เป็นอาการปกติที่"คนดีๆ" เค้าเป็นกัน เช่น ปกปิดตัวเอง อะไรก็ได้เพราะกลัวคนไม่ชอบ บางอันก็คล้าย Midlife crisis เช่น เนือย อยู่ไปวันๆ  รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า  บางอันก็ดีทางโลก เช่น บ้างาน บ้าความสำเร็จ  ฮีบอกว่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแบบโลกๆ ต้องแปลกแยก ใช้ชีวิตแยกส่วน

อารมณ์ขันแบบตลกร้ายของฮี soften เรื่องที่ดูแรง

ครูของพี่ณัฐที่นาโรปะ Chögyam Trungpa บอกว่าภาวะซึมเศร้าเป็นเรื่องดี เป็นเสียงปลุกให้ตื่น (Wake up call)  ตอนแรกคงเรียกเบาๆ แต่พอไม่ตื่น ก็มาแรงขึ้นๆ แบบนั้น... (The Timeless Tale of the Hero's Journey)

ทีนี้ ที่บอกว่าแปลกแยกนี่ คือแยกจากครูภายในของตัวเอง

Soul

พี่ณัฐบอกว่า Soul คือ ครูภายใน/ตัวตนที่่แท้จริง ฉันมองมันเป็น Holy Grail ถ้าพบ ชีวิตจะเป็นนิรันดร์ อยู่ใน Flow
Soul

อธิบายเพิ่มเติมโดย James Hillman ว่าเราแต่ละคนเกิดมาด้วยเมล็ดพันธุ์ (Acorn) ที่ไม่เหมือนกัน  มีสิ่งที่ชอบทำไม่เหมือนกัน  ครอบครัวที่เราเกิดมา สภาพแวดล้อม สิ่งที่เราได้เจอ มีเพื่อเตรียมความพร้อมให้เมล็ดพันธุ์นี้เบ่งบาน  Hillman บอกว่าเรามีเทพประจำตัว Daimon ซึ่งคอยคุ้มครองเรา  เหมือนที่เด็กเล็กๆ ซนโดยไม่บาดเจ็บทั้งๆ ที่ควรจะเป็นอะไร

Concept ที่สำคัญในการค้นหา Soul คือ ต้องมีบางอย่างตายไป (Radical simplification) ตัดขาดอย่างสิ้นเชิง เพ่ื่อให้บางอย่างเติบโตขึ้นมาใหม่

ฮิลแมนและพี่ณัฐไม่ได้บอกว่าเราจะหาเมล็ดพันธุ์เราเจอได้ยังไง ให้สังเกตตัวเองเอาว่าเราอินกับอะไร อินในที่นี้คือลืมเวลาไปเลย เช่น พี่ณัฐอินกับหนังที่มี Speech ยาวๆ ฮีก็รู้ละว่าฮีน่าจะอินกับการพูด

สารคดี The Timeless Tale of the Hero's Journey แนะนำให้ลอง Stretch yourself.  คือ ให้ลองทำอะไรที่ปกติเราไม่เคยทำ กลัวที่จะทำ ทุกๆ ๗ วัน  มันต้องเจออะไรบ้างแหละถ้าท้าทายตัวเองไปเรื่อยๆ

จริงๆ จักรวาลคงพยายามสื่อสารกับเราตลอดเวลาว่าแกไปทำอย่างอื่นเถอะ แต่เราไม่ได้ยินเอง  เสียงเรียกให้ไปหา Soul อาจจะมาในรูปมะเร็ง ความสูญเสีย การพลัดพราก หรือดราม่าทั้งหลายในชีวิต  เมื่อเราหนีไม่ได้อีกแล้ว เราก็จะต้องเดินทาง

Hero's Journey

ฉันโคตรชอบไอเดียนี้ของ Joseph Campbell ซึ่งเป็น mythologist เค้า map ออกมาว่าตำนาน (Myth) เรื่องเล่าทั้งหลาย นิทานปรำปราในทุกๆ วัฒนธรรม ใหม่หรือเก่า สามารถแม็บออกมาได้บนแผนที่เดียวกันคือ Hero's journey.

Format แบบนี้ใช้วิเคราะห์เส้นทางชีวิตของศาสดา เช่น พระเยซู พระพุทธเจ้า หรือจะเป็นหนัง Hollywood เช่น The Matrix, Star Wars, The Hunger's Game ได้  มันเจ๋งมากที่มีคนเห็น Pattern  อันนี้เป็น pattern recognition ของจริงเลย

The Hero's Journey
Hero's Journey เป็นวงกลม ได้ยินเสียงเรียก (Calling หรือหนีเสียงเรียกไม่ได้อีกแล้ว) ออกเดินทาง พบครู โอกาสเปิด ประตูที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเปิดทาง ฝ่าฟันอุปสรรค เรียนรู้  ถึงจะพบครูหรือมีผู้ช่วย ด่านสุดท้ายที่จะแตกหัก มีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ต้องทำเองจ้า (Campbell บอก) ฝึกฝน แล้วก็กลับมาสู่โลกเดิม ได้ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้เพื่อช่วยคนอื่น

อุปสรรคของการเดินทางคือความกลัวที่อยู่ข้างในตัวเอง (ตำนานฝรั่งแทนด้วย Dragon) หนังสตาร์วอร์ ตอนที่ลุคตัดคอ Darth Vader แล้วหน้ากากเปิด ใบหน้าที่อยู่ในหน้ากากคือหน้าของลุคเอง

เป็นสังสารวัฎ (Samsara)

ช่วงนี้เรารู้สึกอินกับเรื่องนี้เพราะกำลังอยู่ใน Hero's Journey ของตัวเอง  มันตรงกับแผนที่ๆ เค้าให้มาอย่างน่าอัศจรรย์ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ อยู่ใน Flow สามารถคุยเรื่องนี้ได้สองชั่วโมงโดยไม่ดูนาฬิกาหรือมือถือ เจอครู เจอผู้ช่วย ประตูเปิด (คณะให้เงินมาทำนั่นนี่ ทั้งๆ ที่ฉันภาวนาว่าไม่ให้ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องทำ แล้วชั้นก็ไม่ผิดกับตัวเองว่าไม่ทำ) ที่ตรงสุดๆ คือ อุปสรรคสำคัญคือความกลัวของฉันเอง กลัวคนว่าๆ แปลก กลัวไม่สำเร็จ

ด้วยความมุขปาฐะ (Oral tradition) ของพี่ณัฐ และคงพักเหนี่อยด้วย ฮีให้คนฟังแชร์เรื่องของตัวเอง คนคุ้นเคยเป็นหน้าม้า ช่วยได้มาก  การได้ฟังเรื่องราวของผู้คน ทำให้ฮีมีเรื่องที่จะไปต่อ

ฤดูกาลของชีวิต Medicine Wheel

อันนี้เราเฉยๆ ไม่ relate เท่าไหร่ มันเป็นเรื่องความสมดุล พลังงานขั้วตรงข้ามแบบหยินหยาง และการผันเปลี่ยนของช่วงเวลาต่างๆ  เอาไว้เป็นเครื่องมือเช็คตัวเองมั้งว่า off ไปด้านใดหรือเปล่า

สิ่งที่ฉันชอบจากการฟังพี่ณัฐ คือ ฉันได้ Source ที่ฉันไปหาความรู้เองต่อ เช่น James Hillman and Joseph Campbell ให้แรงบันดาลใจมากๆ

The influence of a vital person vitalizes... The world is a wasteland.  People have the notion of saving the world by shifting it around and changing the rules and so forth.  No!  Any world is a living world if it is alive, and the thing is to bring it to life.  The way to bring it to life is to find it in your own case where your life is and be alive yourself.

Joseph Campbell
Interview with Bill Moyers

Comments