Acorn inside

ถามพี่ณัฐเรื่อง Soul ว่ามันคืออะไร ฮีก็อธิบายสั้นๆ แล้วบอกว่า "บทสัมภาษณ์นี้อ่านง่ายดี เกี่ยวกับโซล ฮิลแมนเขาแกะเรื่องนี้ได้ลึกทีเดียว"  http://www.scottlondon.com/interviews/hillman.html

ซักพักนั้นแหละถึงได้ไปอ่าน  อ่านแล้วชอบ จำไม่ได้แล้วว่าชอบอะไรบ้าง แต่ก็ไปหา Talk ของเค้าฟังใน YouTube พบว่าทรงพลังกว่าอ่าน โดยเฉพาะบทสัมภาษณ์ ชั้นว่าชั้นไวต่อเสียง ต่อคำพูด พอๆ กับตัวหนังสือ

ที่น่าประหลาดคือ ก่อนหน้าจะไปฟัง Hillman on YouTube ฉันฟัง Barry Schwartz ที่เป็นนักจิตวิทยาพูดใน TED talk สาระสำคัญที่จำได้คือ เค้าบอกว่าความคิดเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันขับเคลื่อนการกระทำ เช่น ถ้าเราเชื่อว่าเราจนเพราะสังคมไม่ยุติธรรม เราก็อาจจะอยากเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม แต่ถ้าเราคิดว่าเราเกิดมาจนเพราะกรรมหรือ"มันก็เป็นอย่างนี้แหละ" เราก็อาจจะไม่อยากทำอะไร



Schwartz บอกว่า humans are unfinished animals.  คือ ยังศึกษากันไม่เสร็จ

Talk อันแรกของ Hillman ที่ฉันฟังเป็นการสัมภาษณ์ หลายเรื่องฉันไม่เคยมอง คิดหรือรับรู้ในมุมนั้นมาก่อน เช่น เราเกิดมาเพื่อทำหรือเป็นอะไรบางอย่าง เหมือนเกิดมาพร้อมเมล็ดพันธุ์ (Acorn)  เราเลือกพ่อแม่ของเรา เราเจอสิ่งที่เราเจอเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับเมล็ดพันธุ์นั้นๆ  ด้วยเหตุนี้ เราควรใคร่ครวญชีวิตเราแบบย้อนไปข้างหลัง (Backward in time)



ฉันก็ลองทำกับตัวเอง ก็พบว่ามันใช้อธิบายอะไรได้หลายๆ อย่าง  ช่วงนี้ฉันรู้สึกได้ชัดว่าฉันอินกับเรื่องการศึกษา, การเรียนรู้ของตัวเองและของลูกศิษย์  รู้ได้ไงว่าอิน..ก็"ใจมันกระเพื่อม" (คำศัพท์พี่ณัฐ) เวลาพูดถึงเรื่องนี้ บางทีอินจัดน้ำตาไหลพราก (ฉันสามารถดูสารคดีการศึกษาแนว Problem-based learning แล้วรู้สึกประทับใจจนน้ำตาไหลได้)

ฉันรู้สึกว่าการเกิดเป็นลูกคนโตที่มีน้อง ๓ คน มีพ่อแม่ทำงาน ยุ่งกับการสร้างเนื้อสร้างตัว และสั่งให้เราดูแลน้อง  มันหล่อหลอมให้เรามีทักษะในการบริหารคน กล้าใช้คนเพราะมีคนให้ใช้มาตั้งแต่เด็ก  เรารู้อยู่แล้วว่าเรามีประสิทธิภาพมากกว่า ทำงานได้หลายอย่างกว่า ถ้าเราแบ่งงานให้คนอื่นทำ ไม่คิดว่าชั้นทำแล้วดีกว่าคนอื่นทำ

พ่อและแม่มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในศักยภาพของลูก  ฉันได้ความมั่นใจว่าชั้นทำได้มาจากเค้า ซึ่งมันช่วยสนับสนุนงานที่ทำอยู่  บางอย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อนในคณะนี้ และดูไม่เข้ากับ Hard sciences like engineering เลย ดูเป็นความบ้ากลายๆ

จุดหักเหที่สำคัญในชีวิตฉันคือ การรับทุนไปเรียนที่ USA โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันปฎิเสธทุนไปรอบนึงแล้วไปเรียนที่วิศวะ จุฬา ไปเรียนได้ ๑ เดือน พบว่าไม่ใช่ทาง และทุนตัวสำรองเรียกตัว ฉันก็ไป;  ฉันจะเลิกเรียนตอนจบโท ก็มีเหตุให้ต้องเรียนต่อในสาขาวิชาที่ชอบมากกว่า; เมื่อเรียนจบ ฉันจะไปใช้ทุนรับราชการตามหน่วยงานปกติ ก็มีพี่ที่กพ.บอกให้ไปเป็นอาจารย์ มันน่าอัศจรรย์ที่ลำดับเหตุการณ์เหล่านี้ส่งให้ฉันทำงานอาจารย์อย่างที่เป็นอยู่ ทั้งๆ ที่ๆ บ้านทำธุรกิจ และเราก็คิดมาตั้งแต่เด็กว่าเราจะไปทำธุรกิจ โชคดีที่ไม่ต้องทำธุรกิจเป็นงานหลักเพราะฉันไม่ได้สนใจกับการหาเงินมากนัก แต่ถ้าไม่มีธุรกิจที่บ้านเสริม ฉันก็ต้องหารายได้เพิ่ม แล้วก็ไม่มีเวลาทำในสิ่งที่ฉันอยากทำ

ตอนที่ฉันฟัง Hillman's interview จบ ฉันอินมาก เขียนไปเล่าให้พี่ณัฐฟังว่าเรื่องนี้นั้นน่าสนใจ ฮีถามกลับมาว่า "ทำไมถึงสนใจ"

เราก็..เออ..ทำไมกูสนใจวะ ไม่เคยถามตัวเองมาก่อน

แล้วก็ตอบไปว่า I find it satisfying to be able to explain.  ความฉลาดเป็นแสงสว่าง  ความฉลาดซึ่งอาจไม่ใช่ปัญญา excites me.  I can persevere if it makes me grow up.  ปกติหญิงเป็นคนมองอะไรแค่มุมเดียว  หญิงจึงคิดว่าคนที่มองได้หลายมุมเป็นคนฉลาด

ฉันรู้สึกดีที่ได้ articulate ออกมา มันเห็นตัวตนตัวเองชัดดี  บางครั้งฉันรู้สึกว่าพุทธแบบเถรวาทกดตัวตนในแบบที่ฉันเป็น (Who I am) ที่ไม่ใช่อีโก้  ฉันเริ่มพบว่าฉันเป็นตัวเองได้แบบที่ไม่ต้องมีอัตตาแบบเบ่งๆ ซึ่งมันรู้สึกสบายตัวกว่า  ไม่จำเป็นต้องลดทอน being Ying.

ชอบประโยคหนึ่งในสารคดี Most likely to succeed.  ครูคอมเม้นท์งานนักเรียนชื่อ Brian ครูบอกว่า We don't want to stop you being Brian... แล้วก็เม้นงานไป

Hillman เป็นนักเล่าเรื่องที่เก่งมากๆ ฟังแล้ว inspired โคตร จนไปซื้อหนังสือ The Soul's Code มาอ่าน อ่านสนุก มีประวัติชีวิตคนนั้นคนนี้มากมายฤ

จริงๆ แล้วทฤษฎี Acorn ของ Hillman ก็คล้ายๆ กับที่ Sir Ken Robinson พูด คือ เราเกิดมาเพื่อทำอะไรบางอย่าง ที่เป็นของขวัญกับโลกใบนี้  แต่ Robinson ใช้คำว่า Creativity แทน Acorn

จริงๆ Concept ที่ว่าเราเลือกเองที่จะเกิดมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน ก็เป็นคอนเส็พเรื่องกรรมในพุทธและฮินดูเหมือนกัน

พอแก่แล้วพบแต่ความเชื่อมโยง Wisdom is universal.

ฉันว่า Acorn Theory is very empowering, and it makes me surrender to what is.  ไม่ดิ้นมาก ไม่มีอะไรโง่เกินไป เสียเวลาเกินไป ไร้สาระเกินไป ทุกอย่างเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับบางอย่าง

พอฉันค้นพบเรื่องที่ฉันอิน มันเหมือนดวงขึ้นอ่ะ One thing leads to another.  เหมือนประตูเปิด โอกาสมาคนมา ให้เราได้ทำในหลายๆ สิ่งที่มันน่าสนใจและ engaging สำหรับเรา

Comments