ช่วงเปลี่ยนผ่าน (1/2)

ฉันมักจะมีเป้าหมายสูงสุดในแต่ละช่วงเวลาของชีวิต หลังจากได้ปริญญาเอก เป้าหมายหลักดูจะเป็นเรื่องทางธรรมหรือทางจิตวิญญาณ ชอบฟังเทศน์ เข้าคอร์สปฎิบัติธรรม มีวัดที่ไปเป็นประจำ มีพระอาจารย์ที่เราปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์

เมื่อมองในภาพรวม การภาวนาทำให้ฉันเป็นคนที่มีสุขภาพจิตดีขึ้น วัดง่ายๆ เลยว่าโมโหน้อยลงไปเยอะ และนอนหลับเป็นปกติ เข้ากับมนุษย์ได้ดีขึ้น แต่การภาวนา"ของฉัน"ก็ยังรู้สึกติดอยู่กับที่ ฉันเคยคิดว่าฉันขยันไม่พอ ไม่จริงจังพอ อยากเลิกปฎิบัติ  แต่ก็ไม่ได้เลิกหรอก เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของ well being ของฉัน เหมือนแปรงฟัน ฝึกโยคะ ทำเพราะทำเสร็จแล้วรู้สึกดี

ได้ฟังภิกษุณี Pema Chodron บอกว่าคนส่วนใหญ๋เลิกภาวนาตอนมันกำลังน่าสนใจ (when it's getting interesting)  นี่ก็เป็นกำลังใจให้ไม่เลิก

ช่วงนี้รู้สึกชัดว่าการภาวนาของฉันกำลังเปลี่ยน คล้ายมีครูสอนภาวนาเพิ่มอีกคน คนใหม่นี้แตกต่างจากคนเดิมในหลายๆ มิติ เหมือนเติมเต็มกันและกัน

พระอาจารย์ของฉันบอกว่าฉันเข้าคอร์สเรียนพวกพัฒนาตัวเองมากเกินไป ฉันไปชูมัคเกอร์ เข้าคอร์สเสมสิกขาลัย ตอนครูจากฟินฮอร์นมาไทยก็ไปเรียน  ไปเข้าคอร์ส"หัวใจอุดมศึกษา"  พระอาจารย์แทบไม่เคยชมในสิ่งที่ฉันทำหรือสิ่งที๋ฉันเป็น (คงรู้ว่าเข้าทางกิเลสเรา)  มักเบรกฉันว่าอย่าตั้งความหวังมากเกินไปเวลาทำงาน  บางทีท่านบอกว่าอย่าหลงโลกมาก (คล้ายๆ ว่าหลงโลกมากแล้วไม่ปฎิบัติ) บางทีฉันรู้สึกว่าเถรวาทอยากให้ผู้ปฏิบัติแยกตัวออกจากสังคม  หรือถึงไม่แยก ก็อยากให้ปฎิบัติเยอะๆ ยิ่งเยอะยิ่งดี ท่านอ่านบล็อกที่ฉันเขียน แต่พอบอกท่านว่าไม่ค่อยได้เขียน ท่านบอกว่าดีแล้ว (คล้ายว่าฟุ้งน้อย)

ฉันคิดว่าคำสอนของพุทธศาสนาที่แตกต่างจากจิตวิทยาทั่วไปคือการไม่เน้นตัวตน ไม่แน้นความรู้สึกที่เกิดขึ้น แทบปัดตกไปเลยอ่ะ ฉันจำได้ว่าพระสายทิเบต Khyentse Norbu บอกว่า All emotions are pain.

ช่วงนี้ฉันรู้สึกได้ชัด รู้สึกเองว่าการภาวนาของฉันมันจะ"เดินหน้า" (whatever that means) ถ้าฉันปฎิสัมพันธ์กับผู้คนมากขึ้น  ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะมาทำงานให้คนอื่น แต่สถานการณ์เปิดโอกาสให้ทำ ไม่มีคนขัดขวาง มีเงินมา ก็ได้ทำ  ฉันคิดว่าฉันเกิดมาในครอบครัวที่มีเงินเพื่อจะได้เอามาทำงานบางอย่างได้สะดวก เช่น จัดค่ายให้อาจารย์ จัดกิจกรรมให้นิสิต

ช่วงนี้ขยันภาวนาอย่างมาก ขยันเอง รู้สึกว่าอยากทำ ไม่ใช่ทำเพราะจำเป็นเหมือนแต่ก่อน  ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า"หิว" การภาวนา คิดถึงที่ภิกษุณี Pema Chodron บอกว่า like you hair catches on fire.  ฉันไม่เข้มข้นขนาดนั้นแต่ประโยคที่ท่านพูดผุดขึ้นมา

จริงๆ ตอนแรกจะเล่าว่าครูทางจิตวิญญาณสองคนของฉันแตกต่างกันอย่างไร

พี่ณัฐให้กำลังใจมาก Positive feedback อยู่ตลอดเวลา เช่น "เขียนดีนะ เธอนี่เป็นนักเขียนอาชีพได้เลย เขียนเร็วด้วย ไม่เอาบล็อกไปโพสลงเฟสบุ๊คเหรอ" เข้าทางคนบ้ายออย่างฉันมาก  บางทีคำชมก็ชวนให้เสพติด มีอะไรก็อยากเล่าให้ฟังเพราะฮีจะคอมเม้นท์ในแบบที่เราฟังแล้วมีแรงที่จะทำต่อ What a superb life coach he is!  ฮีเรียนจิตวิทยามาเยอะ ฮีดูไม่ได้เค้นเอาเป็นเอาตายกับเรื่องภาวนา บอกว่า "แค่มีชีวิตอย่างมีความสุขก็พอแล้ว" Shit! There is no need for enlightenment?

การได้พบพี่ณัฐเหมือนเป็นจิ๊กซออีกตัวหนึ่ง เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งในการเดินทางทางจิตวิญญาณนี้

คิดว่าอันต่อไปจะเขียนว่าสองคนนี้มีอะไรคล้ายกันบ้าง



Comments