ของขวัญ

สองเสาร์ที่ผ่านมา ฉันไป Life as a ritual workshop ที่จัดโดยพี่ณัฐฬส ที่วัชรสิทธา  ฉันไม่ได้มีความคาดหวังอะไรมาก เพียงอยากลองสิ่งใหม่ เพราะรู้สึกว่าการภาวนาของฉันนิ่งๆ เนือยๆ ไป  ขาดพลัง

ฉันเคยเจอพี่ณัฐที่ Workshop ๒ ครั้ง หัวใจอุดมศึกษา และ Transformative learning (TL) ซึ่งจริงๆ ก็อันเดียวกันนี่แหละแต่ต่างรอบ  ตรงนั้นสไตล์พี่ณัฐยังไม่ชัดมากสำหรับฉัน แต่ใน life as a ritual workshop นี้ สไตล์ออกมาชัด

พี่ณัฐมักจะโค้ช คือ เห็นเค้าโค้ชอาจารย์คนอื่นๆ ใน TL workshop  ฉันชอบดูเค้าโค้ช เหมือนนักสืบแกะรอย Sense ว่าเค้ามีประเด็นอะไร ป้อนคำถามเพื่อให้ประเด็นชัด  ที่เวิรคช้อปอาจารย์ เราทำกิจกรรมเยอะ กระบวนกรหลายคน การโค้ชของพี่ณัฐเลยไม่ชัดเท่าไหร่

แต่ที่ life as a ritual ฉันรู้สึกว่าเราทำกิจกรรมเพื่อนำไปสู่ clue หรือ opening บางอย่าง เป็นการแย้มร่องรอยเพื่อรับการโค้ชต่อไป

จริงๆ เวิรคช้อปมีสามวัน วันเสาร์ วันอังคาร วันเสาร์  วันอังคารเย็น ฉันไม่ได้ไป คืนวันศุกร์ได้อีเมล์เรื่องการบ้าน มีงานอ่านหนังสือ และหาวัตถุหรือรูปภาพที่แสดงความเป็นตัวเรา  ฉันพบว่าฉันสามารถสร้างเรื่องราวเชื่อมโยงกับทุกสิ่งที่ฉันมีในห้องนอนได้  ได้รับอีเมล์ตอนสองทุ่มกว่า ก็ยังคิดไม่ออก เล็งว่าตอนเช้าค่อยมาคิด

ตอนเช้า ฉันเลือก calligraphy ของหลวงปู่ติชนัทฮันห์ เขียนว่า This is it.  ตั้งอยู่เหนือทีวีในห้องนอน เห็นอยู่ทุกวัน มันเป็นเพื่อนในหลายๆ เวลา  ไม่มีเหตุผลชัดเจนว่าทำไมเลือก แต่คิดว่าอันนี้แหละ ดูมีความหมายสุดๆ ละ  ฉันชอบ big story

เวิรคช้อปวันสุดท้ายก็ดำเนินไป ฉันดูพี่ณัฐโค้ชน้องคนนึงด้วย Drama therapy ซึ่งแงะไปลึกมาก เป็นบาดแผลสมัยเด็กที่ยังสดใหม่  แล้วก็คิดว่า ดีมาก น่าสนใจ แต่ไม่ใช่ฉันที่จะโดนโค้ชแบบนั้น

บ่ายสามแล้ว ใกล้จบเวิรคช้อป เป็นสไตล์พี่ณัฐที่คาบสุดท้ายจะย้วย เลิกช้า ฉันเดินไปบอกฮีก่อนเลยว่าจะไปตอนห้าโมงเย็นนะ

แล้วก็เป็นเวลาของโชว์ของ พี่ณัฐบอกว่าให้เอาของที่จะแลกเปลี่ยนออกมา ฉันก็เฮ้ย..ไม่เห็นรู้เลยว่าต้องแลกกับคนอื่น ผงะแรกก็ไม่อยากเสียของ แต่ความรู้สึกบอกว่ามันแปลกดีที่มันเกิดเหตุการณ์นี้ ไม่น่าธรรมดา ก็ลองดูว่าจะเป็นไง คือ ก็ยังงกของๆ ตัวเอง เพราะเป็นชิ้นที่รักและฉันเลือกคำๆ นี้เอง  แต่คิดว่าควรจะไปต่อเพื่อจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

คำสั่งคือ ให้เอาของชิ้นนั้นมาวางตรงหน้า  ปรากฎว่าหลายๆ คนไม่ได้ทำการบ้านจริงจัง มีซัก 20-30% มั้งที่ตั้งใจเอามา  พี่ณัฐถามว่าใครจะเริ่มก่อน ฉันยกมือ เพราะจะได้กลับก่อน

ฉันก็เล่าไปว่าไม่คิดว่าจะต้องแลกของ
พี่ณัฐ: แล้วทำไมถึงยังจะเอาออกมาล่ะ
ฉัน: คิดว่าน่าจะมีคนที่ต้องการของอันนี้มากกว่าเรา (จำได้ว่าพูดประโยคนี้สองครั้ง) เพราะหญิงไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ
พี่ณัฐ: ของสิ่งนี้พูดหรือบอกอะไรกับหญิง
ฉันเหลือบไปดูของ แล้วความรู้สึกเหมือนคลื่นยักษ์พุ่งขึ้นจากท้องสู่หน้าอก พูดไม่ออก น้ำตาไหล แล้วบอกฮีว่า This took me by surprise.  (สิ่งนี้ทำให้ฉันประหลาดใจมาก)  ฉันพูดไม่ออก พี่ณัฐบอกให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก็ทำ แล้วก็ตอบว่า "มันคงบอกว่าพอได้แล้ว เพราะปกติเป็นคน striving คือ ทะยาน พยายาม ณ จุดนี้น่าจะพอได้แล้ว"

พี่ณัฐ: ให้เฉลิมฉลอง celebrate ใข่ไหม
จริงๆ ฉันไม่ได้รู้สึกเฉลิมฉลองอะไร แต่แค่ให้มันผ่านๆ ไป ก็พยักหน้า

ฉัน: เมื่อตะกี้ตอนดูพี่โค้ช หญิงก็คิดอยู่เลยว่า I don't want to be coached in public. แล้วก็ประหลาดที่ตอนนี้กำลังถูกโค้ช
พี่ณัฐเลยบอกกับคนอื่นๆ ว่าถ้าไม่อยากได้รับการโค้ช ก็บอกได้ ฮีบอกว่าจริงๆ ฮีก็ควรขออนุญาตก่อน
ฉันไม่คิดว่าการไม่อยากถูกโค้ชเป็นเรื่องประหลาด แค่เล่าให้พี่ณัฐฟังถึงสิ่งที่คิด

ฉันอธิบายเพิ่มเติมว่า ฉันเห็น session พี่ณัฐมาหลายที รู้ว่าจะต้องมีคนร้องไห้ทุกครั้ง And I don't want to be one of them (ฉันไม่อยากเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น)

พี่ณัฐถามว่าทำไมถึงไม่อยากถูกโค้ช  ฉันตอบประมาณว่า อาจเป็นอีโก้ฉันเอง ฉันอยากควบคุม (ถ้าถูกโค้ชแล้วฉันรู้สึกว่าคนคุมเกมคือโค้ชอ่ะ)

พี่ณัฐก็ปล่อย แล้วฉันก็อยู่ฟังคนอื่นแชร์ของและเรื่องราวของตัวเอง ถึงเวลาห้าโมงเย็น ฉันก็กลับ พี่ณัฐถามว่าจะเลือกของก่อนไหม ฉันบอกไม่ ให้คนอื่นเลือกก่อน เหลืออะไรก็เอาอันนั้น

ขับรถออกมาเพื่อไปปฎิบัติธรรมต่อ พบว่ามีตะกอนในใจที่ฟุ้งขึ้นมา ความคิดเยอะมาก ความรู้สึกก็มาก แต่มันก็ทำให้การภาวนาสนุกมาก มีอะไรให้ดูเยอะ active ไม่เฉื่อยเนือย  เข้าใจละว่าทำไมเวลาปัญหาเยอะ จะทำให้เราขยันภาวนา

ฉันออกจากที่ปฎิบัติธรรมวันต่อมาหลังเพล พอไม่ได้ทำในรูปแบบ ความรู้สึกแรงๆ นั้น ก็ยังขึ้นมาอยู่ มีน้ำตาไหลขณะขับรถ ซึ่งมันไม่ใช่เสียดายของอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร  ถ้าศัพท์พี่ณัฐ ฮีอาจจะบอกว่า..น่าจะเพื่อชำระล้างอะไรบางอย่าง

มารู้จากพี่ณัฐทีหลังว่าน้องคนที่มีบาดแผลได้ของๆ เราไป ซึ่งเป็นคนที่เราคิดอยากจะให้ ดีใจมากๆ

ฉันไลน์ไปหาฮีเพราะไม่อยากให้เสียใจที่ฉันปฎิเสธการโค้ชของเค้า ฮีบอกว่า
"I sense it was a great comfort in your past journey, so precious and intimate with your soul. Your present given away was received in a good hand and soul. "   มี rhyme ด้วย

และ
"Your wish to give away the teaching of Thich Nat Han is magical na."

มันเป็นการให้ที่รู้สึกดี และมีความหมายมากๆ แทบจะที่สุดตั้งแต่เคยให้มา  ฉันให้คนอื่นบ่อย แต่แทบไม่เคยให้ของรัก แล้วนี่เป็นคนที่แทบไม่รู้จัก มันเป็นประสบการณ์ที่ทรงพลังมากๆ  รู้สึกตัวเบาขึ้น

ฉันก็ยังมีความสับสนที่เกิดจากความคิด ว่าการไปแงะแบบ psychotherapy จะช่วยได้จริงไหม  มันไม่ใช่เป็นการหยิบขึ้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วทำให้มันดู"จริง" กว่าเดิมเหรอ เหมือนเลี้ยงมันไว้

พระอาจารย์บอกว่าไม่ต้องไปหาเหตุผล ก็เห็นอย่างที่มันเป็น  ฉันรู้ว่าฉันชอบ intellectualize ทุกสิ่งอย่าง หาเหตุผล ชอบความชัด มันเป็นโจทย์ของฉันที่จะอยู่กับความคลุมเครือแบบไม่รำคาญ และวางใจในอนาคตว่าน่าจะโอเค

คำอธิบายเพิ่มเติมจากพี่ณัฐ

สิ่งที่ฉันเรียกว่า drama therapy เป็นกระบวนการเยียวยาที่มีโครงสร้างทางทฤษฎี  มันไม่เหมือนเล่าเรื่องธรรมดา แต่มี Separation ระหว่างตัวตนด้านใน ระหว่าง ตัวควันดำ (ฑูตมรณะ) กับ เด็กคนนั้นในอดีต (น้องเจ้าของเรื่อง)

เมื่อแยกได้แล้วว่า ความรู้สึกที่อยากตายเรื่อยๆ นั้นเป็นเพราะเคยบาดเจ็บ โดดเดี่ยว ไม่อยากให้เจออีก โดยปกติเจ้าตัวเขาก็จะหลงเชื่อไปตามเสียงนี้จริงๆ ว่าเขาไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ความ ไม่ดีพอที่จะมีชีวิตอยู่ 

พอแยกเสียงออกจากตัวได้ ต่อไปถ้ามีเสียงนี้หรือรู้สึกอย่างนี้ก็แค่รับรู้ "ตามจริง"ว่าเป็นเสียงหนึ่งที่มาปกป้องไม่ให้เราทุกข์หรือเจ็บปวดอีก ก็แค่รับฟัง ขอบคุณเขา เขาก็จะไม่มีอิทธิพลครอบงำมากเท่าเดิม

พี่ไม่รู้ว่า psychodrama or drama therapy เขาทำกันอย่างไร แต่ที่พี่ทำนี้มีที่มาจาก Psychology of Selves and Process Work ในสายของคาร์ล ยุงทั้งสองสำนัก (ที่ไม่มีสอนในรร.โค้ชชิ่งทั่วๆไป) มีประโยชน์มาก

Note: โพสนี้ได้รับอนุญาติจากพี่ณัฐ วชิรสิทธา และน้องผู้ถูกโค้ชแล้ว








Comments