ถ้าฉันเป็นมะเร็ง ฉันจะดูแลตัวเองอย่างนี้

ฉันได้คุยกับเพื่อนเรื่องการดูแลหลังการผ่าตัด เค้าบอกว่าสิ่งที่ฉันคิดว่าเป็นพื้นฐาน ที่ใครๆ ก็รู้ จริงๆ ก็ไม่ทุกคนที่รู้ ฉันรู้เพราะฉันสนใจ ฉันไม่แน่ใจว่าจะสบโอกาสมานั่งคุยกับเธอยาวๆ ไหม ฉันเลยเขียนเอา จะได้เรียบเรียงความคิดตัวเองด้วย

อย่างแรกที่สำคัญที่สุดคือเรื่องใจ ซึ่งรวมถึงทัศนคติ ฉันเคยดูวีดีโอคุณสุภาพร พงศ์พฤกษ์ ที่เค้ามองมะเร็งว่าเป็นเพื่อน เค้าก็เป็นมะเร็งเต้านมเหมือนกัน พอเค้าปวดมาก เค้าก็บอกก้อนมะเร็งว่า วันนี้ขอเบาๆ หน่อยนะ ฉันชอบทัศนคติแบบนั้น มันทำให้ฉันเมตตาต่อร่างกายตัวเอง และจิตไม่เป็นลบด้วย นอกจากนี้ ฉันจะภาวนาในรูปแบบให้มากกว่าเดิมทุกวัน การทำในรูปแบบก็เช่น นั่งดูลมหายใจ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หรือดูท้องพองท้องยุบ ถ้าใจหลุดไปที่อื่น ก็กลับมาที่ลมหรือที่ท้อง ตัวฉันเองเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เช่น การนั่งสร้างจังหวะแบบหลวงพ่อเทียน และการเดินจงกรม ซึ่งอาจเหมาะเพราะได้ออกกำลังไปด้วย วิธีการคือเดินให้รู้สึกถึงเท้ากระทบพื้น เก็บมือไว้ข้างหลังหรือข้างหน้า รู้สึกถึงกายทั้งกายที่กำลังเคลื่อน ไม่เพ่งที่เท้าแรงเกินไป สำรวมสายตา ระยะทางประมาณ ๑๐-๑๔ ก้าว เดินด้วยความเร็วปกติ พอสุดทางจงกรมก็หยุด หมุนตัว เดินกลับ ใจหลุดไปที่อื่นก็ให้กลับมารู้สึกที่เท้ากระทบพื้น แสกนร่างกายเป็นระยะๆ ว่าเกร็งเกินไปหรือไม่ ที่หน้า ที่คอ ที่บ่า ถ้ากายเกร็งแล้วใจก็เกร็งไปด้วย

ถามว่าภาวนาไปทำไม อย่างหยาบๆ ก็คือ มันช่วยให้ร่างกายเกิดความสุข ความสงบ ช่วยบริหารความเครียด ทำให้นอนหลับง่ายและลึก ฝรั่งใช้การเจริญสติ (Mindfulness) เพื่อเยียวยาความเจ็บปวด และรักษาอาการทางจิตบางอย่าง เช่น Bipolar disorder ประโยชน์อย่างกลางก็เพื่อให้รู้จักตนเองได้ดีขึ้น เห็นความคิดของตัวเอง และอย่างดีที่สุดก็เพื่อให้ถึงความหลุดพ้น

ทั้งนี้ การเล่นดนตรี การทำงานศิลปะ ก็ช่วยให้เกิดสมาธิ (Concentration) ได้ แต่การเจริญสติมีประโยชน์กว่าสำหรับฉัน

ฉันคงพยายามทำอะไรให้ช้าลง ตอนนี้ไม่ต้องรีบทำอะไรเพื่อไปไหนแล้ว

ประเด็นที่สองคือเรื่องการพักผ่อน นอนหัวค่ำ ตื่นเช้า คุณภาพการนอนของการนอนกลางวัน ตื่นกลางคืนนั้นไม่ดีเท่า เพราะร่างกายมี Body clock ตามตำราจีนเค้าว่าช่วงตีหนึ่งถึงตีสาม เป็นช่วงที่ตับกำลังทำความสะอาดเลือด ช่วงตีสามเป็นต้นไป พลังชี่อยู่ที่กิจกรรมประจำวัน เช่น การย่อย การกำจัดของเสีย

เรื่องอาหาร กินอาหารหวานให้น้อย เพราะเซลล์มะเร็งชอบน้ำตาล และความหวานทำให้อักเสบ (Inflammation) ได้ง่าย ฉันคงได้เป็นมังสวิรัติอย่างเคร่งครัดเสียที เลือกผักผลไม้ออร์แกนิค ถ้าหาไม่ได้ ก็จะกินผักพื้นบ้านที่ไม่ใช่ผัก Commercial เช่น คะน้า กะหล่ำปลี เพราะพวกนี้มียาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมีเยอะ ก็จะกินพวกรางจืด สายบัว ตามตลาดจะมีขายผักอีสานที่เค้าเอาไว้กินกับน้ำพริก เราชอบ”ผักแปลกๆ” พวกนี้ ฉันคงกลับมาทำกับข้าวกินเอง กินข้าวกล้อง เคี้ยวอาหารให้ละเอียด (ฉันกินข้าวเร็วเกินไป) ถ้าฉันทำคีโม ฉันคงกินผักผลไม้ฤทธิ์เย็นเยอะๆ เพราะคีโมทำให้ร่างกายร้อน ผักชนิดเย็นก็เช่นแตงกวา ใบบัวบก ผักกาดขาว ผักกาดหอม รางจืด (ดูเพิ่มเติม) ผลไม้ชนิดเย็น เช่น มะม่วงดิบ น้ำมะพร้าวซึ่ง Highly recommended เพราะเป็นน้ำเกลือแร่ธรรมชาติ ร่างกายดูดซึมได้เร็วมากๆ หรือจะกินน้ำกลั่นย่านางเพื่อช่วยลดความร้อนในร่างกายด้วยก็ได้ มีขายที่ Lemon Farm

ฉันคงกินน้ำคั้นผลไม้แยกกาก ซึ่งต้องกินทันทีที่คั้นเสร็จ เรื่องการออกกำลัง ฉันฝึกโยคะอยู่แล้ว ก็คงฝึกต่อไป ทำท่าบริหารข้อง่ายๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว หรือลองดู Sequence ที่ผ่อนคลายในเว็บ Yin yoga ถ้าขี้เกียจ ฉันก็แค่ทำสุริยนมัสการ ๑๐ ครั้ง

แล้วก็ต้องระวังไม่ให้ท้องผูก เพราะการขับถ่ายช่วยขจัดสารพิษออกจากตัว เหงื่อก็เป็นอีกหนึ่งทางที่ร่างกายขับสารพิษ อย่างอื่นๆ ที่คงทำเพราะชอบคงไปนวดตัว เพราะช่วยทำให้เลือดไหลเวียน และรู้สึกผ่อนคลาย อ่านหนังสือที่อยากอ่านแต่ไม่มีเวลาอ่าน เขียนบันทึก ทำงานศิลปะ งานฝีมือ ทำพินัยกรรมที่เรียกว่า Living will

Comments