สิ่งที่ได้เรียนรู้จากหลวงปู่นัทฮันห์

Diagram ประกอบการอธิบาย
ปีนี้ หลวงปู่นัทฮันห์ (ขอย่อว่า ลป. เฉยๆ) และหมู่บ้านพลัมจัดงานภาวนาจริยธรรมประยุกต์ (Applied Ethics) ซึ่งเป็นหัวข้อที่ฉันสนใจอยู่ ก็เลยไป แต่ไม่ได้ค้างที่นั่นและไม่ได้ร่วมกิจกรรมอื่นๆ นอกจากการฟังธรรมบรรยายจากท่าน ร่วมกินข้าวด้วย และได้ของน่ารักๆ เช่น ย่าม

มุมมองหลักๆ ที่ได้มาคือเรื่องของความกรุณา (Kindness) ฉันเป็นคนขี้รำคาญ ขี้โมโห แล้วที่ไหนๆ ก็มักบอกให้เจริญเมตตา แต่ฉันพบว่ามันเป็นเรื่องยาก และ borderline to fake เพราะฉันไม่เห็นว่าคนๆ นั้นหรือสิ่งๆ นั้นน่าเมตตาให้ที่ตรงไหน  แต่ลป.สอนให้เห็นถึงความทุกข์ที่มีอยู่ในคนๆ นั้น คล้ายว่าทุกข์มากจนล้นออกมาเป็นคำพูดหรือการกระทำที่ไม่น่ารัก พอเห็นจริงๆ ว่าอีกฝ่ายทุกข์อยู่ ความกรุณาก็จะมาเอง  อันนี้คงรวมถึงกับตัวเองด้วย  ว่าถ้าเราเห็นว่าเวลาเราโกรธแล้วมันเป็นทุกข์ ก็จะกรุณากับตัวเองแล้วเย็นเอง ท่านใช้คำว่า Suffering หรือ Ill being สำหรับความทุกข์

เรื่องที่สองคือการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep listening) และ"วาจาแห่งรัก" (Loving speech) แปลเป็นไทยฟังดูแล้วเลี่ยนไปนิดหน่อย ภาษาอังกฤษดีกว่า  ท่านบอกว่าจุดประสงค์หลักของการฟังอย่างลึกซึ้งคือการช่วยบรรเทาความทุกข์ให้คนๆ นั้น แต่ถ้าอารมณ์เขาเริ่มกระทบเรา จนเราไม่สามารถฟังอย่างลึกซึ้งต่อไปได้ ท่านก็บอกให้หยุดแล้วบอกคนนั้นว่าเอาไว้วันหลังค่อยคุยกันต่อ

ที่นี่เค้าใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือภาวนาหลัก ("หายใจเข้า ฉันรู้ว่าฉันหายใจเข้า  หายใจออก ฉันรู้ว่าฉันหายใจออก")  ฉันพบว่าฉันอึดอัดเวลาดูลม พระอาจารย์ฉันบอกว่าฉันเคร่งเครียดเกินไป เดินจงกรมก็ตั้งใจมาก ฉันก็บอกว่า ก็รู้นะว่าไม่เป็นธรรมชาติ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมงจะตายให้ได้ แต่เดินในห้างหรือใน Museum ๒-๓ ชั่วโมงก็ได้  ตอนนี้ก็เลยเป็นแบบฝึกหัดว่าภาวนายังไงให้สบาย ไม่เคร่งเครียด

เรื่องความสบาย ความผ่อนคลายในการภาวนานี้เป็นเรื่องสำคัญมาก มีผู้หญิงคนหนึ่งถามเรื่องการปฎิบัติของตัวเองว่ามีสภาวะที่ดีๆ บางอย่างเกิดขึ้นแค่ ๒ ครั้ง แล้วไม่เกิดขึ้นอีก ทำยังไงดี ลป.บอกว่าถ้าภาวนาถูกแล้วต้องมีความสุข  ถ้าไม่สุขแปลว่าผิด  ความสุขเกิดขึ้นทันทีที่เริ่มหายใจเข้า กลางลมหายใจ และปลายลมหายใจ เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่าพระธรรมงดงามในเบื้องต้น ในท่ามกลาง และในที่สุด  ไม่ใช่ว่าการภาวนาเป็นวิธีการ (Means) เพื่อให้ถึงจุดหมาย (End) ที่เป็นความสุข

อีกอย่างหนึ่งที่จะไปลองกับห้องเรียนตัวเองคือการหยุดทุกๆ ๒๐ นาทีด้วยเสียงระฆังจากโปรแกรม Mindful clock ที่ฉันมีอยู่แล้วในคอมพ์ เพื่อให้เด็กได้ตามลมหายใจสัก ๓ ครั้ง เรียกตัวเองกลับมา มีครูฝรั่งคนหนึ่งลองใช้แล้วได้ผลดี  อีกอย่างที่จะลองทำคือการให้เด็กได้นั่งตามลมหายใจสัก ๕ นาทีก่อนเริ่มเรียน

อีกประเด็นที่ลป.เน้นคือเรื่องการเชื่อมโยงกันของสรรพสิ่ง (Inter-being) เช่น ในร่างกายเรามีพ่อและแม่ของเราอยู่ น้ำชามาจากสายฝนซึ่งครั้งหนึ่งเป็นก้อนเมฆ  ไม่มีการเกิดจากความไม่มี ไม่มีการตายแบบดับสูญ มีแต่การแปรสภาพ  เราเป็นมากกว่าร่างกายของเรา ถ้าคิดว่าลป.เป็นแค่ร่างที่เราเห็นนั้น อันนั้นผิด ลป.อยู่ในงานเขียน อยู่ในลูกศิษย์ อยู่ในภาพวาด...

หนนี้ก็เป็นหนแรกที่ฉันฟังท่านบรรยายเรื่องมรรค ๘  ซึ่งไม่สามารถสรุปสั้นๆ ได้ คงต้องไปฟังกันเอง ที่ YouTube นี้

ที่มาของชื่อ Retreat ว่าเป็น Applied Ethics ก็เพราะท่านอยากให้เรื่องการฝึกสติเป็นเรื่องสากล ไม่เกี่ยวกับศาสนา และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการใช้จริง

ลงท้ายด้วยคำพูดของท่านที่ฉันชอบมากคือว่า Patience is the mark of true love.  นึกถึงความรักของพ่อแม่เราเอง  ที่ผ่านมาฉันคงไม่ค่อยรักจริงสักเท่าไหร่ เพราะความอดทนต่ำ

Comments