ฟังธรรมจากท่านดาไลลามะ

ด้วยอาชีพอาจารย์มหาวิทยาลัย ปกติก็ไปแต่ conference ในสาย engineering แต่มา New Delhi ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่มางานเสวนาด้านพุทธศาสนาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ชื่องาน Reaching the same goal from different paths? จัดโดยหอจดหมายเหตุท่านพุทธทาส เนื่องในปีพุทธชยันตี นำเอาพระและฆราวาสไทยมาฟังธรรมจากท่านดาไลลามะ ถามคำถามท่านและเสวนากับพระทิเบต

จริงๆ ฉันไม่ได้ hard core ชอบท่านดาไลลามะ (จะย่อว่า HHDL มาจาก His Holiness the Dalai Lama เพราะขี้เกียจพิมพ์) ขนาดนั้น แต่พระอาจารย์มา ก็เลยเป็นโอกาสดีที่มาด้วย เพราะไม่ได้ตั้งความหวังใดๆ อะไรๆ ก็ดีทั้งนั้น

สิ่งที่ประทับใจมากที่สุดคือพบว่าพุทธแบบเถรวาทอย่างไทย (ท่าน HHDL เรียกว่า Pali tradition เพราะพระไตรปิฎกเราเป็นภาษาบาลี) ไม่ต่างจากพุทธมหายานหรือวัชรยานแบบทิเบตนัก (ท่านเรียกว่า Sanskrit tradition) ในเนื้อหาสำคัญของพระวินัยและแนวทางการปฎิบัติที่มีทั้งสมถะภาวนา (single-pointedness meditation) และวิปัสสนาภาวนา (Analytical meditation) ท่านว่าคนที่ไม่ได้ศึกษาทั้งสองฝ่ายให้ดีมักคิดว่าต่าง จุดหมายก็เป็นอันเดียวกันคือนิพพานหรือโมกษะ (moksa)

แต่ประเด็นที่ท่านเน้นย้ำคือเรื่องการปลูกฝังคุณธรรมทางโลก (secular ethics หรือ moral discipline) ในระบบการศึกษา ท่านว่าเดิมวัดและบ้านแข็งแรง ก็ทำหน้าที่นี้ได้ แต่ต่อนนี้ก็เหลือแต่โรงเรียนที่ยังโอเคอยู่และการศึกษานั้นเป็นสากล (universal) มีทุกประเทศและเป็นรากฐานเหมือนๆกัน จึงเป็นหน้าที่ของโรงเรียนที่จะสอนเรื่องคุณธรรม ท่านไม่ได้เน้นเรื่องศีลของศาสนาใดโดยเฉพาะ แต่พูดถึงศีลธรรมทั่วไปมากกว่า เมื่อมีศีลก็ใจสงบ (inner peace) ความสงบสุขภายในก็ส่งผลต่อสิ่งอื่นๆที่มากกว่าตัวเอง

แต่สิ่งที่เหนือกว่าการศึกษาคือความรัก (affection) ทางมหายานมี concept เรื่องโพธิสัตว์ที่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ก็ไม่แปลกที่ท่านจะเน้นเรื่องความเมตตา (compassion) มาก ว่าสำคัญต่อความเป็นปกติสุขของทั้งกับตนเองและผู้อื่น ท่านอ้างอิงถึงผลการวิจัยทางสมองว่าการทำเมตตาภาวนามีผลต่อสมองและความสุขอย่างไร ที่ประทับใจมากคือฉันไม่เคยคิดว่าคนที่มีเมตตาอย่างแท้จริงนั้นจะไม่กลัว ไม่วิตกกังวล และเป็นคนที่เข้มแข็งข้างในจริงๆ เพราะถ้าไม่เข้มแข็งก็ไม่กล้าช่วยคนอื่น หรือคงทนต่อแรงดึงดูดของความเกลียดไม่ได้ ท่านยกตัวอย่างพระทิเบตรูปหนึ่งที่ติดคุกโหด (gulag) ที่จีน 18 ปี ตอนออกมา ท่าน HHDL ก็ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง พระท่านว่ามีช่วงที่เป็นอันตรายอยู่ 2-3 ครั้ง ท่าน HHDL ก็นึกว่าเป็นอันตรายทางกาย แต่พระรูปนั้นบอกว่า อันตรายที่ว่านี้คือเกือบจะไม่มีเมตตาให้ทหารจีน (danger of losing compassion) พระลามะรูปหนึ่งให้อีกตัวอย่างคือเมื่อเด็กเล็กๆมีพ่อแม่อยู่ด้วยจะรู้สึกมั่นคงเพราะรู้ว่าพ่อแม่รัก นี้เป็นตัวอย่างว่าความรักความเมตตาเอาชนะความกลัวได้ เดิมฉันคิดถึงเมตตาในแง่ทำบุญ ช่วยคน หรือแผ่เมตตาแก้กลัวผี แก้อาการโกรธ บางทีฉันเคยมองคนที่มีเมตตาว่าเป็นพวกใจอ่อน อ่อนแอด้วยซ้ำ ไม่เคยเห็นข้อดีของมันในแง่นี้

ทั้งนี้ ความเมตตาก็มีทั้งแบบมีอคติและปราศจากอคติ ความเมตตาแบบไม่มีอคติอาศัยการมองแบบองค์รวม (holistic views) ที่เห็นความเกี่ยวข้องกันของสิ่งต่างๆ (interconnectedness, to see everything as united) และความเหมือนกันในแง่ความต้องการขั้นพื้นฐาน อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ช่วยทำให้เห็นความจริง ช่วยลดความโกรธและความรู้สึกลบ

ในเรื่องการภาวนา (meditation) ท่านว่าคำทิเบตคือ gom แปลว่าทำให้คุ้นเคย หรือทำให้เป็นนิสัย (habituating or familiarizing) การภาวนาเป็นการเปลี่ยนแปลงจิตใจ เพื่อช่วยเหลือ all sentient beings เค้าเรียกว่าการเสียสละที่มีพื้นฐานจากความเมตตา (altruism based on compassion)

อีกส่วนที่สำคัญคือเรืองการพึ่งตนเอง (self reliance) พระทิเบตที่สำคัญชื่อซงคาปาบอกว่า You are controlled by your mind. Your happiness and your suffering is in your own hand. Do not cheat yourself. Be your own witness. (ท่านคงหมายถึงการสังเกตอารมณ์ ความรู้สึก สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา) Take good care of yourself. Self is the protector of the self. No one else can be the protector.

ฉันประทับใจในความตรงไปตรงมา ฉับไว ทันสมัย เปิดกว้าง ไม่ถือตัว มีอารมณ์ขันของท่าน HHDL มาก ต่อคำถามที่ว่าทำไมท่านจึงเป็นที่นิยมในประเทศตะวันตกนัก ท่านว่าเป็นเพราะท่านไม่พยายามให้คนศาสนาอื่นมานับถือพุทธ ท่านว่าการเปลี่ยนศาสนาอาจจะทำให้เกิดความสับสนในสังคม และท่านว่าท่านพยายามพูดถึงสิ่งที่เป็นความจริง เป็นปัจจุบัน เป็นสิ่งพื้นฐานที่เราทุกคนมีร่วมกัน เช่น ความไม่ได้ดั่งใจหรือความไม่สมบูรณ์พร้อม (unwholesomeness) ของสิ่งต่างๆ เรื่องความรัก ความเมตตา ความต้องการความสุข และท่านหลีกเลี่ยงเรื่องที่เข้าใจยากที่อาจทำให้สับสน เช่น สุญญตา (nothingness)

อีก fact หนึ่งที่น่าสนใจเรื่องสุญญตาคือว่า ท่าน HHDL บอกว่าเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทางสมองของท่านบอกว่า ในสมองของเรา ยังไม่พบหน่วยทำงานที่ควบคุมทุกอย่าง (central control authority) จิตใจไม่มีลักษณะทางกายภาพ

ฉันอยากให้พระไทยรูปอื่นๆได้มาด้วย การคุยกัน ถามกันแบบนี้เปิดโลกทัศน์มาก อย่างที่พระไพศาล วิสาโลพูดไว้ว่าการภาวนาแบบพุทธไทยบางทีเน้นแต่ตัวเองมาก จนไม่สนใจสังคม ฉันว่าคล้ายๆความเห็นแก่ตัวในคราบคนดี

ฉันขออุทิศโพสต์นี้ให้พี่เงาะ เพื่อนที่รู้จักที่วัดป่าสุคะโต ที่เพิ่งเสียชีวิตเมื่อเช้า พี่เงาะอยากไปงานนี้

Comments