Refuge

หลังจากหายไปสองอาทิตย์ เพื่อนภาวนาของฉันเพิ่งเปิดใจเล่าให้ฟังว่า การภาวนาของเค้านั้นไม่ได้ก้าวหน้าในเส้นทางที่เค้าคิด เหมือนเค้าต้องมาเริ่มต้นใหม่ และสิ่งที่เค้าบอกๆ คนอื่นไปนั้น อาจจะไม่ถูก

ฉันฟังแล้วก็ไม่ได้ประหลาดใจมากนัก ถึงแม้ว่าฉันได้พึ่งเค้ามากในด้านการภาวนา และปรึกษาเรื่องอื่นๆ (ฉันชอบที่เค้าต่างจากฉันมาก มันได้อีกมุมมองหนึ่งดี และเค้าใจโคตรเย็น) ฉันคิดว่าผู้ภาวนาส่วนใหญ่ก็ต้องหลงทิศไปบ้างกันทั้งนั้น ถ้าไม่ผิด ก็คงบรรลุธรรมไปแล้ว ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ

ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเค้านำฉันไปผิดทางด้วย เพราะในภาพรวม เราก็รู้สึกว่าเราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมาก ดีกรีความโมโหและความถี่น้อยลง ความหยิ่งทะนงก็น้อยลงไปเยอะ ไม่พองเป็นอึ่งอ่างเหมือนเดิม

และฉันก็ฟังหลายพระอาจารย์ สำหรับฉันแล้ว การฟังเทศน์เป็นการผ่อนคลาย และเป็นการรับเอามุมมองอื่นๆ ฉันไม่ได้ชอบแนวทางการภาวนาแค่แบบเดียว ฉันชอบบางด้านของเถรวาท บางด้านของมหายาน (เช่น ท่านติชนัทฮันห์) หรือวัชรยานแบบทิเบต เราก็เลยผสมๆ กันในการวิธีการมองโลก และจุดมุ่งหมายในการภาวนาของเรา

ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่คุยกัน ฉันก็มีความรู้สึก surreal เหมือนกันว่า จริงๆ แล้วที่พึ่งที่ถาวรนั้นไม่มี เหมือนตอกย้ำเรื่องอนิจจัง แล้วเรื่องบางอย่างที่ฉันปฎิเสธโครมไปแล้ว เค้าก็บอกให้ฉันกลับไปลองดูอีกที โดยมองข้ามด้านที่ฉันไม่ชอบของสิ่งเหล่านั้น

ปกติฉันเป็นคนดื้อมาก ดื้อแบบเถียงจะๆ ด้วย แต่กับเพื่อนคนนี้ เราเคยบอกเค้าไว้แล้วว่าจะลองทำทุกอย่างที่เค้าแนะนำ เราก็เลยไม่เถึยง บอกยังไง ก็จะทำตาม ฉันพบว่าบางที ทำตัวโง่ๆ ไม่ต้องมีเหตุผลเยอะ มันก็สบายใจดี มองอีกมุมหนึ่งก็เป็นการเปิดโลกทัศน์ เพราะถ้าใช้ตรรกะของตัวเองตัดสินใจ ก็จะทำสิ่งซ้ำๆ ที่มักจะทำ ฉันต้องการลองอะไรใหม่ๆ

อีกอย่างที่ surreal คือ เพิ่งประจักษ์แจ้งว่าคนเรานั้นมีวิธีการหนีได้หลายแบบ แบบหยาบๆ ก็ดูหนัง ฟังเพลง ไปช้อบปิ้ง แบบละเอียดหรือแบบเป็น"คนดี"ก็เข้าไปอยู่ในสมาธิหรือโลกอีกโลกหนึ่ง ไอ้ความไม่หนี ไม่ต่อต้าน แต่ยอมรับในสิ่งที่เป็นอยู่เป็นเรื่องที่ยากมาก...ไม่ใช่สิ...หมายถึงว่ามันอาศัยศิลปะ เพราะแต่ละคนก็มีน้ำหนักในการดึง การผ่อน ไม่เท่ากัน...

แล้วก็ต้องใจถึงด้วย ยอมที่จะเห็นเฉยๆ หรือเปล่า อริยสัจข้อแรกคือ"ทุกข์" หรือที่บางคนขยายความว่า"รู้จักทุกข์"นั้น หลวงพ่อสุเมโธบอกว่า เราจะรู้จักสิ่งนั้นจริงๆ ได้ ต้องยอมรับในสิ่งที่มันเป็นซะก่อน ถ้าต่อต้านหรือพยายามจะเปลี่ยนมัน ก็จะไม่รู้จักมันจริงๆ หรอก

ของฉันยังเป็นแบบยอมรับแบบกัดฟันอยู่ คือ ถ้าไม่ได้ทำอย่างที่สันดานมักสั่งให้ทำ ก็มีกรี้ดอยู่ในใจ หรืออยากเอาหัวชนฝาให้ตายลงตรงนั้นเลย บางทีเห็นตัวเองดิ้นๆ แล้วก็ขำดี

เรื่องที่เกิดก็เป็นเรื่องดีอีกแง่หนึ่งที่เสริมสร้างมิตรภาพของเรา ฉันรู้สึกดีใจและภูมิใจที่เค้ากล้ามาเล่าให้ฟังตรงๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และความรู้สึกที่เค้ามีกับมัน ถ้าไม่ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริงๆ คงไม่กล้ายอมรับหรอกว่าที่ทำๆ อยู่นั้นมันไม่ใช่ทาง อย่าว่าแต่จะมาเล่าให้ฟังเลย

Comments