My life as it is

ช่วงนี้วิถีชีวิตเหมือนคนเกษียณ ยังตื่นเช้าเหมือนเดิม ไม่เกินตีห้าครึ่ง มานั่งกินกาแฟ เช็คข่าวน้ำท่วมตอนเช้าว่าถึงไหนแล้ว  เล่นกับหลานอายุ ๕ เดือน ไปอาบน้ำ เดินจงกรม มากินข้าวเช้า นั่งทำงานไปสักพัก แล้วก็ไปฝึกโยคะตอน ๑๑ โมง กินข้าวเที่ยง ไปทำธุระ (ดูตึกบ้าง) กลับมากินข้าวเย็น  เช็คข่าวอีกที เดินจงกรมนิดหน่อย แล้วนอน เป็นวิถีชีวิตที่ผ่อนคลายมากๆ เลย

คุยกับพระอาจารย์ฉัน ท่านว่าพี่คนหนึ่งไปอยู่ที่วัด ฟังจากพี่เค้า คิดว่าคนกรุงเทพดูตื่นตระหนกมาก ฉันว่าก็มีแบบกล้วและไม่กลัวนะ  สำหรับฉันแล้ว อาจเป็นเพราะน้ำยังไม่ท่วมเรา เราก็รู้สึกว่าเราได้ทำอะไรที่ชีวิตนี้คงจะไม่ได้ทำ เช่น ไปแพ็คถุงยังชีพ, ไปกรอกกระสอบทราย ไปนั่งรถสิบล้อทหาร, ไปปั้น EM balls, ไปเอาอาหารไปบริจาค เลยได้เข้าไปในสนามกีฬากองทัพบก, หรือกระทั่งแพ็คข้าวเหนียวหมูที่ๆ บ้านตัวเองทำ ไม่เคยทำจำนวนมากขนาดนั้นมาก่อน  สำหรับฉันแล้ว เป็นโอกาสที่เราได้ทำบุญกุศลทุกวัน  ได้อยู่กับครอบครัวเยอะมาก และได้ฝึกโยคะด้วย

อีกแหละ อาจเป็นเพราะบ้านยังไม่โดนท่วม เราก็ไม่ได้เครียดกับมันนัก ช่วงแรกเป็นบ้าง เพราะพ่อนิ่งนอนใจมาก ไม่ทำอะไรเลย ไม่สนใจกระทั่งว่าคัดเอาท์ไฟอยู่ที่ไหน ทั้งที่เราเป็นตึกอพาร์ทเม้นท์ใหญ่  จนกระทั่งน้ำท่วมห้าแยกลาดพร้าว พ่อคงรู้แล้วว่านี่ของจริง ก็เลยช่วยวางแผนก่ออิฐปิดทางเข้าตึก เตรียมปั๋ม และซื้อเรือ  ตอนนี้เราเลยวางใจแล้วว่าเราทำเต็มที่แล้ว  ถ้าท่วมตึก ก็คงพอให้ผู้เช่าอยู่ได้แบบลุยน้ำ และเราก็ได้เตรียมความพร้อมให้กับลูกน้องแล้ว

พอมีปัญหามากๆ และเห็นความทุกข์อันมากมายของคนรอบข้าง ทำให้เรายิ่งเห็นความสำคัญของการภาวนา  มีคนแก่จำนวนมาก ไม่ยอมออกจากบ้าน ถึงแม้ว่าน้ำจะเริ่มท่วมเยอะแล้ว แล้วทำให้เราตั้งคำถามว่า แล้วเค้าไม่คิดเหรอว่าถ้าตายแล้วก็ต้องไปจากบ้านนี้อยู่ดี น่าจะใช้น้ำท่วมนี้ ลองสละออกจากความคุ้นเคยบ้าง  แต่ก็อย่างว่า ฉันเป็นพวกมีที่อยู่หลายที่ และเคยอยู่มาหลายเมือง เราก็เลยไม่ติดที่เท่าไหร่   ท่วมฉันก็ไปอยู่ต่างจังหวัดละกัน...ดีเสียอีก ได้อยู่ที่ใหม่ๆ

Comments