สารพัดเรื่องเล่า

สองอาทิตย์ก่อน ฉันไปภาวนาที่สวนแสงอรุณ เห็นผู้ภาวนาที่ถามมากๆ คนหนึ่ง แล้วทำให้เห็นตัวเองในอดีตเหมือนกัน ฟังเค้าถามแล้วรู้ว่าฟังหลวงพ่อที่ฉันเคยไปกราบบ่อยๆ มาแน่นอน ชุดคำศัพท์มันใช่ เช่น ส่งการบ้าน จิตอยู่นอกๆ ซึมๆ ฉันว่าการมีเป้าหมายชัดเจนว่าจะให้ได้โสดาบันในชาตินี้มันก็ดี แต่บางทีเราก็ treat มันเหมือนเป็นปริญญาอีกใบหนึ่งมากเกินไป และการส่งการบ้านบ่อยๆ ทั้งๆ ที่อาจจะไม่มีอะไรสำคัญที่จะส่ง ทำให้เราควานหา มองหาอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ฉันชอบที่พระอาจารย์บอกว่า ฟังเพื่อเอาไว้เทียบเคียงว่าสิ่งที่เราเจอนั้น ใกล้เคียงกับที่เคยได้ยินมาหรือไม่

ตอนขากลับ คุยมากับเพื่อนที่ไปด้วย เค้ามีข้อสงสัยกัน แล้วเราก็แชร์ความเห็น แต่ฉันก็บอกไป จากที่คิดได้เพิ่มจากที่ฟังอ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล (รายการพื้นที่ชีวิต) ว่า ภาษาเป็นเรื่องของความคิด แล้วการภาวนาเป็นเรื่องที่เหนือคิด พระอาจารย์ทั้งหลายก็สอนโดยใช้คำพูดได้ในระดับเป็น guidelines แต่จะเข้าใจจริงๆ ก็เมื่อเจอเอง เหมือนถ้าเราไม่เคยกินทุเรียน จะอธิบายให้ตายยังไงว่าทุเรียนรสชาติเป็นไง ก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี...

อีกอย่างที่ฉันเห็นชัดในคราวนี้คือความสำคัญของการภาวนาในรูปแบบทุกวัน ช่วยเยอะมากกก จะเข้าคอร์สบ่อยแค่ไหนก็ไม่ช่วยเท่าทำทุกวันที่บ้าน สภาพใจของฉันที่เดินจงกรมที่สวนฯ ไม่ต่างจากเดินที่บ้าน ไม่ได้เกร็งด้วยเวลามีพระหรือคนอื่นอยู่ แต่มีเพื่อนภาวนาพร้อมกันก็ดี ทำให้เราอึดขึ้น ทำได้นานขึ้น มีพลังจากคนอื่นมาช่วย..

อ้อ...แล้วก็เห็นว่าวันแรก ความคิดฟุ้งมาก เหมือนเพิ่งเปิดหม้ออัดความดัน ไอพุ่งออกมาใหญ่ พอผ่านไปสักวันหนึ่ง คลื่นลมก็เริ่มเป็นลูกเล็กๆ

พระอาจารย์พูดขึ้นมาว่า บางคนเจอปัญหาหนักๆ แล้วไม่ได้โชคดีแก้ได้ แต่ไปฆ่าตัวตาย ฉันว่าพวกนั้นเป็นพวกหนีปัญหา ใช้ทางลัด ถ้าเป็นคนสู้จริงๆ แล้วก็จะหาทางเจอได้เอง ธรรมชาติมันก็มีวิธีในการเยียวยา คือ ถ้าไม่ได้เจอพุทธศาสนา ก็อาจจะใช้ความอึดหรือความชินชาแทน ซึ่งถ้าพิจารณาต่อ ก็จะเห็นความเป็นอนิจจังของมัน

อีกเรื่องที่สังเกตได้คือ รู้สึกว่าพอภาวนาแล้ว ผลพลอยได้คือเราฟังคำวิจารณ์ หรือทนความไม่ได้ดั่งใจมากขึ้น คือ แต่ก่อนถ้าไม่ถูกหูหรือถูกใจ ฉันจะสวนกลับทันที ตอนนี้ก็ยัง"สวน"อยู่บ้าง แต่ first reaction คือ อ้อ..อันนี้เป็นปมของฉันนี่เอง เพิ่งรู้นะ มันทำให้เรากล้าหาญ (fearless) ขึ้นโดยอัตโนมัติ เหมือนว่า..อะไรก็รับได้น่ะ ถ้าไม่เจอจังๆ กับตัวเอง ฉันก็ไม่รู้ว่าที่พูดๆ ว่ารับได้นั้น รับได้จริงหรือไม่ มันเป็นการเปลี่ยนมุมมองของเราแบบที่เราไม่คาดคิดมาก่อน และทำให้เราดูเหมือนสุภาพ นุ่มนวลขึ้นโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้อยากจะนุ่มนวลสักเท่าไหร่ คือ ชอบคนเรียบร้อย แต่มองไม่เห็นว่าตัวเองจะเป็นแบบนั้นได้ I just like what I don't have.

Comments